เบาหวานฉุกเฉิน: เมื่อไหร่ที่ต้องไปโรงพยาบาล? สัญญาณอันตรายและวิธีรับมือ

เบาหวาน-ฉุกเฉิน-โรงพยาบาล-สัญญาณ

รู้จัก สัญญาณอันตราย ของ เบาหวานฉุกเฉิน ทั้งน้ำตาลต่ำและน้ำตาลสูง เพื่อให้รู้ว่า เมื่อไหร่ที่ต้องไปโรงพยาบาล และ วิธีรับมือ เบื้องต้นเพื่อความปลอดภัยของคุณและคนที่คุณรัก

เบาหวานฉุกเฉิน: เมื่อไหร่ที่ต้องไปโรงพยาบาล? สัญญาณอันตรายและวิธีรับมือ

แม้ว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานส่วนใหญ่จะสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในชีวิตประจำวันได้ด้วยการดูแลตัวเองและใช้ยาตามแพทย์สั่ง แต่บางครั้งก็อาจเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินที่คุกคามชีวิตขึ้นได้โดยไม่คาดคิด นั่นคือ “ภาวะเบาหวานฉุกเฉิน” ซึ่งมักเกิดจากภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูงเกินไปอย่างรุนแรง การรู้ถึง สัญญาณอันตราย และเข้าใจว่า เมื่อไหร่ที่ต้องไปโรงพยาบาล รวมถึงวิธี รับมือ เบื้องต้นอย่างถูกต้อง ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยเบาหวานและคนรอบข้าง เพื่อให้สามารถช่วยชีวิตและป้องกันความเสียหายต่ออวัยวะที่อาจเกิดขึ้นได้

ภาวะเบาหวานฉุกเฉินที่พบบ่อย: สัญญาณอันตรายและสิ่งที่ต้องทำ

ภาวะฉุกเฉินที่เกิดจากเบาหวานหลักๆ มี 2 ชนิด ได้แก่ [1, 2]:

1. ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำรุนแรง (Severe Hypoglycemia)

ภาวะนี้เกิดขึ้นเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง (โดยทั่วไปต่ำกว่า 70 mg/dL และมีอาการ) มักเกิดจากการกินยาหรือฉีดอินซูลินมากเกินไป กินอาหารน้อยไป งดอาหาร ออกกำลังกายหนักเกินไป หรือดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากโดยไม่กินอาหารร่วมด้วย [1, 3]

  • สัญญาณอันตราย (ที่ต้องรีบรับมือ):
    • อาการเตือนเบื้องต้น: ใจสั่น, เหงื่อออก, มือสั่น, หิวมาก, เวียนศีรษะ, อ่อนเพลีย, คลื่นไส้, ปากชา
    • อาการรุนแรงขึ้น: สับสน, มึนงง, พูดจาไม่รู้เรื่อง, มองเห็นภาพซ้อน, อารมณ์แปรปรวน, เดินเซ, ชัก, หมดสติ
  • เมื่อไหร่ที่ต้องไปโรงพยาบาล?
    • หากผู้ป่วยหมดสติหรือไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้: ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที หรือโทรสายด่วนฉุกเฉิน 1669
    • หากผู้ป่วยยังรู้สึกตัว แต่ไม่ตอบสนองต่อการแก้ไขเบื้องต้น: เช่น กินน้ำหวานแล้วอาการไม่ดีขึ้นภายใน 15 นาที หรือมีอาการรุนแรงขึ้น
  • วิธีรับมือเบื้องต้น (เมื่อผู้ป่วยยังรู้สึกตัว):
  1. รีบกินอาหารหรือดื่มน้ำหวานทันที: เช่น น้ำหวาน 1 แก้ว (240 มล.), ลูกอม 3-4 เม็ด, น้ำผลไม้ 1 กล่องเล็ก (100-120 มล.), น้ำอัดลมที่ไม่ใช่น้ำตาลเทียม 1 กระป๋องเล็ก
  2. รอ 15 นาที แล้ววัดระดับน้ำตาลซ้ำ:
  3. หากน้ำตาลยังต่ำ: ให้กินอาหารหรือดื่มน้ำหวานซ้ำอีกครั้ง
  4. หากน้ำตาลกลับมาปกติ: ให้กินอาหารมื้อหลักหรือของว่างที่มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าว ขนมปัง เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำตาลลดลงอีก
  5. แจ้งแพทย์: เพื่อปรับแผนการรักษา

สิ่งที่ “ห้ามทำ” เมื่อผู้ป่วยหมดสติ:

1 ห้ามกรอกน้ำหวานหรืออาหารใส่ปาก: เพราะผู้ป่วยอาจสำลักและเป็นอันตรายถึงชีวิต

2. ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงรุนแรงเฉียบพลัน

ภาวะนี้เกิดจากระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากผิดปกติอย่างต่อเนื่องจนทำให้ร่างกายเกิดภาวะผิดปกติอย่างรุนแรง โดยมี 2 ภาวะหลักๆ [1, 2]:

2.1 ภาวะเลือดเป็นกรดจากคีโตนในผู้ป่วยเบาหวาน (Diabetic Ketoacidosis – DKA)

มักพบในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 หรือชนิดที่ 2 ที่ขาดอินซูลินอย่างรุนแรง ร่างกายไม่มีอินซูลินเพียงพอที่จะนำน้ำตาลไปใช้ จึงหันไปเผาผลาญไขมันแทน ทำให้เกิดสารคีโตนซึ่งเป็นกรดสะสมในเลือด [4]

  • สัญญาณอันตราย:
    • ระดับน้ำตาลในเลือดสูงมาก (มักจะมากกว่า 250 mg/dL)
    • กระหายน้ำมาก, ปัสสาวะบ่อย
    • คลื่นไส้, อาเจียน, ปวดท้อง
    • หายใจหอบลึก, มีกลิ่นลมหายใจคล้ายผลไม้ (กลิ่นอะซิโตน)
    • อ่อนเพลียมาก, ซึม, สับสน, หมดสติ

2.2 ภาวะเลือดข้นจากน้ำตาลสูงมากโดยไม่มีคีโตน (Hyperosmolar Hyperglycemic State – HHS)

มักพบในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีภาวะติดเชื้อรุนแรง หรือภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง โดยที่ร่างกายยังพอผลิตอินซูลินได้บ้าง จึงไม่มีการสร้างคีโตน แต่ระดับน้ำตาลจะสูงกว่า DKA มาก (มักจะมากกว่า 600 mg/dL) และร่างกายจะสูญเสียน้ำอย่างมาก [5]

  • สัญญาณอันตราย:
    • ระดับน้ำตาลในเลือดสูงมาก (มักจะมากกว่า 600 mg/dL)
    • กระหายน้ำมาก, ปัสสาวะบ่อย
    • อ่อนเพลียมาก, เหนื่อยง่าย
    • ผิวแห้ง, ตาโหล, ปากแห้ง
    • สับสน, ซึม, หมดสติ, ชัก (ในรายที่รุนแรงมาก)
  • เมื่อไหร่ที่ต้องไปโรงพยาบาล (สำหรับ DKA และ HHS)?
    • เมื่อพบสัญญาณอันตรายดังกล่าว ไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตาม ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที เพื่อได้รับการรักษาด้วยน้ำเกลือและอินซูลินทางหลอดเลือดอย่างเร่งด่วน
  • สิ่งที่ต้องทำระหว่างรอรถพยาบาล/เดินทางไปโรงพยาบาล:
    • หากผู้ป่วยยังรู้สึกตัวและดื่มได้ ให้จิบน้ำเปล่าบ่อยๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ (แต่ห้ามกินน้ำหวานหรือน้ำผลไม้)
    • หากผู้ป่วยหมดสติ ให้จัดท่าให้ผู้ป่วยนอนตะแคงเพื่อป้องกันการสำลัก และคลายเสื้อผ้าให้หลวม
    • แจ้งเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลว่าผู้ป่วยเป็นเบาหวาน และเล่าอาการที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด

สรุป: เตรียมพร้อม รู้จักสังเกต ปลอดภัยเสมอ

ภาวะเบาหวานฉุกเฉิน เป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่การมีความรู้เกี่ยวกับ สัญญาณอันตราย ว่า เมื่อไหร่ที่ต้องไปโรงพยาบาล และรู้วิธี รับมือ เบื้องต้นอย่างถูกต้อง จะช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานและคนรอบข้างสามารถจัดการกับสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที ลดความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อน และช่วยชีวิตได้อย่างปลอดภัย โปรดจดจำสัญญาณเหล่านี้และปรึกษาแพทย์เพื่อทำความเข้าใจแผนการรับมือฉุกเฉินสำหรับตัวคุณเองครับ

“ภาวะเบาหวานฉุกเฉินสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน เรียนรู้สัญญาณเตือนและวิธีรับมือ จากแพทย์หรือพยาบาล และแจ้งคนรอบข้างของคุณให้ทราบถึงวิธีการช่วยเหลือเบื้องต้น เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของคุณและคนที่คุณรัก”


แหล่งข้อมูลอ้างอิง:

  1. American Diabetes Association. (n.d.). Hypoglycemia (Low Blood Glucose). Retrieved from https://diabetes.org/healthy-living/medication/what-causes-low-blood-glucose
  2. Mayo Clinic. (2024, May 09). Diabetes: When to call the doctor. Retrieved from https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/diabetes/in-depth/diabetes-care/art-20044569
  3. National Institute of Diabetes and Digestive and Kidney Diseases (NIDDK). (n.d.). Low Blood Glucose (Hypoglycemia). Retrieved from https://www.niddk.nih.gov/health-information/diabetes/overview/preventing-problems/low-blood-glucose-hypoglycemia
  4. Centers for Disease Control and Prevention (CDC). (2023, April 20). Diabetic Ketoacidosis (DKA) and Hyperosmolar Hyperglycemic State (HHS). Retrieved from https://www.cdc.gov/diabetes/basics/diabetic-ketoacidosis.html
  5. สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ. (น.ด.). ภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวาน. เข้าถึงได้จาก: https://www.dmthai.org/attachments/article/409/Complications%20of%20DM.pdf (อ้างอิงข้อมูลทั่วไปของ DKA และ HHS)

เรียบเรียงข้อมูลโดย  www.chulalakpharmacy.com

แชร์

ยังไม่มีบัญชี