รายละเอียด โรคไข้ดิน หรือชื่อทางการแพทย์คือ เมลิออยโดสิส (Melioidosis) เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่อันตรายและมีความรุนแรงสูง เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Burkholderia pseudomallei ซึ่งเป็นแบคทีเรียประจำถิ่นที่พบได้ทั่วไปในดินและน้ำในเขตร้อนชื้น โดยเฉพาะในพื้นที่เกษตรกรรม [1] ภูมิภาคที่พบโรคนี้มากที่สุดคือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตอนเหนือของออสเตรเลีย สำหรับประเทศไทย โรคนี้เป็นโรคประจำถิ่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ มักพบผู้ป่วยมากในช่วงฤดูฝนที่สภาพดินมีความชื้นสูง [2] หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง โรคนี้สามารถมีอัตราการเสียชีวิตที่สูงมากได้
สาเหตุ: โรคไข้ดิน เชื้อ Burkholderia pseudomallei สามารถเข้าสู่ร่างกายได้หลายช่องทาง โดยทั่วไปโรคนี้ไม่ได้ติดต่อจากคนสู่คน [1]
- การสัมผัสทางบาดแผล: เชื้อสามารถเข้าสู่ผิวหนังได้ง่ายทางบาดแผล รอยถลอก หรือรอยขีดข่วน [1]
- การหายใจเอาละอองฝุ่นหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ: เช่น ขณะทำงานในนาข้าวหรือท้องทุ่งนาในช่วงฤดูฝนที่มีลมพายุ หรือจากการใช้เครื่องจักรทางการเกษตรที่ทำให้ดินฟุ้งกระจาย [2]
- การกินอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ: เช่น การดื่มน้ำที่ไม่ผ่านการต้มสุก หรือกินอาหารที่ปนเปื้อนดิน
- กลุ่มเสี่ยง: ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่างจะมีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อและมีอาการรุนแรงกว่าคนทั่วไปมาก เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ไม่เต็มที่ [3] โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ป่วยเบาหวาน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่สุด นอกจากนี้ยังรวมถึงผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง, โรคธาลัสซีเมีย, โรคตับแข็ง, โรคปอดเรื้อรัง และผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง [1, 2]
อาการ: โรคไข้ดินอาการของโรคไข้ดินมีความหลากหลายมาก บางครั้งอาจไม่แสดงอาการทันที ทำให้การวินิจฉัยมีความซับซ้อน อาการสามารถแบ่งได้เป็นหลายรูปแบบดังนี้ [1]:
- โรคปอดอักเสบ (Pneumonic Melioidosis): เป็นรูปแบบที่พบบ่อยที่สุดและมักมีอาการรุนแรง ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ มีเสมหะที่เป็นหนอง เจ็บหน้าอก และอาจหายใจลำบาก อาการคล้ายกับปอดบวมจากสาเหตุอื่น ๆ แต่มีความรุนแรงและลุกลามได้เร็วกว่า
- การติดเชื้อในกระแสเลือด (Septicemic Melioidosis): เป็นรูปแบบที่อันตรายที่สุด ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูงมาก ความดันโลหิตต่ำ สับสน หมดสติ และอาจเข้าสู่ภาวะช็อก ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่พบบ่อยที่สุดของโรคนี้
- การติดเชื้อเฉพาะที่ (Localized Melioidosis): อาการที่พบได้คือมีฝี (Abscess) บริเวณผิวหนัง ข้อต่อ หรือกระดูก มักจะเกิดจากการที่เชื้อเข้าทางบาดแผล อาการคือมีก้อนบวมแดงร้อนและมีหนอง การติดเชื้อที่กระดูกและข้ออาจทำให้มีอาการปวดรุนแรงและข้ออักเสบ
- โรคเรื้อรัง (Chronic Melioidosis): อาการจะค่อยๆ เป็นและหาย โดยอาจมีไข้ต่ำๆ น้ำหนักลดลงอย่างต่อเนื่อง และมีฝีที่ผิวหนังหรือในอวัยวะภายในที่รักษาไม่หาย ซึ่งอาจถูกวินิจฉัยผิดว่าเป็นวัณโรคได้ [4]
การวินิจฉัย: โรคไข้ดินเนื่องจากอาการของโรคคล้ายคลึงกับโรคอื่น ๆ การวินิจฉัยที่แม่นยำจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง การวินิจฉัยมาตรฐานคือ การเพาะเชื้อ (Bacterial Culture) [1, 4]
- การเพาะเชื้อ (Culture): แพทย์จะเก็บตัวอย่างจากผู้ป่วย เช่น เลือด, เสมหะ, หนองจากฝี, หรือปัสสาวะ เพื่อนำไปเพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการ หากตรวจพบเชื้อ Burkholderia pseudomallei จะเป็นการยืนยันการวินิจฉัยที่แม่นยำที่สุด
- การตรวจทางภูมิคุ้มกัน (Serology): การตรวจหาแอนติบอดีในเลือดสามารถช่วยสนับสนุนการวินิจฉัยได้ แต่ไม่สามารถใช้ยืนยันโรคได้โดยลำพัง เนื่องจากผู้ที่เคยติดเชื้อมาก่อนอาจมีแอนติบอดีอยู่แล้ว [4]
- การตรวจทางชีวโมเลกุล (Molecular Tests): การตรวจ PCR (Polymerase Chain Reaction) สามารถช่วยตรวจหาดีเอ็นเอของเชื้อได้ ทำให้การวินิจฉัยรวดเร็วกว่าการเพาะเชื้อ
การรักษา: โรคไข้ดิน การรักษาโรคไข้ดินต้องใช้เวลานานและแบ่งออกเป็น 2 ระยะ เพื่อกำจัดเชื้อให้หมดไปอย่างสมบูรณ์ และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ [1, 2]
- ระยะเข้มข้น (Intensive Phase):
- ใช้ยาปฏิชีวนะชนิดฉีดทางหลอดเลือดดำ (Intravenous, IV) ในปริมาณสูง
- ยาที่ใช้หลักคือ Ceftazidime หรือ Meropenem
- ระยะเวลาการรักษาประมาณ 10-14 วัน หรือตามที่แพทย์พิจารณา
- ผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
- ระยะต่อเนื่อง (Eradication Phase):
- เมื่ออาการดีขึ้นแล้ว แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะชนิดกินต่อ เพื่อกำจัดเชื้อที่อาจหลงเหลืออยู่
- ยาที่ใช้หลักคือ Trimethoprim/Sulfamethoxazole (Co-trimoxazole)
- ระยะเวลาการรักษาประมาณ 3-6 เดือน
- สิ่งสำคัญที่สุดคือผู้ป่วยต้องรับประทานยาอย่างเคร่งครัดจนครบตามที่แพทย์สั่งทุกประการ แม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของโรค
การป้องกัน: โรคไข้ดินเนื่องจากยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคไข้ดิน การป้องกันจึงเน้นไปที่การลดโอกาสสัมผัสเชื้อ [2, 5]
- ป้องกันการสัมผัสดินและน้ำ: หากต้องทำงานในพื้นที่เสี่ยง เช่น ท้องนา ไร่ หรือสวน ควรใส่รองเท้าบู๊ทชนิดสูงที่คลุมถึงหน้าแข้ง และใส่ถุงมือยางที่สะอาด
- ดูแลบาดแผล: หากมีบาดแผลหรือรอยถลอกที่ผิวหนัง ควรทำความสะอาดแผลด้วยน้ำสะอาดและปิดด้วยพลาสเตอร์กันน้ำทุกครั้งก่อนทำกิจกรรมกลางแจ้ง และหลีกเลี่ยงการสัมผัสดินหรือน้ำที่มีโอกาสปนเปื้อน
- หลีกเลี่ยงการหายใจเอาละอองฝุ่น: ควรใส่หน้ากากอนามัยเมื่อต้องทำงานในพื้นที่ที่มีฝุ่นดินฟุ้งกระจาย
- หลีกเลี่ยงการกินน้ำหรืออาหารปนเปื้อน: ไม่ควรดื่มน้ำในแหล่งน้ำตามธรรมชาติ หรือน้ำจากบ่อที่ไม่ได้ผ่านการต้มให้สุก
- ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง: ผู้ที่มีโรคประจำตัว โดยเฉพาะโรคเบาหวาน ควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดี และเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษในการป้องกันตนเองจากการสัมผัสเชื้อ
อาหารเสริมที่ช่วยบำรุง ดูแล หรือป้องกัน โรคไข้ดิน
ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่ยืนยันว่าอาหารเสริมชนิดใดสามารถรักษาหรือป้องกันโรคไข้ดินได้โดยตรง [3] อย่างไรก็ตาม การรักษาสุขภาพให้แข็งแรงและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ อาจช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับการติดเชื้อได้ดีขึ้น อาหารเสริมเพื่อสุขภาพที่แนะนำในภาพรวมได้แก่:
- วิตามิน C: มีส่วนช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
- วิตามิน D: มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
- สังกะสี (Zinc): ช่วยเสริมการทำงานของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน
- โปรไบโอติก (Probiotics): ช่วยรักษาสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ ซึ่งมีผลต่อสุขภาพโดยรวมและระบบภูมิคุ้มกัน
ข้อควรระวัง: : โรคไข้ดิน อาหารเสริมเหล่านี้เป็นเพียงส่วนช่วยเสริมสุขภาพทั่วไป ไม่ใช่การรักษาหรือป้องกันโรคไข้ดิน การรักษาโรคไข้ดินต้องดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและใช้ยาปฏิชีวนะตามที่กำหนดเท่านั้น ห้ามใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ทดแทนการรักษาทางการแพทย์โดยเด็ดขาด
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. (2566). โรคเมลิออยโดสิส (Melioidosis). สืบค้นจาก https://ddc.moph.go.th/disease_detail.php?d=119&fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTAAAR2E4R2r-p-b7mS-T1-5M2F5K5H3H8F5G5X5K5F5H6C5J5I5H5P5F5B2F5C5R5U4K4K5C5P5I5U4O4W3T5T3H5K5F5D3K5B5H5E5F5A5O2P4J2P5F3F
- สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย. (2562). ไข้ดิน (Melioidosis). สืบค้นจาก https://www.pidst.or.th/userfiles/files/100/PIDST-CP-melioidosis-2020-03-08.pdf
- Currie BJ, et al. (2010). Melioidosis: a new and emerging infectious disease. Lancet. 376(9740): 410-418.
- ศูนย์โรคอุบัติใหม่ด้านคลินิก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์. (n.d.). โรคเมลิออยโดสิส. สืบค้นจาก https://emerging-disease.thaifha.org/main-menu/167-โรคเมลิออยโดสิส-melioidosis.html
- World Health Organization (WHO). (n.d.). Melioidosis. Retrieved from https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/melioidosis
เรียบเรียงโดย (Compiled by) : www.chulalakpharmacy.com