โรคกระเพาะอาหารอักเสบ (Gastritis): เมื่อท้องไส้ปั่นป่วน สัญญาณเตือน การวินิจฉัย และแนวทางการดูแลเพื่อกระเพาะที่แข็งแรง

ทำความเข้าใจโรคกระเพาะอาหารอักเสบอย่างละเอียด! เรียนรู้สาเหตุ, สัญญาณเตือน (ปวดท้อง, แสบท้อง, คลื่นไส้), แนวทางการวินิจฉัย, นวัตกรรมการรักษาด้วยยาและปรับพฤติกรรม พร้อมวิธีป้องกันเพื่อปกป้องกระเพาะอาหารของคุณและใช้ชีวิตได้สบายท้อง





โรคกระเพาะอาหารอักเสบ (Gastritis) คืออะไร?

โรคกระเพาะอาหารอักเสบ (Gastritis) คือภาวะที่เยื่อบุภายในกระเพาะอาหารเกิดการอักเสบ บวมแดง หรือมีการระคายเคือง ซึ่งอาจเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน (Acute Gastritis) หรือเรื้อรัง (Chronic Gastritis) ก็ได้ เยื่อบุในกระเพาะอาหารปกติมีหน้าที่สำคัญในการผลิตกรดและเอนไซม์เพื่อช่วยย่อยอาหาร และยังมีชั้นเมือกป้องกันกรดไม่ให้ทำอันตรายต่อเยื่อบุเอง แต่เมื่อเยื่อบุเกิดการอักเสบ กลไกการป้องกันนี้จะอ่อนแอลง ทำให้กรดและน้ำย่อยสามารถทำลายเยื่อบุได้ง่ายขึ้น ก่อให้เกิดอาการปวดท้องไม่สบายหากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม ภาวะกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรังอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงขึ้น เช่น แผลในกระเพาะอาหาร (Peptic Ulcer), เลือดออกในกระเพาะอาหาร (Gastric Bleeding), หรือเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิด มะเร็งกระเพาะอาหาร (Stomach Cancer) ในระยะยาว โดยเฉพาะหากมีการติดเชื้อแบคทีเรีย เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter pylori – H. pylori) ร่วมด้วย



1. สัญญาณเตือนของกระเพาะอาหารอักเสบ: เมื่อท้องไส้เริ่มส่งสัญญาณ

อาการของโรคกระเพาะอาหารอักเสบสามารถแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล และอาจมีความรุนแรงไม่เท่ากัน บางคนอาจไม่มีอาการเลยก็ได้ แต่โดยทั่วไปอาการที่พบบ่อย ได้แก่:

  • ปวดท้อง หรือไม่สบายท้อง (Abdominal Pain/Discomfort):
    • มักจะปวดบริเวณลิ้นปี่ หรือช่องท้องส่วนบน อาจปวดแบบจุกแน่น, แสบ, ร้อน, หรือปวดบิด
    • อาการปวดมักเป็นมากขึ้นเวลาท้องว่าง หรือเมื่อรับประทานอาหารบางชนิด และอาจดีขึ้นหลังรับประทานอาหาร หรือหลังรับประทานยาลดกรด
  • แสบท้องกลางดึก หรือตอนท้องว่าง (Nocturnal or Empty Stomach Pain): เป็นอาการที่พบบ่อย
  • คลื่นไส้ (Nausea): รู้สึกพะอืดพะอม อยากอาเจียน
  • อาเจียน (Vomiting): อาจมีน้ำย่อยหรืออาหารออกมา
  • ท้องอืด แน่นท้อง (Bloating/Fullness): รู้สึกอิ่มเร็วผิดปกติ แม้รับประทานอาหารไปไม่มาก
  • เบื่ออาหาร (Loss of Appetite): ไม่อยากรับประทานอาหาร
  • เรอเปรี้ยว หรือมีลมในท้องมาก (Acid Reflux/Excessive Burping): อาจมีอาการร่วมกับโรคกรดไหลย้อน
  • อุจจาระมีสีดำ หรืออาเจียนเป็นเลือด (Melena/Hematemesis):
    • เป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่ามีเลือดออกในกระเพาะอาหาร ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

หากคุณมีอาการเหล่านี้บ่อยครั้ง หรืออาการรุนแรงขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยโดยละเอียด



2. สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของกระเพาะอาหารอักเสบ: ทำไมเยื่อบุกระเพาะถึงอักเสบ?

โรคกระเพาะอาหารอักเสบเกิดจากหลายปัจจัยที่ทำให้เยื่อบุในกระเพาะอาหารเกิดการระคายเคืองหรือถูกทำลาย:

  • 2.1 การติดเชื้อแบคทีเรีย H. pylori (Helicobacter pylori Infection):
    • เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด โดยเฉพาะในกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง แบคทีเรียชนิดนี้สามารถมีชีวิตอยู่ในกระเพาะอาหารและทำให้เยื่อบุอักเสบได้

  • 2.2 การใช้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Nonsteroidal Anti-inflammatory Drugs – NSAIDs):
    • เช่น Aspirin, Ibuprofen, Naproxen, Diclofenac การใช้ยาเหล่านี้เป็นประจำหรือในปริมาณมาก สามารถระคายเคืองเยื่อบุกระเพาะอาหารและทำให้เกิดการอักเสบได้

  • 2.3 การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก (Excessive Alcohol Consumption):
    • แอลกอฮอล์สามารถกัดกร่อนและระคายเคืองเยื่อบุกระเพาะอาหารโดยตรง

  • 2.4 ความเครียดรุนแรง (Severe Stress):
    • ความเครียดทางกายภาพรุนแรง เช่น การบาดเจ็บหนัก, การผ่าตัดใหญ่, การติดเชื้อรุนแรง, ไฟไหม้ อาจทำให้เกิดกระเพาะอาหารอักเสบเฉียบพลันได้ (Stress Gastritis)

  • 2.5 การรับประทานอาหารและเครื่องดื่มบางชนิด:
    • อาหารรสจัด เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด
    • อาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรค
    • เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน, น้ำอัดลม

  • 2.6 การติดเชื้ออื่นๆ:
    • การติดเชื้อไวรัส, ปรสิต, หรือเชื้อรา (พบน้อย)

  • 2.7 ภาวะแพ้ภูมิตนเอง (Autoimmune Gastritis):
    • ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไปทำลายเซลล์เยื่อบุกระเพาะอาหารเอง ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะโลหิตจางจากการขาดวิตามินบี 12

  • 2.8 โรคอื่นๆ:
    • โรคโครห์น (Crohn’s Disease), โรคซาร์คอยโดสิส (Sarcoidosis)

  • 2.9 การได้รับรังสีรักษา (Radiation Exposure) บริเวณช่องท้อง:

  • 2.10 การไหลย้อนของน้ำดี (Bile Reflux):
    • น้ำดีไหลย้อนจากลำไส้เล็กเข้าสู่กระเพาะอาหาร ทำให้เกิดการระคายเคืองเยื่อบุ



3. การวินิจฉัยโรคกระเพาะอาหารอักเสบ: ตรวจอย่างไรให้รู้ว่าใช่?

การวินิจฉัยโรคกระเพาะอาหารอักเสบทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ (อายุรแพทย์ทางเดินอาหาร) โดยอาศัยการตรวจหลายอย่างร่วมกัน:

  • การซักประวัติและตรวจร่างกาย (Clinical History and Physical Exam): แพทย์จะซักถามอาการ, พฤติกรรมการกิน, การใช้ยา, และประวัติสุขภาพอื่นๆ รวมถึงการคลำช่องท้อง

  • การทดสอบเพื่อหาเชื้อ H. pylori:
    • การตรวจลมหายใจ (Urea Breath Test): เป็นวิธีที่ง่ายและแม่นยำ
    • การตรวจหาเชื้อจากอุจจาระ (Stool Antigen Test):
    • การตรวจเลือด (Blood Test): เพื่อหาแอนติบอดีต่อเชื้อ H. pylori (แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นเชื้อที่กำลังมีอยู่หรือไม่)

  • การส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนต้น (Esophagogastroduodenoscopy – EGD หรือ Upper Endoscopy):
    • เป็นการตรวจที่แม่นยำที่สุด ในการวินิจฉัยและประเมินความรุนแรงของกระเพาะอาหารอักเสบ
    • แพทย์จะสอดกล้องขนาดเล็กที่มีไฟและเลนส์เข้าไปทางปาก ผ่านหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ไปจนถึงลำไส้เล็กส่วนต้น เพื่อดูสภาพของเยื่อบุ
    • สามารถตัดชิ้นเนื้อ (Biopsy) ส่งตรวจทางพยาธิวิทยา เพื่อยืนยันการอักเสบ, หาเชื้อ H. pylori, หรือตรวจหาสัญญาณของมะเร็ง

  • การถ่ายภาพรังสีส่วนบนของทางเดินอาหาร (Upper GI Series หรือ Barium Swallow):
    • ผู้ป่วยจะดื่มสารทึบแสง (Barium) แล้วทำการ X-ray เพื่อดูโครงสร้างของหลอดอาหาร, กระเพาะอาหาร, และลำไส้เล็กส่วนต้น แต่มักไม่นิยมใช้เท่าการส่องกล้องในการวินิจฉัยกระเพาะอาหารอักเสบ



4. เภสัชจุลศาลและนวัตกรรมการแพทย์: แนวทางการดูแลรักษาโรคกระเพาะอาหารอักเสบ

การรักษาโรคกระเพาะอาหารอักเสบมีเป้าหมายเพื่อลดการอักเสบ, ลดอาการปวด, และแก้ไขสาเหตุที่ทำให้เกิดการอักเสบ ซึ่งจะประกอบด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการใช้ยา

4.1 ยาที่ใช้รักษาโรคกระเพาะอาหารอักเสบ (Gastritis Medications)

การใช้ยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรอย่างเคร่งครัด

  • ยากลุ่ม Proton Pump Inhibitors (PPIs):
    • เป็นยาหลักที่ใช้ในการลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาอาการและช่วยให้เยื่อบุกระเพาะอาหารที่อักเสบหายเร็วขึ้น
    • ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: Omeprazole, Esomeprazole (เช่น Nexium), Lansoprazole, Pantoprazole, Rabeprazole
    • ข้อควรพิจารณา: ควรรับประทานก่อนอาหารประมาณ 30-60 นาที และใช้ตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

  • ยากลุ่ม H2 Receptor Blockers (H2RAs):
    • ลดการหลั่งกรดเช่นกัน แต่มีประสิทธิภาพน้อยกว่า PPIs มักใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง
    • ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: Famotidine (เช่น Pepcid), Cimetidine

  • ยาลดกรด (Antacids):
    • ช่วยบรรเทาอาการปวดแสบท้องได้อย่างรวดเร็ว โดยการสะเทินกรดในกระเพาะอาหาร แต่มีฤทธิ์สั้นและไม่ได้ลดการหลั่งกรด
    • ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: ยาน้ำลดกรดที่มีส่วนผสมของ Aluminum Hydroxide, Magnesium Hydroxide, Simethicone

  • ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics):
    • หากตรวจพบว่ามีการติดเชื้อ H. pylori แพทย์จะสั่งยาปฏิชีวนะ 2-3 ชนิด ร่วมกับยาลดกรด (PPI) เพื่อกำจัดเชื้อ ซึ่งเรียกว่า Triple Therapy หรือ Quadruple Therapy
    • ตัวอย่างยาปฏิชีวนะ: Amoxicillin, Clarithromycin, Metronidazole, Tetracycline
    • ข้อควรพิจารณา: ต้องรับประทานยาให้ครบตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เชื้อหมดไปและลดโอกาสการดื้อยา

  • ยาเคลือบกระเพาะอาหาร (Mucosal Protective Agents):
    • ช่วยสร้างเกราะป้องกันเยื่อบุกระเพาะอาหารจากการทำลายของกรด
    • ตัวอย่างยี่ห้อ: Sucralfate, Rebamipide

ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลยาที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างและเพื่อการศึกษาเท่านั้น การใช้ยาใดๆ ต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำและการดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรอย่างเคร่งครัด ห้ามซื้อยาหรือปรับขนาดยาเองเด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงหรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้


4.2 นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการแพทย์ในการรักษา

  • การพัฒนา Endoscopy ที่แม่นยำขึ้น: กล้องส่องตรวจที่ให้ภาพคมชัดยิ่งขึ้น และมีเทคนิคการเก็บชิ้นเนื้อที่ละเอียดอ่อนขึ้น เพื่อการวินิจฉัยที่แม่นยำ
  • การวิจัยยาใหม่ๆ: เพื่อค้นหายาที่มีกลไกการออกฤทธิ์ที่หลากหลายขึ้น และมีผลข้างเคียงน้อยลง โดยเฉพาะยาที่มุ่งเป้าไปที่การกำจัดเชื้อ H. pylori ที่ดื้อยา
  • AI ในการวินิจฉัย: การใช้ปัญญาประดิษฐ์มาช่วยวิเคราะห์ภาพจากการส่องกล้อง เพื่อช่วยระบุบริเวณที่มีการอักเสบหรือรอยโรคที่อาจนำไปสู่มะเร็งได้รวดเร็วและแม่นยำขึ้น



5. การดูแลตัวเองและแนวทางการป้องกัน: ถนอมกระเพาะให้แข็งแรง

การป้องกันโรคกระเพาะอาหารอักเสบและการชะลอการดำเนินของโรคเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง:

  • หลีกเลี่ยงอาหารที่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร:
    • อาหารรสจัด เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด
    • อาหารมันๆ ทอดๆ
    • เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน (ชา, กาแฟ), น้ำอัดลม
    • แอลกอฮอล์
  • รับประทานอาหารให้ตรงเวลา: ไม่ควรปล่อยให้ท้องว่างนานเกินไป
  • รับประทานอาหารมื้อเล็กๆ แต่บ่อยขึ้น: แทนที่จะรับประทานมื้อใหญ่ๆ
  • เคี้ยวอาหารให้ละเอียด: และรับประทานช้าๆ
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยา NSAIDs โดยไม่จำเป็น: หากจำเป็นต้องใช้ ควรปรึกษาแพทย์และรับประทานพร้อมอาหารเสมอ
  • จัดการความเครียด (Stress Management): หาเทคนิคการผ่อนคลายความเครียดที่เหมาะสม เช่น การทำสมาธิ, โยคะ, การออกกำลังกาย
  • งดสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่ทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารและทำให้แผลหายช้าลง
  • รักษาความสะอาดของอาหารและน้ำ: เพื่อป้องกันการติดเชื้อต่างๆ
  • พักผ่อนให้เพียงพอ:
  • ตรวจหาและกำจัดเชื้อ H. pylori: หากมีอาการเรื้อรังและสงสัยว่าติดเชื้อ

6. การดูแลรักษาและใช้ชีวิตอยู่กับโรคกระเพาะอาหารอักเสบ: สบายท้องในทุกวัน

เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบแล้ว การดูแลอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญ:

  • ปฏิบัติตามแผนการรักษาของแพทย์อย่างเคร่งครัด: ทั้งการใช้ยาและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
  • หลีกเลี่ยงอาหารและพฤติกรรมที่กระตุ้นอาการ: จดบันทึกว่าอาหารชนิดใดที่ทำให้อาการแย่ลง เพื่อหลีกเลี่ยง
  • มาพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามผล: และอาจมีการตรวจซ้ำเพื่อประเมินการหายของเยื่อบุ หรือกำจัดเชื้อ H. pylori
  • จัดการความเครียดอย่างมีประสิทธิภาพ:
  • สังเกตอาการผิดปกติ: หากมีอาการปวดรุนแรงขึ้น, อาเจียนเป็นเลือด, อุจจาระดำ หรือน้ำหนักลดผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

สรุป: กระเพาะอักเสบจัดการได้ ด้วยความเข้าใจและการดูแลที่ใส่ใจ

โรคกระเพาะอาหารอักเสบเป็นภาวะที่สร้างความไม่สบายท้องและรบกวนชีวิตประจำวัน แต่สามารถควบคุมและจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ การตระหนักรู้ถึงอาการ การวินิจฉัยที่ถูกต้อง การรักษาที่เหมาะสมทั้งด้วยยา และที่สำคัญที่สุดคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการบริโภคอาหารอย่างเคร่งครัดและยั่งยืน คือหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้คุณสามารถจัดการกับโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข ปราศจากอาการปวดท้องที่กวนใจ


ข้อมูลอ้างอิงและข้อควรระวังสำคัญ:

  • ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลยาและนวัตกรรมทางการแพทย์ที่กล่าวมาข้างต้นมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาและให้ข้อมูลเท่านั้น การวินิจฉัยโรค การเลือกวิธีการรักษา หรือการใช้ยาใดๆ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ (เช่น อายุรแพทย์ทางเดินอาหาร) อย่างเคร่งครัด ห้ามวินิจฉัยโรคด้วยตนเอง หรือซื้อยาและเลือกการรักษาโดยไม่ปรึกษาแพทย์เด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงหรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้ แพทย์จะพิจารณาความเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย โดยคำนึงถึงประโยชน์และความเสี่ยง

แหล่งอ้างอิง:

  • ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย. (2565). แนวทางการวินิจฉัยและรักษาโรคกระเพาะอาหารอักเสบ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์เว็บไซต์ของราชวิทยาลัยฯ หรือหน้าคู่มือที่เกี่ยวข้อง)
  • กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. (2565). โรคกระเพาะอาหารอักเสบ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นหากมี)
  • โรงพยาบาลชั้นนำในประเทศไทย (เช่น โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, โรงพยาบาลรามาธิบดี). บทความให้ความรู้เกี่ยวกับโรคกระเพาะอาหารอักเสบ. (ยกตัวอย่างบทความจากโรงพยาบาลที่น่าเชื่อถือ)
  • สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.). ข้อมูลยาที่ได้รับอนุมัติในประเทศไทย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์ที่เกี่ยวข้องหากต้องการ เช่น ฐานข้อมูลยา)

เรียบเรียงข้อมูลโดย ( Compiled by): www.chulalakpharmacy.com

บทความที่คุณอาจสนใจ

  • แชร์

    ยังไม่มีบัญชี