ความเสี่ยงร้ายแรงที่คุณต้องเผชิญ หากปล่อย “หูดหงอนไก่” ทิ้งไว้

หูดหงอนไก่ (Genital Warts หรือ Condyloma Acuminata) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) ที่พบได้บ่อย เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Human Papillomavirus (HPV) สายพันธุ์ความเสี่ยงต่ำ (โดยเฉพาะ HPV-6 และ HPV-11)

แม้ว่าหูดหงอนไก่ส่วนใหญ่จะไม่ทำให้เกิดมะเร็ง แต่ การปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา หรือการมีหูดเป็นเวลานาน สามารถนำไปสู่ความเสี่ยงร้ายแรงและภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว ดังนี้:

  1. การลุกลามและทำลายเนื้อเยื่อ: หูดมีขนาดใหญ่ขึ้น ขยายจำนวนมากขึ้นจนปกคลุมบริเวณอวัยวะเพศหรือทวารหนัก
  2. การติดเชื้อร่วมกับสายพันธุ์เสี่ยงสูง: เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปากมดลูก, มะเร็งทวารหนัก, และมะเร็งอวัยวะเพศชาย/หญิง หากมีการติดเชื้อ HPV สายพันธุ์เสี่ยงสูง (เช่น HPV-16, 18) ร่วมด้วย

กลไกการออกฤทธิ์ผ่านพฤติกรรม

หูดหงอนไก่เป็นอาการที่เกิดจากไวรัส HPV เข้าไปรบกวนวงจรการแบ่งตัวของเซลล์เยื่อบุผิว ทำให้เซลล์แบ่งตัวผิดปกติจนเกิดเป็นตุ่มเนื้อคล้ายดอกกะหล่ำ

  • การเพิ่มความเสี่ยงจากการปล่อยทิ้งไว้: เมื่อหูดถูกปล่อยทิ้งไว้
    • การขยายตัว: หูดจะใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนอาจอุดกั้นทางเดินปัสสาวะหรือช่องคลอด/ทวารหนัก ทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้ง่าย
    • การแพร่เชื้อ: การมีหูดที่มองเห็นได้ชัดเจน หมายถึงมีปริมาณไวรัสสูง และเพิ่มโอกาสในการแพร่เชื้อไปยังคู่นอนหรือบริเวณอื่น ๆ ของร่างกายอย่างต่อเนื่อง
    • ภาวะแทรกซ้อนทางจิตใจ: การมีรอยโรคเรื้อรังนำไปสู่ความวิตกกังวล ความเครียด และทำลายความมั่นใจในชีวิตคู่และสุขภาพทางเพศอย่างร้ายแรง

ความเสี่ยงร้ายแรงที่คุณต้องเผชิญ หากปล่อยทิ้งไว้

ความเสี่ยงที่สำคัญจากการปล่อยหูดหงอนไก่ทิ้งไว้ แบ่งเป็น 3 ด้านหลัก:

1. ความเสี่ยงด้านการลุกลามและติดเชื้อเฉพาะที่ (Local Complications)

ภาวะแทรกซ้อนรายละเอียดความเสี่ยง
การลุกลามขนาดใหญ่หูดรวมกันเป็นก้อนใหญ่ (Buschke-Löwenstein Tumor) ซึ่งหายากแต่สามารถทำลายโครงสร้างของอวัยวะเพศและต้องการการผ่าตัดใหญ่
การอุดกั้นทางเดินหากหูดขึ้นที่รูเปิดท่อปัสสาวะหรือช่องคลอด/ทวารหนัก อาจทำให้เกิดปัญหาในการปัสสาวะ ขับถ่าย หรือการคลอดบุตร
การติดเชื้อทุติยภูมิหูดมีการอักเสบ, แตกเป็นแผล, มีเลือดออก, คัน, หรือมีหนอง/กลิ่นผิดปกติจากการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
การกลับเป็นซ้ำการไม่รักษารอยโรคจะทำให้การกลับมาเป็นซ้ำเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าผู้ที่รักษาจนหาย

2. ความเสี่ยงด้านมะเร็ง (Cancer Risk)

แม้ว่า HPV-6 และ HPV-11 จะเป็นสายพันธุ์ความเสี่ยงต่ำ แต่การติดเชื้อ HPV มักมาพร้อมกับการติดเชื้อหลายสายพันธุ์พร้อมกัน รวมถึงสายพันธุ์เสี่ยงสูง (High-Risk HPV) อย่าง HPV-16 และ HPV-18 ที่เป็นสาเหตุหลักของมะเร็ง:

  • มะเร็งทวารหนัก (Anal Cancer): การมีหูดหงอนไก่บริเวณทวารหนักมีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงมะเร็งทวารหนักที่สูงขึ้น
  • มะเร็งอวัยวะเพศ (Penile/Vulvar/Vaginal Cancer): มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในการเกิดมะเร็งที่อวัยวะเพศภายนอก (ในผู้หญิง) และมะเร็งองคชาต (ในผู้ชาย)
  • มะเร็งปากมดลูกในผู้หญิง: ผู้หญิงที่มีหูดหงอนไก่ควรรับการตรวจ Pap Smear หรือ HPV DNA Test อย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากมีความเสี่ยงในการติดเชื้อ HPV สายพันธุ์ก่อมะเร็งร่วมด้วย

3. ความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์

  • Recurrent Respiratory Papillomatosis (RRP): หากมารดามีหูดหงอนไก่และคลอดบุตรทางช่องคลอด ทารกมีความเสี่ยงที่เชื้อ HPV จะเข้าสู่ทางเดินหายใจ ทำให้เกิดหูดที่กล่องเสียงหรือหลอดลมของทารก ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตและต้องได้รับการผ่าตัดซ้ำหลายครั้ง

5 ขั้นตอนง่ายๆ ที่สามารถทำได้ทันทีเพื่อป้องกันความเสี่ยง

  1. ปรึกษาแพทย์ทันทีที่สงสัย: อย่าปล่อยให้หูดมีขนาดใหญ่หรือลุกลาม ควรรีบพบแพทย์ผิวหนังหรือสูตินรีแพทย์เพื่อยืนยันการวินิจฉัยและเริ่มการรักษาที่เหมาะสม
  2. ตรวจคัดกรองมะเร็งสม่ำเสมอ: ผู้หญิงทุกคนควรตรวจ Pap Smear/HPV Test ตามคำแนะนำของแพทย์ และควรปรึกษาแพทย์เรื่องการคัดกรองมะเร็งทวารหนักสำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง
  3. แจ้งคู่ของคุณ: ควรแจ้งคู่ของคุณให้รับทราบและเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรักษา เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำไปมาระหว่างกัน (Ping-Pong Infection)
  4. ฉีดวัคซีน HPV (ถ้ายังไม่เคย): การฉีดวัคซีน HPV (แม้จะมีหูดหงอนไก่แล้ว) สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อ HPV สายพันธุ์อื่น ๆ ในอนาคตได้
  5. เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: เนื่องจากภูมิคุ้มกันมีบทบาทสำคัญในการกำจัดไวรัสในร่างกาย การพักผ่อนให้เพียงพอ, การไม่สูบบุหรี่, และการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์จะช่วยลดโอกาสที่หูดจะกลับมาเป็นซ้ำได้

อาหารเสริมที่ช่วยบำรุง ดูแล หรือป้องกัน

หูดหงอนไก่เกิดจากไวรัส HPV ซึ่งการรักษาหลักคือการกำจัดรอยโรคและการปรับภูมิคุ้มกัน อาหารเสริมบางชนิดถูกใช้เพื่อสนับสนุนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน:

  • สารสกัดจากชาเขียว (Green Tea Extract): มีสาร Catechins ที่มีคุณสมบัติต้านไวรัสและต้านการอักเสบ บางผลิตภัณฑ์ยาเฉพาะที่ (เช่น Sinecatechins) มีการใช้เพื่อรักษารอยโรค
  • เห็ดหลินจือ / Beta-Glucans: มีงานวิจัยที่สนับสนุนว่าช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ต่อสู้กับการติดเชื้อไวรัสได้
  • วิตามิน D และ Zinc: มีความสำคัญต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันโดยรวม หากร่างกายขาดจะส่งผลต่อความสามารถในการกำจัดไวรัส

รักษาหูดหงอนไก่

ข้อควรระวังและคำแนะนำเพิ่มเติม

  • หูดหงอนไก่ไม่หายขาดเองง่าย ๆ: แม้ว่าภูมิคุ้มกันสามารถกำจัดไวรัสได้เองในหลายกรณี แต่หูดที่ปรากฏขึ้นแล้วมักไม่หายไปเอง และควรได้รับการรักษาเพื่อลดปริมาณไวรัสและลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อ
  • หูดและมะเร็ง: แม้หูดหงอนไก่ส่วนใหญ่จะไม่นำไปสู่มะเร็งโดยตรง แต่การมีหูดบ่งชี้ว่าคุณมีการติดเชื้อ HPV แล้ว ซึ่งเพิ่มความจำเป็นในการคัดกรองมะเร็งอย่างเข้มงวด

“ข้อมูลในบทความนี้เป็นเพียงความรู้เบื้องต้น ไม่สามารถใช้ทดแทนการปรึกษาและวินิจฉัยจากแพทย์หรือเภสัชได้ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเมื่อใช้ยา หรือมีปัญหาสุขภาพ”


แหล่งข้อมูลอ้างอิง:

  1. Centers for Disease Control and Prevention (CDC). Genital Warts Fact Sheet. [ข้อมูลอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับหูดหงอนไก่จากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค]
  2. DynaMed. Condyloma Acuminatum: Complications and Associated Conditions. [ข้อมูลทางคลินิกเกี่ยวกับภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับหูดหงอนไก่]
  3. คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล. หูดหงอนไก่ “เรื่องใหญ่” กว่าที่คิด. [บทความให้ความรู้เกี่ยวกับผลกระทบทางจิตใจและสังคมของหูดหงอนไก่]
  4. StatPearls. Genital Warts and Human Papillomavirus. [ข้อมูลทางเภสัชวิทยาและพยาธิกำเนิดของ HPV และหูดหงอนไก่]

เรียบเรียงโดย (Compiled by): www.chulalakpharmacy.com

แชร์

ยังไม่มีบัญชี