โรค กลาก (Ringworm) และโรค เกลื้อน (Tinea Versicolor) แม้จะเกิดจากเชื้อราทั้งคู่ แต่ก็เป็นคนละโรคที่มีสาเหตุ ลักษณะอาการ และวิธีการติดต่อที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนครับ การแยกให้ขาดเป็นสิ่งสำคัญเพื่อการรักษาที่ถูกต้อง
นี่คือตารางเปรียบเทียบอาการและลักษณะที่สำคัญของทั้งสองโรค:
สรุปความแตกต่างของโรคกลาก และโรคเกลื้อน
| ลักษณะที่เปรียบเทียบ | โรคกลาก (Ringworm) | โรคเกลื้อน (Tinea Versicolor) |
|---|---|---|
| ชื่อทางการแพทย์ | Tinea Corporis (กลากตามลำตัว), Tinea Cruris (สังคัง), Tinea Pedis (น้ำกัดเท้า) | Pityriasis Versicolor หรือ Tinea Versicolor |
| เชื้อราที่ก่อโรค | เชื้อรากลุ่ม เดอร์มาโตไฟต์ (Dermatophytes) [2, 3] | เชื้อรากลุ่ม มาลาสซีเซีย (Malassezia furfur) [2, 4] |
| สาเหตุ/กลไก | ติดเชื้อจากภายนอก (คนสู่คน, สัตว์สู่คน, ดิน) โดยเชื้อเข้าทำลายเคราติน [2] | เป็นเชื้อที่อยู่บนผิวหนังปกติอยู่แล้ว แต่เจริญเติบโตมากผิดปกติเมื่อมีปัจจัยกระตุ้น (ความร้อน, เหงื่อ, ผิวมัน) [4] |
| ลักษณะรอยโรค | ผื่น วงกลมหรือวงแหวนสีแดง ขอบเขตชัดเจน ขอบผื่นมักจะ นูนและแดงกว่า ตรงกลางอาจดูจางลง [1] | ผื่นเป็น ดวงกลมหรือวงรีเล็ก ๆ มีสีที่แตกต่างจากผิวหนังปกติ (สีขาว, น้ำตาลอ่อน, ชมพู, หรือดำ) [1, 2] |
| อาการเด่น | คันมาก โดยเฉพาะที่ขอบผื่น [1] | คันเล็กน้อย หรือ ไม่มีอาการคัน เลยก็ได้ [2] |
| บริเวณที่พบบ่อย | ขึ้นได้ทุกส่วน ของร่างกาย (ตามลำตัว แขน ขา) รวมถึงขาหนีบ (สังคัง) และเท้า (น้ำกัดเท้า) [1] | มักขึ้นในบริเวณที่มี ต่อมไขมันเยอะและเหงื่อออกมาก เช่น หน้าอก, แผ่นหลัง, ต้นคอ, และใบหน้า [2] |
| การติดต่อ | ติดต่อได้ง่าย ผ่านการสัมผัสโดยตรง หรือการใช้สิ่งของร่วมกัน [2] | ไม่ถือเป็นโรคติดต่อ (เพราะเชื้ออยู่บนผิวหนังอยู่แล้ว) [2] |
| รอยโรคหลังหาย | มักจะหายสนิท ไม่มีรอยด่าง [1] | แม้เชื้อราจะถูกทำลายแล้ว รอยด่างสีขาว/ดำอาจ คงอยู่นานหลายเดือน จนกว่าผิวหนังจะสร้างเม็ดสีกลับมาเป็นปกติ [4] |
กลไกการออกฤทธิ์และการรักษาที่คล้ายคลึงกัน
แม้จะแตกต่างกัน แต่ทั้งโรคกลากและโรคเกลื้อนมีจุดร่วมกันคือการรักษาด้วยยา ต้านเชื้อรา (Antifungal drugs)
- ยาทาหลัก: มักใช้ยาทาที่มีส่วนผสมของ Ketoconazole, Clotrimazole, หรือ Terbinafine ทาอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำ
- การดูแลตนเอง: เน้นการ ลดความอับชื้น และรักษาผิวหนังให้แห้งสะอาดอยู่เสมอเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ
โดยสรุปแล้ว การสังเกต ลักษณะผื่น (วงแหวนแดงคัน vs. รอยด่างสีไม่เท่ากัน) และ บริเวณที่เกิด จะช่วยให้คุณแยกโรคทั้งสองชนิดนี้ได้ง่ายที่สุด [1, 3]
โรค กลาก (Ringworm) และโรค เกลื้อน (Tinea Versicolor) แม้จะเกิดจากเชื้อราทั้งคู่ แต่ก็เป็นคนละโรคที่มีสาเหตุ ลักษณะอาการ และวิธีการติดต่อที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนครับ การแยกให้ขาดเป็นสิ่งสำคัญเพื่อการรักษาที่ถูกต้อง

สรุปความแตกต่างของโรคกลาก และโรคเกลื้อน
| ลักษณะที่เปรียบเทียบ | โรคกลาก (Ringworm) | โรคเกลื้อน (Tinea Versicolor) |
|---|---|---|
| ชื่อทางการแพทย์ | Tinea Corporis (กลากตามลำตัว), Tinea Cruris (สังคัง), Tinea Pedis (น้ำกัดเท้า) | Pityriasis Versicolor หรือ Tinea Versicolor |
| เชื้อราที่ก่อโรค | เชื้อรากลุ่ม เดอร์มาโตไฟต์ (Dermatophytes) [2, 3] | เชื้อรากลุ่ม มาลาสซีเซีย (Malassezia furfur) [2, 4] |
| สาเหตุ/กลไก | ติดเชื้อจากภายนอก (คนสู่คน, สัตว์สู่คน, ดิน) โดยเชื้อเข้าทำลายเคราติน [2] | เป็นเชื้อที่อยู่บนผิวหนังปกติอยู่แล้ว แต่เจริญเติบโตมากผิดปกติเมื่อมีปัจจัยกระตุ้น (ความร้อน, เหงื่อ, ผิวมัน) [4] |
| ลักษณะรอยโรค | ผื่น วงกลมหรือวงแหวนสีแดง ขอบเขตชัดเจน ขอบผื่นมักจะ นูนและแดงกว่า ตรงกลางอาจดูจางลง [1] | ผื่นเป็น ดวงกลมหรือวงรีเล็ก ๆ มีสีที่แตกต่างจากผิวหนังปกติ (สีขาว, น้ำตาลอ่อน, ชมพู, หรือดำ) [1, 2] |
| อาการเด่น | คันมาก โดยเฉพาะที่ขอบผื่น [1] | คันเล็กน้อย หรือ ไม่มีอาการคัน เลยก็ได้ [2] |
| บริเวณที่พบบ่อย | ขึ้นได้ทุกส่วน ของร่างกาย (ตามลำตัว แขน ขา) รวมถึงขาหนีบ (สังคัง) และเท้า (น้ำกัดเท้า) [1] | มักขึ้นในบริเวณที่มี ต่อมไขมันเยอะและเหงื่อออกมาก เช่น หน้าอก, แผ่นหลัง, ต้นคอ, และใบหน้า [2] |
| การติดต่อ | ติดต่อได้ง่าย ผ่านการสัมผัสโดยตรง หรือการใช้สิ่งของร่วมกัน [2] | ไม่ถือเป็นโรคติดต่อ (เพราะเชื้ออยู่บนผิวหนังอยู่แล้ว) [2] |
| รอยโรคหลังหาย | มักจะหายสนิท ไม่มีรอยด่าง [1] | แม้เชื้อราจะถูกทำลายแล้ว รอยด่างสีขาว/ดำอาจ คงอยู่นานหลายเดือน จนกว่าผิวหนังจะสร้างเม็ดสีกลับมาเป็นปกติ [4] |
กลไกการออกฤทธิ์และการรักษาที่คล้ายคลึงกัน
แม้จะแตกต่างกัน แต่ทั้งโรคกลากและโรคเกลื้อนมีจุดร่วมกันคือการรักษาด้วยยา ต้านเชื้อรา (Antifungal drugs)
- ยาทาหลัก: มักใช้ยาทาที่มีส่วนผสมของ Ketoconazole, Clotrimazole, หรือ Terbinafine ทาอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำ
- การดูแลตนเอง: เน้นการ ลดความอับชื้น และรักษาผิวหนังให้แห้งสะอาดอยู่เสมอเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ
โดยสรุปแล้ว การสังเกต ลักษณะผื่น (วงแหวนแดงคัน vs. รอยด่างสีไม่เท่ากัน) และ บริเวณที่เกิด จะช่วยให้คุณแยกโรคทั้งสองชนิดนี้ได้ง่ายที่สุด [1, 3]
“ข้อมูลในบทความนี้เป็นเพียงความรู้เบื้องต้น ไม่สามารถใช้ทดแทนการปรึกษาและวินิจฉัยจากแพทย์หรือเภสัชได้ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเมื่อใช้ยา หรือมีปัญหาสุขภาพ”
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
กรมการแพทย์ Department of medical services
เรียบเรียงโดย (Compiled by) : www.chulalakpharmacy.com










