ค่าน้ำตาลสะสม (HbA1c) คืออะไร? สำคัญอย่างไร ในการดูแลเบาหวาน และ เป้าหมาย ที่คุณควรไปให้ถึงคือเท่าไหร่? มาทำความเข้าใจค่านี้เพื่อการควบคุมเบาหวานที่มีประสิทธิภาพ
ทำความเข้าใจค่าน้ำตาลสะสม (HbA1c): สำคัญอย่างไร? เป้าหมายที่คุณควรไปให้ถึง
สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน การตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตัวเองที่บ้านเป็นประจำ (เช่น การเจาะเลือดปลายนิ้ว) ให้ข้อมูลระดับน้ำตาล ณ เวลานั้น แต่การจะบอกว่าการควบคุมเบาหวานของคุณในภาพรวมเป็นอย่างไรตลอดหลายเดือนที่ผ่านมานั้น ค่าน้ำตาลสะสม หรือ HbA1c (ฮีโมโกลบิน เอวันซี) คือตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุด [1] การเข้าใจว่า “ค่าน้ำตาลสะสม (HbA1c) คืออะไร” และ “สำคัญอย่างไร” จะช่วยให้คุณและแพทย์สามารถประเมินผลการรักษาและวางแผนการดูแลเบาหวานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสุขภาพที่ดีและห่างไกลจากภาวะแทรกซ้อน
ค่าน้ำตาลสะสม (HbA1c) คืออะไร?
ค่าน้ำตาลสะสม (HbA1c) คือค่าที่แสดงถึง ระดับน้ำตาลเฉลี่ยในเลือด ย้อนหลังไปประมาณ 2-3 เดือน [1] อธิบายง่ายๆ คือ:
- เมื่อน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น น้ำตาลจะเข้าไปจับกับฮีโมโกลบิน (โปรตีนที่อยู่ในเม็ดเลือดแดง)
- เม็ดเลือดแดงมีอายุประมาณ 2-3 เดือน
- ดังนั้น ค่าน้ำตาลสะสม (HbA1c) จึงบอกได้ว่าในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา เม็ดเลือดแดงของคุณมีน้ำตาลไปจับอยู่มากน้อยเพียงใด ซึ่งสะท้อนถึงระดับน้ำตาลเฉลี่ยในกระแสเลือดนั่นเอง
ข้อดีของการตรวจ HbA1c:
- ไม่ต้องงดอาหาร: สามารถเจาะเลือดได้ทุกเวลา ไม่จำเป็นต้องงดอาหารก่อนการตรวจ [2]
- ให้ภาพรวมระยะยาว: แตกต่างจากการตรวจน้ำตาลปลายนิ้วที่ให้ผล ณ เวลาใดเวลาหนึ่งเท่านั้น
- ใช้ในการวินิจฉัยและติดตามผล: แพทย์ใช้ค่านี้ทั้งในการวินิจฉัยโรคเบาหวาน และประเมินประสิทธิภาพของการควบคุมโรคในผู้ป่วยเบาหวาน
ค่าน้ำตาลสะสม (HbA1c) สำคัญอย่างไรต่อการควบคุมเบาหวาน?
ค่าน้ำตาลสะสม (HbA1c) เป็นหัวใจสำคัญของการดูแลเบาหวานด้วยเหตุผลดังนี้ [1, 3]:
- บ่งบอกความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อน: ยิ่งค่า HbA1c สูงเท่าไหร่ ความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนระยะยาวจากเบาหวาน เช่น โรคตา ไต ประสาท และโรคหัวใจ ก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย
- ประเมินประสิทธิภาพการรักษา: ช่วยให้แพทย์รู้ว่าแผนการรักษาที่ใช้อยู่ (เช่น การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย หรือการใช้ยา) ได้ผลดีเพียงใด
- เป็นแนวทางในการปรับยา: หากค่า HbA1c ยังไม่ถึงเป้าหมาย แพทย์อาจพิจารณาปรับขนาดยา หรือเพิ่มชนิดของยา เพื่อให้การควบคุมน้ำตาลมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- เป็นแรงจูงใจให้ผู้ป่วย: การเห็นค่า HbA1c ลดลงเมื่อดูแลตัวเองดีขึ้น เป็นกำลังใจสำคัญให้ผู้ป่วยคงวินัยในการดูแลสุขภาพต่อไป
เป้าหมายค่าน้ำตาลสะสม (HbA1c) ที่คุณควรไปให้ถึง
โดยทั่วไป เป้าหมายค่าน้ำตาลสะสม (HbA1c) สำหรับผู้ป่วยเบาหวานส่วนใหญ่คือ ต่ำกว่า 7.0% [3, 4]
- HbA1c น้อยกว่า 5.7%: ถือเป็นระดับ ปกติ ไม่เป็นเบาหวาน
- HbA1c 5.7% ถึง 6.4%: อยู่ในภาวะ พรีเบาหวาน (Prediabetes) หรือภาวะเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวานในอนาคต [2]
- HbA1c 6.5% ขึ้นไป: วินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน (หากผลตรวจครั้งแรกยังไม่ยืนยัน อาจต้องตรวจซ้ำเพื่อยืนยัน) [2]
อย่างไรก็ตาม เป้าหมาย HbA1c อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น [3, 4]:
- อายุ: ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงอยู่แล้ว อาจมีเป้าหมายที่สูงกว่าเล็กน้อย
- ระยะเวลาที่เป็นเบาหวาน: ผู้ที่เพิ่งเป็น อาจมีเป้าหมายที่เข้มงวดกว่า
- ภาวะแทรกซ้อน: ผู้ที่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงแล้ว แพทย์อาจพิจารณาเป้าหมายที่แตกต่างออกไป
- การเกิดภาวะน้ำตาลต่ำบ่อยครั้ง: หากผู้ป่วยมีภาวะน้ำตาลต่ำบ่อยๆ แพทย์อาจผ่อนปรนเป้าหมายให้สูงขึ้นเล็กน้อยเพื่อความปลอดภัย
ดังนั้น การปรึกษาแพทย์จึงสำคัญที่สุด เพื่อให้แพทย์ประเมินและกำหนดเป้าหมาย HbA1c ที่เหมาะสมกับคุณที่สุด
การควบคุมค่าน้ำตาลสะสม (HbA1c) ให้ถึงเป้าหมาย
การจะทำให้ค่า HbA1c อยู่ในระดับเป้าหมายต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายส่วน [5]:
- ควบคุมอาหาร: เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว เพิ่มผัก ผลไม้ และใยอาหาร
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: ช่วยให้ร่างกายนำน้ำตาลไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มความไวของอินซูลิน
- ใช้ยาเบาหวานตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด: ไม่ว่าจะเป็นยาเม็ดหรือยาฉีดอินซูลิน การใช้ยาอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการควบคุมระดับน้ำตาลโดยรวม
- ตรวจระดับน้ำตาลปลายนิ้วเป็นประจำ: เพื่อติดตามผลรายวัน และนำข้อมูลไปปรับพฤติกรรมหรือปรึกษาแพทย์
- จัดการความเครียด: ความเครียดสามารถส่งผลต่อระดับน้ำตาลได้
สรุป: HbA1c คือเข็มทิศนำทางสู่สุขภาพที่ดี
ค่าน้ำตาลสะสม (HbA1c) ไม่ได้เป็นแค่ตัวเลข แต่เป็น “เข็มทิศ” ที่ช่วยนำทางให้คุณดูแลสุขภาพเบาหวานได้อย่างถูกต้อง การรู้ว่า “HbA1c สำคัญอย่างไร” และการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนร่วมกับแพทย์ จะช่วยให้คุณสามารถควบคุมเบาหวานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้อย่างยั่งยืนครับ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
- American Diabetes Association. (n.d.). A1C Test. Retrieved from https://diabetes.org/diabetes/a1c-test
- Centers for Disease Control and Prevention (CDC). (2023, April 20). Diagnosing Diabetes. Retrieved from https://www.cdc.gov/diabetes/basics/getting-diagnosed.html
- Mayo Clinic. (2024, May 09). Diabetes treatment: Lowering A1C. Retrieved from https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/diabetes/in-depth/diabetes-treatment/art-20044084
- National Institute of Diabetes and Digestive and Kidney Diseases (NIDDK). (n.d.). The A1C Test & Diabetes. Retrieved from https://www.niddk.nih.gov/health-information/diabetes/overview/managing-diabetes/a1c-test
- สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ. (น.ด.). การตรวจและติดตามผลการรักษาในผู้ป่วยเบาหวาน. เข้าถึงได้จาก: https://www.dmthai.org/attachments/article/409/6.Monitoring%20and%20Target.pdf
เรียบเรียงข้อมูลโดย www.chulalakpharmacy.com