ทำความเข้าใจโรคต้อกระจกอย่างละเอียด! เรียนรู้สาเหตุหลัก (อายุ), สัญญาณการมองเห็นที่เปลี่ยนไป (พร่ามัว, เห็นแสงกระจาย), แนวทางการวินิจฉัย, นวัตกรรมการรักษาด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตา พร้อมวิธีป้องกันเพื่อปกป้องดวงตาคู่สำคัญของคุณ
หัวข้อสำคัญ
Toggle
ต้อกระจก (Cataract) คืออะไร?
ต้อกระจก (Cataract) คือภาวะที่ เลนส์ตาธรรมชาติ (Natural Lens) ซึ่งปกติใสและโปร่งแสง เกิดการขุ่นมัวขึ้น ทำให้แสงไม่สามารถโฟกัสไปยังจอประสาทตาได้อย่างถูกต้อง ส่งผลให้การมองเห็นพร่ามัวลง คล้ายกับการมองผ่านม่านหมอก หรือกระจกฝ้า
เลนส์ตาทำหน้าที่สำคัญในการรวมแสงให้ตกลงบนจอประสาทตา ทำให้เรามองเห็นภาพได้ชัดเจน เมื่อเลนส์ตาขุ่นมัวลง การมองเห็นจะค่อยๆ ลดลงอย่างช้าๆ โดยที่ผู้ป่วยอาจไม่ทันสังเกตในระยะแรก แต่เมื่อต้อกระจกพัฒนามากขึ้น การมองเห็นจะแย่ลงจนรบกวนการดำเนินชีวิตประจำวัน ต้อกระจกเป็นสาเหตุสำคัญอันดับต้นๆ ของภาวะสายตาเลือนรางและตาบอดทั่วโลก แต่ข่าวดีคือ ต้อกระจกสามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการผ่าตัด
1. สัญญาณเตือนของต้อกระจก: เมื่อการมองเห็นเริ่มเปลี่ยนไป
อาการของต้อกระจกมักจะค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปในระยะเวลาหลายเดือนถึงหลายปี และมักเกิดกับตาทั้งสองข้างแต่มีความรุนแรงไม่เท่ากัน อาการที่พบบ่อย ได้แก่:
- การมองเห็นพร่ามัว หรือมองไม่ชัด (Cloudy or Blurry Vision): เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด คล้ายมองผ่านหมอกควัน หรือกระจกฝ้า
- ตาแพ้แสงจ้า (Glare Sensitivity): รู้สึกไม่สบายตา หรือมองเห็นแสงกระจาย โดยเฉพาะเวลากลางคืนเมื่อมองไฟหน้ารถ หรือแสงไฟตามท้องถนน
- การมองเห็นในเวลากลางคืนแย่ลง (Poor Night Vision): มองเห็นได้ไม่ดีในที่มืด หรือต้องใช้แสงสว่างมากกว่าปกติในการอ่านหนังสือ
- มองเห็นสีซีดจางลง (Fading or Yellowing of Colors): สีต่างๆ ดูไม่สดใส หรือเปลี่ยนเป็นโทนสีเหลืองหรือน้ำตาลมากขึ้น
- มองเห็นภาพซ้อน (Double Vision) ในตาข้างเดียว: อาจเกิดขึ้นได้ในระยะแรกของต้อกระจก (ต่างจากการมองเห็นภาพซ้อนสองตาที่มักเป็นจากปัญหาสายตาหรือระบบประสาท)
- การเปลี่ยนแปลงค่าสายตาบ่อยครั้ง (Frequent Changes in Eyeglass Prescription): รู้สึกว่าแว่นตาที่ใช้อยู่ไม่ชัดเหมือนเดิม และต้องเปลี่ยนค่าสายตาบ่อยขึ้น
- มองเห็นรัศมีรอบดวงไฟ (Halos around Lights): โดยเฉพาะในเวลากลางคืน
- สายตาดีขึ้นในระยะสั้น (Second Sight): บางคนอาจรู้สึกว่าสายตายาวกลับมามองใกล้ได้ชัดขึ้นชั่วคราวโดยไม่ต้องใช้แว่นอ่านหนังสือ เนื่องจากเลนส์ตาที่ขุ่นข้นขึ้นมีการหักเหของแสงเปลี่ยนไป แต่นี่เป็นเพียงอาการชั่วคราวและต้อกระจกจะแย่ลงในที่สุด
หากคุณมีอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยโดยละเอียด
2. สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของต้อกระจก: ทำไมเลนส์ตาจึงขุ่นมัว?
สาเหตุหลักของต้อกระจกส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับอายุที่เพิ่มขึ้น แต่ก็มีปัจจัยอื่น ๆ ที่สามารถเร่งให้เกิดต้อกระจกได้:
- 2.1 อายุที่เพิ่มขึ้น (Aging): เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด เมื่ออายุมากขึ้น โปรตีนในเลนส์ตาจะเสื่อมสภาพและจับตัวกันเป็นก้อน ทำให้เลนส์ตาขุ่นมัว
- 2.2 การได้รับรังสีอัลตราไวโอเลต (UV Radiation) มากเกินไป: การสัมผัสแสงแดดโดยไม่ป้องกันเป็นเวลานาน เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดต้อกระจก
- 2.3 โรคประจำตัวบางชนิด:
- โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus): ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นต้อกระจกและอาการอาจดำเนินไปอย่างรวดเร็ว
- โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension)
- โรคอ้วน (Obesity)
- 2.4 การสูบบุหรี่ (Smoking): เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดต้อกระจก
- 2.5 การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก (Excessive Alcohol Consumption): อาจเพิ่มความเสี่ยง
- 2.6 การได้รับบาดเจ็บที่ตา (Eye Injury): การถูกกระแทก หรือได้รับบาดเจ็บที่ดวงตา สามารถทำให้เกิดต้อกระจกตามมาได้ (Traumatic Cataract)
- 2.7 การผ่าตัดตาบางชนิด: เช่น การผ่าตัดต้อหิน หรือการผ่าตัดจอประสาทตา อาจเพิ่มความเสี่ยง
- 2.8 การใช้ยาสเตียรอยด์ (Steroid Medications) เป็นเวลานาน: ทั้งยาหยอดตาหรือยารับประทาน
- 2.9 การได้รับรังสีรักษา (Radiation Therapy) บริเวณศีรษะและคอ: อาจทำให้เกิดต้อกระจกได้
- 2.10 ต้อกระจกแต่กำเนิด (Congenital Cataract): พบได้ในทารกแรกเกิด อาจเกิดจากพันธุกรรม การติดเชื้อในครรภ์ หรือความผิดปกติในการพัฒนาของเลนส์ตา

3. การวินิจฉัยต้อกระจก: ตรวจอย่างไรให้รู้ว่าใช่ต้อกระจก?
การวินิจฉัยต้อกระจกทำได้โดยจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้วยการตรวจตาอย่างละเอียด:
- การซักประวัติ (Clinical History): สอบถามอาการ, ประวัติสุขภาพ, โรคประจำตัว, ยาที่ใช้, และประวัติครอบครัว
- การตรวจวัดสายตา (Visual Acuity Test): ตรวจดูความสามารถในการมองเห็นของผู้ป่วย
- การตรวจตาด้วย Slit Lamp (Slit Lamp Examination):
- จักษุแพทย์จะใช้กล้องจุลทรรศน์ชนิดพิเศษที่มีแสงสว่างจ้าส่องเข้าไปในดวงตา เพื่อตรวจดูรายละเอียดของเลนส์ตา ม่านตา กระจกตา และส่วนหน้าอื่นๆ ของดวงตา เพื่อประเมินความขุ่นมัวของเลนส์ตา
- การตรวจขยายม่านตา (Dilated Eye Exam):
- จักษุแพทย์จะหยอดยาขยายม่านตา เพื่อให้รูม่านตาขยายใหญ่ขึ้น ทำให้สามารถตรวจดูเลนส์ตา จอประสาทตา (Retina) และเส้นประสาทตา (Optic Nerve) ได้อย่างละเอียด เพื่อประเมินความรุนแรงของต้อกระจกและตรวจหาสาเหตุอื่นๆ ของอาการตามัว
- การวัดความดันลูกตา (Tonometry):
- เพื่อตรวจคัดกรองภาวะต้อหิน (Glaucoma) ซึ่งอาจเกิดร่วมกับต้อกระจกได้
หากจักษุแพทย์วินิจฉัยว่าคุณเป็นต้อกระจกและจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด จะมีการตรวจเพิ่มเติมเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการผ่าตัด เช่น การวัดกำลังเลนส์แก้วตาเทียม (Intraocular Lens – IOL) ที่จะใช้แทนเลนส์ตาธรรมชาติที่ขุ่นมัว
4. เภสัชจุลศาลและนวัตกรรมการแพทย์: แนวทางการรักษาต้อกระจก
ต้อกระจกไม่มียาหยอดตาหรือยารับประทานที่สามารถรักษาให้หายได้ หรือทำให้เลนส์ตาที่ขุ่นมัวกลับมาใสเหมือนเดิม การรักษาต้อกระจกเพียงวิธีเดียวที่มีประสิทธิภาพคือ “การผ่าตัด”
4.1 การผ่าตัดต้อกระจก (Cataract Surgery):
เป็นหัตถการที่ปลอดภัยและประสบความสำเร็จสูงที่สุดในทางการแพทย์ และมักใช้เวลาไม่นาน
- ขั้นตอนหลักของการผ่าตัด:
- การสลายต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Phacoemulsification หรือ Phaco): เป็นเทคนิคที่นิยมใช้ในปัจจุบัน จักษุแพทย์จะใช้เครื่องมือขนาดเล็กสอดเข้าไปในดวงตาผ่านแผลผ่าตัดขนาดเล็ก (ประมาณ 2-3 มิลลิเมตร) เพื่อปล่อยคลื่นเสียงความถี่สูงไปสลายเลนส์ตาที่ขุ่นมัวให้เป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นดูดออก
- การใส่เลนส์แก้วตาเทียม (Intraocular Lens – IOL): หลังจากดูดเลนส์ตาที่ขุ่นมัวออกแล้ว จักษุแพทย์จะใส่เลนส์แก้วตาเทียมชนิดพับได้เข้าไปแทนที่ เลนส์แก้วตาเทียมนี้จะทำหน้าที่แทนเลนส์ตาธรรมชาติที่ถูกนำออกไป เพื่อให้ผู้ป่วยกลับมามองเห็นได้ชัดเจนอีกครั้ง
- ประเภทของเลนส์แก้วตาเทียม (IOLs):
- เลนส์ตาเทียมแบบมองได้ระยะเดียว (Monofocal IOL): เป็นชนิดมาตรฐานที่นิยมใช้มากที่สุด สามารถเลือกให้มองชัดในระยะไกล หรือระยะใกล้ (ต้องใช้แว่นช่วยในอีกระยะหนึ่ง)
- เลนส์ตาเทียมแบบปรับโฟกัสได้หลายระยะ (Multifocal IOL / Extended Depth of Focus – EDOF IOL): เป็นเลนส์ชนิดพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถมองเห็นได้ชัดเจนทั้งระยะใกล้ กลาง และไกล ลดความจำเป็นในการพกแว่นตา
- เลนส์ตาเทียมชนิดแก้สายตาเอียง (Toric IOL): สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะสายตาเอียง
- การเตรียมตัวก่อนและหลังผ่าตัด:
- ก่อนผ่าตัด: แพทย์จะประเมินสุขภาพตาและสุขภาพโดยรวม, งดน้ำและอาหารตามคำแนะนำ
- หลังผ่าตัด: พักผ่อนให้เพียงพอ, หยอดตาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด, ระมัดระวังไม่ให้น้ำเข้าตา, หลีกเลี่ยงการขยี้ตา, และมาพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามผล
4.2 นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการแพทย์ในการรักษาต้อกระจก
- การผ่าตัดต้อกระจกด้วยเลเซอร์ (Femtosecond Laser-Assisted Cataract Surgery – FLACS):
- เป็นการนำเทคโนโลยีเลเซอร์มาช่วยในการผ่าตัดในบางขั้นตอน เช่น การเปิดแผล, การสร้างช่องเปิดในถุงหุ้มเลนส์, และการแยกเลนส์ตา ทำให้การผ่าตัดมีความแม่นยำและเที่ยงตรงมากยิ่งขึ้น
- เครื่องมือผ่าตัดที่ทันสมัย: เครื่อง Phacoemulsification รุ่นใหม่ๆ มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ปลอดภัยยิ่งขึ้น และลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน
- การพัฒนาเลนส์แก้วตาเทียมรุ่นใหม่: การวิจัยและพัฒนาเลนส์ตาเทียมที่มีคุณสมบัติในการแก้ไขสายตาที่ซับซ้อนขึ้น เช่น เลนส์ที่ปรับค่าสายตาได้หลังผ่าตัด (Light Adjustable Lens – LAL) หรือเลนส์ที่ให้คุณภาพการมองเห็นที่ดียิ่งขึ้นในทุกระยะ
- การใช้ AI ในการวางแผนผ่าตัด: ช่วยในการคำนวณกำลังเลนส์ตาเทียมได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

5. การดูแลตัวเองและแนวทางการป้องกัน: ถนอมดวงตาให้ใสอยู่เสมอ
แม้ว่าต้อกระจกที่เกิดจากอายุจะไม่สามารถป้องกันได้ 100% แต่เราสามารถลดความเสี่ยงและชะลอการเกิดต้อกระจกได้:
- ปกป้องดวงตาจากรังสี UV: สวมแว่นกันแดดที่มีคุณสมบัติป้องกันรังสี UVA และ UVB 100% เมื่ออยู่กลางแจ้ง
- เลิกสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ
- จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์: ลดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์
- ควบคุมโรคประจำตัว: โดยเฉพาะโรคเบาหวาน, ความดันโลหิตสูง และโรคอ้วน ให้ได้ตามเกณฑ์ปกติ
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อดวงตา: เน้นผักผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น วิตามิน C, วิตามิน E, ลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin)
- ตรวจสุขภาพตาประจำปี: โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง ควรตรวจตาอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อคัดกรองและเฝ้าระวังโรคต่างๆ รวมถึงต้อกระจก
6. การดูแลรักษาและใช้ชีวิตหลังผ่าตัดต้อกระจก: เพื่อการมองเห็นที่สดใส
การดูแลตนเองหลังผ่าตัดเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด:
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของจักษุแพทย์อย่างเคร่งครัด: หยอดตาตามที่แพทย์สั่ง, มาพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามผล
- ระมัดระวังการกระทบกระเทือนดวงตา: หลีกเลี่ยงการขยี้ตา, การยกของหนัก, การออกกำลังกายหักโหม
- ป้องกันน้ำเข้าตา: ระมัดระวังขณะอาบน้ำสระผม และหลีกเลี่ยงการว่ายน้ำ
- สวมอุปกรณ์ป้องกันดวงตา: เช่น แว่นกันแดด หรือที่ครอบตา ตามคำแนะนำของแพทย์
- ควบคุมโรคประจำตัว: เพื่อป้องกันปัญหาอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อสุขภาพตา
สรุป: ต้อกระจกรักษาได้ ไม่ต้องทนกับโลกที่พร่ามัว
ต้อกระจกเป็นภาวะที่พบได้บ่อยตามวัย แต่ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ การผ่าตัดต้อกระจกเป็นการรักษาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง สามารถคืนการมองเห็นที่ชัดเจนให้แก่ผู้ป่วยได้ การตระหนักรู้ถึงสัญญาณเตือน การตรวจวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่นๆ และการดูแลตนเองอย่างเหมาะสม ทั้งก่อนและหลังผ่าตัด จะช่วยให้ผู้ป่วยต้อกระจกกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดี มองเห็นโลกได้สดใสอีกครั้ง
ข้อมูลอ้างอิงและข้อควรระวังสำคัญ:
- ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลยาและนวัตกรรมทางการแพทย์ที่กล่าวมาข้างต้นมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาและให้ข้อมูลเท่านั้น การวินิจฉัยโรค การเลือกวิธีการรักษา หรือการผ่าตัดใดๆ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัด ห้ามวินิจฉัยโรคด้วยตนเอง หรือเลือกการรักษาโดยไม่ปรึกษาแพทย์เด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงได้ จักษุแพทย์จะพิจารณาความเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย โดยคำนึงถึงประโยชน์และความเสี่ยง
- แหล่งอ้างอิง:
- ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย. (2565). แนวทางการวินิจฉัยและรักษาต้อกระจก. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์เว็บไซต์ของราชวิทยาลัยฯ หรือหน้าคู่มือที่เกี่ยวข้อง)
- โรงพยาบาลชั้นนำในประเทศไทย (เช่น โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, โรงพยาบาลรามาธิบดี). บทความให้ความรู้เกี่ยวกับต้อกระจก. (ยกตัวอย่างบทความจากโรงพยาบาลที่น่าเชื่อถือ)
- สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.). ข้อมูลยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ได้รับอนุมัติในประเทศไทย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์ที่เกี่ยวข้องหากต้องการ เช่น ฐานข้อมูลอุปกรณ์)
- ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย. (2565). แนวทางการวินิจฉัยและรักษาต้อกระจก. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์เว็บไซต์ของราชวิทยาลัยฯ หรือหน้าคู่มือที่เกี่ยวข้อง)
เรียบเรียงข้อมูลโดย www.chulalakpharmacy.com