ท้องผูกเรื้อรัง…ภัยเงียบที่นำไปสู่ริดสีดวง

ท้องผูกเรื้อรัง…ภัยเงียบที่นำไปสู่ริดสีดวง

อาการ ท้องผูก เป็นปัญหาการขับถ่ายที่หลายคนมองข้ามหรือไม่ใส่ใจนัก แต่การปล่อยให้มีอาการท้องผูกเรื้อรัง ไม่เพียงแต่ทำให้รู้สึกไม่สบายตัว ท้องอืด หรือมีปัญหาในการขับถ่ายเท่านั้น แท้จริงแล้วมันคือ “ภัยเงียบ” ที่คอยกัดกร่อนสุขภาพลำไส้ และเป็น สาเหตุอันดับต้นๆ ที่นำไปสู่โรคริดสีดวงทวาร วันนี้เราจะมาเจาะลึกความเชื่อมโยงที่สำคัญนี้ เพื่อให้คุณตระหนักถึงอันตรายของท้องผูก และรู้วิธีป้องกันตัวเองจากริดสีดวงทวารครับ

ท้องผูกคืออะไร? และทำไมถึงเป็นภัยเงียบของริดสีดวง?

ท้องผูก (Constipation) คือภาวะที่มีการขับถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรืออุจจาระมีลักษณะแข็ง แห้ง และต้องออกแรงเบ่งมากผิดปกติ [1]

ความเชื่อมโยงกับริดสีดวงทวารเกิดจากกลไกดังนี้:

  1. การเบ่งอุจจาระที่รุนแรงและนาน: เมื่ออุจจาระแข็งและแห้ง ร่างกายจะต้องออกแรงเบ่งอย่างหนักและนานขึ้นเพื่อขับถ่าย แรงเบ่งที่มากเกินไปนี้จะเพิ่มแรงดันในหลอดเลือดดำบริเวณทวารหนักอย่างมหาศาล ทำให้หลอดเลือดโป่งพองและบวมกลายเป็นริดสีดวง [2]
  2. การนั่งขับถ่ายนาน: การนั่งอยู่บนโถส้วมเป็นเวลานานเพื่อพยายามขับถ่าย เป็นการเพิ่มแรงดันต่อหลอดเลือดดำบริเวณทวารหนักอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นปัจจัยส่งเสริมให้เกิดริดสีดวง [3]
  3. การบาดเจ็บซ้ำๆ: อุจจาระที่แข็งและบาด อาจทำให้เกิดการเสียดสี บาดเจ็บ และระคายเคืองต่อเยื่อบุผิวหนังและหลอดเลือดบริเวณทวารหนัก ซึ่งเร่งให้เกิดริดสีดวงหรือทำให้อาการที่เป็นอยู่แย่ลง

สัญญาณที่บ่งบอกว่าท้องผูกของคุณกำลังนำไปสู่ริดสีดวง

หากคุณมีอาการท้องผูกเรื้อรัง และเริ่มมีสัญญาณเหล่านี้ร่วมด้วย ควรรีบดูแลตัวเองอย่างจริงจัง:

  • มีเลือดออกสีแดงสดขณะขับถ่าย: โดยเฉพาะเมื่ออุจจาระแข็งและคุณต้องเบ่งมาก
  • รู้สึกเจ็บปวดหรือแสบร้อน บริเวณทวารหนักหลังขับถ่าย
  • คลำพบก้อนหรือติ่งเนื้อ ยื่นออกมาจากทวารหนักหลังขับถ่าย
  • รู้สึกเหมือนถ่ายไม่สุด แม้จะเพิ่งเข้าห้องน้ำไป

จัดการท้องผูก…เพื่อหยุดวงจรของริดสีดวง

การแก้ไขปัญหาท้องผูกคือหัวใจสำคัญในการป้องกันและบรรเทาอาการริดสีดวงทวาร คุณสามารถทำได้ด้วยวิธีง่ายๆ เหล่านี้:

  1. เพิ่มใยอาหารในอาหาร:
    • เน้นผักและผลไม้: รับประทานผักและผลไม้สดให้หลากหลายและเพียงพอในแต่ละวัน [4]
    • เลือกธัญพืชไม่ขัดสี: เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท หรือข้าวโอ๊ต แทนข้าวขาวหรือขนมปังขาว
    • พิจารณาอาหารเสริมใยอาหาร: หากการรับประทานอาหารไม่เพียงพอ สามารถปรึกษา เภสัชกรที่ร้านขายยา เพื่อเลือกผลิตภัณฑ์เสริมใยอาหารที่เหมาะสม [5]
  2. ดื่มน้ำให้เพียงพอ: การดื่มน้ำอย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวันจะช่วยให้อุจจาระนิ่มและเคลื่อนตัวได้ดีขึ้นในลำไส้ [6]
  3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การเคลื่อนไหวร่างกายจะช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น
  4. ฝึกนิสัยการขับถ่ายที่ดี:
    • ไปเข้าห้องน้ำทันทีเมื่อปวด: อย่าอั้นอุจจาระ เพราะจะทำให้อุจจาระแข็งขึ้น
    • ไม่เบ่งแรงและไม่นั่งนาน: ใช้เวลาในห้องน้ำไม่เกิน 5-10 นาที
    • ท่านั่งที่ถูกต้อง: บางคนอาจพบว่าการใช้ที่วางเท้าช่วยยกเข่าให้สูงขึ้นเล็กน้อย ทำให้ท่านั่งขับถ่ายเป็นธรรมชาติมากขึ้นและเบ่งง่ายขึ้น

เมื่อไหร่ควรปรึกษาแพทย์?

หากคุณได้ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้ว แต่อาการท้องผูกยังคงอยู่ หรือมีอาการริดสีดวงทวารที่รุนแรงขึ้น เช่น มีเลือดออกมาก ปวดมาก หรือก้อนริดสีดวงยื่นออกมาแล้วดันกลับเข้าไปไม่ได้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและรับการรักษาที่เหมาะสม การดูแลปัญหาสุขภาพตั้งแต่เนิ่นๆ คือสิ่งที่ดีที่สุดครับ


แหล่งข้อมูลอ้างอิง:

  1. National Institute of Diabetes and Digestive and Kidney Diseases (NIDDK). (2023, July). Constipation. Retrieved from https://www.niddk.nih.gov/health-information/digestive-diseases/constipation
  2. Mayo Clinic. (2024, May 14). Hemorrhoids – Symptoms & causes. Retrieved from https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/hemorrhoids/symptoms-causes/syc-20360262
  3. Cleveland Clinic. (2023, September 29). Hemorrhoids. Retrieved from https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/15124-hemorrhoids
  4. Harvard Health Publishing. (2023, January 10). Hemorrhoids and what to do about them. Retrieved from https://www.health.harvard.edu/diseases-and-conditions/hemorrhoids-and-what-to-do-about-them

เรียบเรียงข้อมูลโดย  www.chulalakpharmacy.com

แชร์

สินค้าที่เกี่ยวข้อง

No results found.

ยังไม่มีบัญชี