โรคกระดูกพรุน: ภัยเงียบที่ทำให้กระดูกเปราะ สัญญาณเตือน การป้องกัน และวิธีดูแลสุขภาพกระดูกให้แข็งแรง

ทำความเข้าใจโรคกระดูกพรุนอย่างลึกซึ้ง! เรียนรู้สาเหตุ, ปัจจัยเสี่ยง, สัญญาณอันตราย, แนวทางการวินิจฉัย, นวัตกรรมการรักษาด้วยยาและเทคโนโลยีทางการแพทย์ พร้อมวิธีป้องกันและดูแลกระดูกให้แข็งแรงตลอดชีวิต





โรคกระดูกพรุนคืออะไร? เมื่อกระดูกบางและเปราะบางลง

โรคกระดูกพรุน คือภาวะที่เนื้อกระดูกมีความหนาแน่นลดลง ทำให้กระดูกบาง เปราะ และมีรูพรุนคล้ายฟองน้ำ ส่งผลให้กระดูกขาดความแข็งแรงและแตกหักได้ง่าย แม้ได้รับการกระแทกเพียงเล็กน้อย เช่น ล้มในท่ายืนปกติ ไอแรงๆ หรือแม้กระทั่งบิดตัวผิดท่า บริเวณที่มักเกิดกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุนได้บ่อยคือ กระดูกสะโพก กระดูกสันหลัง และกระดูกข้อมือ
โรคนี้ถูกเรียกว่า “ภัยเงียบ” เพราะมักไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะแรก กว่าจะรู้ตัวก็มักจะเกิดกระดูกหักแล้ว ซึ่งภาวะกระดูกหักในผู้สูงอายุโดยเฉพาะกระดูกสะโพก สามารถนำไปสู่ความทุพพลภาพ การพึ่งพาผู้อื่น หรือแม้กระทั่งเสียชีวิตได้ การทำความเข้าใจและป้องกันโรคกระดูกพรุนจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง




1. สัญญาณอันตรายของโรคกระดูกพรุน: สังเกตก่อนเกิดกระดูกหัก

เนื่องจากโรคกระดูกพรุนมักไม่มีอาการในระยะแรก การตรวจคัดกรองจึงสำคัญที่สุด อย่างไรก็ตาม หากโรคดำเนินไปจนถึงขั้นรุนแรง อาจมีสัญญาณบางอย่างที่บ่งบอกถึงความเสี่ยงหรือการเกิดกระดูกหักแล้ว:

  • ส่วนสูงลดลง: อาจสังเกตได้ว่าส่วนสูงลดลง 1 นิ้วหรือมากกว่า เมื่อเทียบกับความสูงสูงสุดที่เคยเป็น
  • หลังค่อม หรือกระดูกสันหลังผิดรูป: เกิดจากการทรุดตัวของกระดูกสันหลัง (Vertebral Compression Fractures) ทำให้หลังโก่งงอ หรือมีกระดูกผิดรูป
  • ปวดหลังเรื้อรัง: โดยเฉพาะหลังส่วนล่าง อาจเกิดจากกระดูกสันหลังยุบตัวหรือหัก
  • กระดูกหักง่ายผิดปกติ: เป็นสัญญาณที่ชัดเจนที่สุด เช่น ล้มเพียงเล็กน้อยก็ทำให้กระดูกข้อมือหรือสะโพกหัก

หากคุณมีปัจจัยเสี่ยงหรือสังเกตเห็นสัญญาณเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยความหนาแน่นของกระดูกทันที




2. ใครคือกลุ่มเสี่ยง? ปัจจัยที่ทำให้กระดูกของคุณเปราะบาง

โรคกระดูกพรุนมีสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง ดังนี้:

2.1 ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้:

  • เพศหญิง: ผู้หญิงมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้ชายถึง 4 เท่า เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงอย่างรวดเร็วหลังวัยหมดประจำเดือน ซึ่งฮอร์โมนนี้มีบทบาทสำคัญในการรักษากระดูก
  • อายุ: ความหนาแน่นของกระดูกจะลดลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหลังอายุ 30 ปีเป็นต้นไป
  • เชื้อชาติ: ชาวเอเชียและคอเคเซียน (คนขาว) มีความเสี่ยงสูงกว่า
  • พันธุกรรม: หากมีประวัติคนในครอบครัว โดยเฉพาะพ่อแม่ มีกระดูกสะโพกหักจากโรคกระดูกพรุน คุณจะมีความเสี่ยงสูงขึ้น
  • โครงสร้างร่างกาย: ผู้ที่มีรูปร่างผอมบาง หรือตัวเล็ก มีมวลกระดูกเริ่มต้นน้อยกว่า

2.2 ปัจจัยที่ควบคุมได้ (พฤติกรรมเสี่ยงและภาวะทางสุขภาพ):

  • ภาวะขาดฮอร์โมน:
    • ในผู้หญิง: ภาวะหมดประจำเดือนก่อนวัยอันควร (ก่อนอายุ 45 ปี) หรือการผ่าตัดรังไข่ทั้งสองข้าง
    • ในผู้ชาย: ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนต่ำ
  • ขาดแคลเซียมและวิตามินดี: สารอาหารสำคัญที่จำเป็นต่อการสร้างและรักษากระดูก
  • ขาดการออกกำลังกาย: โดยเฉพาะการออกกำลังกายที่มีการลงน้ำหนัก (Weight-bearing exercise) ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างกระดูก
  • การสูบบุหรี่: ทำลายเซลล์สร้างกระดูกและลดการดูดซึมแคลเซียม
  • การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป: ส่งผลต่อการสร้างกระดูกและเพิ่มความเสี่ยงในการล้ม
  • การดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีนและน้ำอัดลมมากเกินไป: อาจส่งผลเสียต่อความหนาแน่นของกระดูก
  • การใช้ยาบางชนิดต่อเนื่องนานๆ: เช่น ยาสเตียรอยด์, ยารักษาอาการชัก, ยาฮอร์โมนบางชนิด, ยาลดกรดในกระเพาะอาหารบางชนิด
  • โรคประจำตัวบางชนิด: เช่น โรคไทรอยด์เป็นพิษ, โรคตับ, โรคไตเรื้อรัง, โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง, โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์





3. การวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน: ตรวจความหนาแน่นกระดูกอย่างไร?

การวินิจฉัยโรคกระดูกพรุนทำได้โดยการวัดความหนาแน่นของกระดูก (Bone Mineral Density – BMD) ด้วยเครื่องมือเฉพาะ:

  • การตรวจความหนาแน่นของกระดูกด้วยเครื่อง DEXA (Dual-energy X-ray Absorptiometry): เป็นมาตรฐานทองในการวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน การตรวจจะทำบริเวณกระดูกสันหลังส่วนเอวและกระดูกสะโพก ซึ่งเป็นบริเวณที่มีความสำคัญและเกิดการหักบ่อย
    • T-score: เป็นค่าที่ใช้เปรียบเทียบความหนาแน่นของกระดูกผู้ป่วยกับค่าเฉลี่ยของคนหนุ่มสาวสุขภาพดี
      • T-score -1.0: กระดูกปกติ
      • T-score ระหว่าง -1.0 ถึง -2.5: ภาวะกระดูกบาง (Osteopenia) มีความหนาแน่นกระดูกลดลง แต่ยังไม่ถึงขั้นพรุน
      • T-score ≤ -2.5: โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis)

  • การซักประวัติและตรวจร่างกาย: ร่วมกับการประเมินปัจจัยเสี่ยง


แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจ DEXA ในผู้หญิงทุกคนที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป และผู้ชายอายุ 70 ปีขึ้นไป รวมถึงผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงที่กล่าวมาข้างต้นไม่ว่าอายุเท่าไรก็ตาม




4. เภสัชจุลศาลและนวัตกรรมการแพทย์: การรักษาเพื่อกระดูกที่แข็งแรงขึ้น

ปัจจุบันมีแนวทางการรักษาโรคกระดูกพรุนที่หลากหลาย เพื่อชะลอการสูญเสียมวลกระดูก ลดความเสี่ยงของการเกิดกระดูกหัก และช่วยให้กระดูกแข็งแรงขึ้น

4.1 ยารักษาโรคกระดูกพรุนที่มีจำหน่ายในไทย

การใช้ยาจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากยาแต่ละชนิดมีกลไก ผลข้างเคียง และข้อจำกัดในการใช้ที่แตกต่างกัน

  • กลุ่มยา Bisphosphonates (ไบฟอสโฟเนต): เป็นยาหลักที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเซลล์สลายกระดูก (Osteoclasts) ทำให้การสลายกระดูกลดลงและมวลกระดูกเพิ่มขึ้น มีทั้งรูปแบบรับประทาน (รายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน) และรูปแบบยาฉีด (ราย 3 เดือน, รายปี)
    • ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย (ชนิดรับประทาน): Alendronate (เช่น Fosamax), Risedronate (เช่น Actonel), Ibandronate (เช่น Bonviva)
    • ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย (ชนิดฉีด): Zoledronic Acid (เช่น Aclasta)

  • ยา Denosumab (ดีโนซูแมบ): เป็นยาฉีดใต้ผิวหนังทุก 6 เดือน ออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเซลล์สลายกระดูกเช่นกัน เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถใช้ Bisphosphonates ได้ หรือมีภาวะกระดูกพรุนที่รุนแรง
    • ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: Prolia

  • ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen Therapy): ใช้ในการรักษาผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เพื่อป้องกันการสูญเสียมวลกระดูก แต่ต้องพิจารณาความเสี่ยงและประโยชน์ร่วมด้วย

  • ยา Raloxifene (ราลอกซิฟีน): เป็นยาในกลุ่ม Selective Estrogen Receptor Modulators (SERMs) ออกฤทธิ์คล้ายเอสโตรเจนต่อกระดูก แต่มีผลต่อเต้านมและมดลูกน้อยกว่า
    • ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: Evista

  • ยา Teriparatide (เทอริพาราไทด์): เป็นยาฉีดรายวัน ออกฤทธิ์กระตุ้นการสร้างกระดูกโดยตรง ใช้ในผู้ป่วยกระดูกพรุนขั้นรุนแรง หรือผู้ที่มีกระดูกหักหลายครั้ง และไม่ตอบสนองต่อยาอื่นๆ
    • ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: Forteo

  • แคลเซียมและวิตามินดีเสริม: เป็นส่วนสำคัญของการรักษาและป้องกันเสมอ เพราะช่วยให้กระดูกแข็งแรงและส่งเสริมการทำงานของยาอื่นๆ


ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลยาที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างและเพื่อการศึกษาเท่านั้น การใช้ยาใดๆ ต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำและการดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรอย่างเคร่งครัด ห้ามซื้อยาหรือปรับขนาดยาเองเด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงได้

4.2 นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการแพทย์เพื่อการดูแลโรคกระดูกพรุน

  • การตรวจคัดกรองความเสี่ยงกระดูกหัก (Fracture Risk Assessment Tool – FRAX®): เป็นเครื่องมือที่แพทย์ใช้ประเมินความเสี่ยงในการเกิดกระดูกหักในอีก 10 ปีข้างหน้า โดยพิจารณาจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ร่วมกับค่า DEXA

  • การผ่าตัดรักษาภาวะกระดูกหัก:
    • การผ่าตัดตรึงกระดูกด้วยเหล็ก: ในกรณีที่มีกระดูกหักรุนแรง เช่น กระดูกสะโพกหัก
    • Vertebroplasty/Kyphoplasty: เป็นหัตถการฉีดซีเมนต์ทางการแพทย์เข้าไปในกระดูกสันหลังที่ยุบตัวหรือหัก เพื่อบรรเทาอาการปวดและเพิ่มความมั่นคงของกระดูกสันหลัง

  • เทคโนโลยีการพัฒนาโครงสร้างยาใหม่: การวิจัยยาที่มีกลไกการออกฤทธิ์ที่แตกต่างกัน เพื่อกระตุ้นการสร้างกระดูกหรือยับยั้งการสลายกระดูกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีผลข้างเคียงน้อยลง





5. วิธีป้องกันโรคกระดูกพรุน: สร้างกระดูกให้แข็งแรงตั้งแต่วัยหนุ่มสาว

การป้องกันโรคกระดูกพรุนเริ่มต้นได้ตั้งแต่วัยเด็กและวัยหนุ่มสาว และต่อเนื่องไปตลอดชีวิต:

  • ได้รับแคลเซียมเพียงพอ:
    • แหล่งอาหาร: นมและผลิตภัณฑ์จากนม (เลือกชนิดไขมันต่ำหรือไม่มีไขมัน), ปลาเล็กปลาน้อย, เต้าหู้, ถั่ว, ผักใบเขียวเข้ม (คะน้า, บรอกโคลี)
    • ปริมาณที่แนะนำ: ผู้ใหญ่ควรได้รับแคลเซียมประมาณ 1,000 มิลลิกรัม/วัน ผู้สูงอายุ (หญิงวัยหมดประจำเดือน และชาย 70 ปีขึ้นไป) ควรได้รับ 1,200 มิลลิกรัม/วัน หากไม่เพียงพอจากอาหาร อาจพิจารณาแคลเซียมเสริมตามคำแนะนำของแพทย์

  • ได้รับวิตามินดีเพียงพอ:
    • แหล่งสำคัญ: การสัมผัสแสงแดดอ่อนๆ (เช่น แดดเช้าก่อน 9 โมง หรือหลัง 4 โมงเย็น) ประมาณ 10-15 นาที/วัน 3-4 ครั้ง/สัปดาห์
    • แหล่งอาหาร: ปลาที่มีไขมันดี (แซลมอน, แมคเคอเรล), นมเสริมวิตามินดี, ไข่แดง
    • ปริมาณที่แนะนำ: ผู้ใหญ่ควรได้รับ 600-800 IU/วัน ผู้สูงอายุอาจต้องการมากกว่า หากไม่เพียงพอ อาจพิจารณาวิตามินดีเสริมตามคำแนะนำของแพทย์

  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยเน้นการลงน้ำหนัก (Weight-bearing exercise):
    • กิจกรรมที่แนะนำ: เดิน, วิ่งเหยาะๆ, เต้นแอโรบิก, ขึ้นบันได, เต้นรำ, ยกเวท
    • ความถี่: อย่างน้อย 30 นาที/วัน 3-5 วัน/สัปดาห์

  • หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง:
    • งดสูบบุหรี่: โดยเด็ดขาด
    • ลดการดื่มแอลกอฮอล์: ให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสมหรือไม่ดื่มเลย
    • จำกัดการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและน้ำอัดลม

  • ป้องกันการล้ม:
    • ปรับสภาพแวดล้อมในบ้านให้ปลอดภัย เช่น มีแสงสว่างเพียงพอ, จัดเก็บสายไฟให้เรียบร้อย, ติดตั้งราวจับในห้องน้ำ, ใช้รองเท้าที่ไม่ลื่น
    • ออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและการทรงตัว (เช่น ไทเก๊ก, โยคะ)

  • ตรวจสุขภาพและตรวจความหนาแน่นของกระดูกเป็นประจำ: โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูง






6. การดูแลรักษาและใช้ชีวิตอยู่กับโรคกระดูกพรุน: เพิ่มความแข็งแรงและลดความเสี่ยงกระดูกหัก

เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคกระดูกพรุนแล้ว การดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญที่สุด:

  • ปฏิบัติตามแผนการรักษาของแพทย์อย่างเคร่งครัด: รับประทานยาหรือฉีดยาตามที่แพทย์สั่ง ไม่หยุดยาเองแม้รู้สึกดีขึ้น
    • เภสัชกร มีบทบาทสำคัญในการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ยาอย่างถูกต้อง ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น และการจัดเก็บยา
  • เสริมแคลเซียมและวิตามินดี: จากอาหารและ/หรืออาหารเสริมตามคำแนะนำของแพทย์
  • ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม: เน้นการออกกำลังกายที่ลงน้ำหนักและเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและการทรงตัว เพื่อลดความเสี่ยงในการล้ม
  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต: หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์
  • ป้องกันการล้มอย่างจริงจัง: ตรวจสอบสภาพแวดล้อมรอบตัว และฝึกการทรงตัว
  • พบแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ตามนัด: เพื่อติดตามความคืบหน้าของโรค ปรับแผนการรักษา และประเมินความเสี่ยง



สรุป: โรคกระดูกพรุนป้องกันและดูแลได้ เพื่อกระดูกที่แข็งแรงและชีวิตที่มั่นคง

โรคกระดูกพรุนเป็น “ภัยเงียบ” ที่อาจดูไม่รุนแรงในตอนแรก แต่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตเมื่อเกิดกระดูกหัก การสร้างมวลกระดูกให้แข็งแรงตั้งแต่วัยหนุ่มสาว และการดูแลรักษาสุขภาพกระดูกอย่างต่อเนื่องเมื่ออายุมากขึ้น เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ด้วยความเข้าใจในโรค การได้รับแคลเซียมและวิตามินดีที่เพียงพอ การออกกำลังกายที่เหมาะสม การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง รวมถึงการใช้ประโยชน์จาก เภสัชจุลศาลและนวัตกรรมการแพทย์ ภายใต้การดูแลของแพทย์ จะช่วยให้คุณมีกระดูกที่แข็งแรง ลดความเสี่ยงในการเกิดกระดูกหัก และใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ



ข้อมูลอ้างอิงและข้อควรระวังสำคัญ:

ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลยาและนวัตกรรมทางการแพทย์ที่กล่าวมาข้างต้นมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาและให้ข้อมูลเท่านั้น การใช้ยา การพิจารณาฉีดสาร หรือการทำหัตถการใดๆ ต้องอยู่ภายใต้การวินิจฉัย การดูแล และคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัด ห้ามซื้อยาหรือพยายามทำการรักษาด้วยตนเองเด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตได้ ยาหรือหัตถการแต่ละชนิดอาจมีข้อบ่งชี้ ข้อห้ามใช้ และผลข้างเคียงที่แตกต่างกัน แพทย์จะพิจารณาความเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย โดยคำนึงถึงประโยชน์และความเสี่ยง

แหล่งอ้างอิง:

  • กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. (2565). โรคกระดูกพรุน. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (ระบุลิงก์ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นหากมี เช่น คู่มือสำหรับประชาชนเกี่ยวกับโรคกระดูกพรุนจากหน่วยงานภาครัฐ)
  • ราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์แห่งประเทศไทย. แนวทางการวินิจฉัยและรักษาโรคกระดูกพรุน. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (ระบุลิงก์เว็บไซต์ของราชวิทยาลัยฯ หรือหน้าบทความที่เกี่ยวข้อง)
  • โรงพยาบาลชั้นนำในประเทศไทย เช่น โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, โรงพยาบาลรามาธิบดี. บทความให้ความรู้เกี่ยวกับโรคกระดูกพรุน. (ยกตัวอย่างบทความจากโรงพยาบาลที่น่าเชื่อถือ)
  • สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.). ข้อมูลยาที่ได้รับอนุมัติในประเทศไทย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (ระบุลิงก์ที่เกี่ยวข้องหากต้องการ เช่น ฐานข้อมูลยา)

เรียบเรียงข้อมูลโดย  www.chulalakpharmacy.com

บทความที่คุณอาจสนใจ

  • แชร์

    ยังไม่มีบัญชี