ภาวะดื้อยาในเริมและหนองใน ทำอย่างไรดี? แนวทางรักษาและป้องกัน

เริมและหนองใน
อาจไม่ใช่โรคที่รักษายากในอดีต แต่ในปัจจุบันเมื่อเริ่มมีการดื้อยาการรักษาจึงซับซ้อน ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งแพทย์และผู้ป่วย สิ่งสำคัญคือการป้องกันตั้งแต่แรก ตรวจหาเชื้อสม่ำเสมอ และไม่ละเลยเมื่อมีอาการผิดปกติ

ภาวะดื้อยาในเริมและหนองใน

เริมดื้อยา

  • ดื้อยาต้านไวรัสกลุ่ม Acyclovir, Valacyclovir พบได้น้อย แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในผู้ที่ใช้ยานาน หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ป่วย HIV

หนองในดื้อยา

เป็นปัญหาระดับโลก เนื่องจากแบคทีเรียสามารถพัฒนาความต้านทานต่อยาปฏิชีวนะหลายกลุ่ม เช่น

  • Penicillin
  • Tetracycline
  • Fluoroquinolones
  • ล่าสุดพบการดื้อยาในกลุ่ม Cephalosporins และ Azithromycin

แนวทางการรักษา

กรณีเริม:ยาต้านไวรัส:

  • Acyclovir, Valacyclovir, Famciclovir
  • หากดื้อยา: อาจใช้ Foscarnet หรือ Cidofovir (ให้โดยแพทย์เท่านั้น)
  • ควรใช้ยาเร็วที่สุดหลังเริ่มมีอาการ เพื่อยับยั้งไวรัสได้ดีที่สุด


กรณีหนองใน:การรักษาแบบรวมยา (Dual Therapy)

  • Ceftriaxone 500–1000 mg ฉีดเข้ากล้าม +
  • Doxycycline 100 mg วันละ 2 ครั้ง 7 วัน (ถ้าติดเชื้อร่วมกับหนองในเทียม)
  • หากดื้อยา: ต้องเพาะเชื้อ ตรวจความไวต่อยาต่างๆ และปรับสูตรโดยแพทย์เฉพาะทาง

วิธีป้องกันการติดเชื้อและการดื้อยา

  1. ใช้ถุงยางอนามัย ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
  2. ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรือตรวจสุขภาพเป็นประจำหากมีพฤติกรรมเสี่ยง
  3. ไม่ใช้ยาด้วยตนเอง โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะ
  4. รับการรักษาครบคอร์สตามแพทย์สั่ง อย่าหยุดยาเอง
  5. แจ้งคู่นอนให้ไปรักษาพร้อมกัน ป้องกันการติดซ้ำ

หากสงสัยว่าตนเองติดเชื้อ ควรไปพบแพทย์ทันที หลีกเลี่ยงการซื้อยากินเอง เพราะอาจยิ่งทำให้เชื้อดื้อยาและรักษาได้ยากขึ้นในอนาคต


แหล่งข้อมูลอ้างอิง :

  1. คุณอุดม ลิขิตวรรณวุฒิ. กรรมการที่ปรึกษาชุมชน. สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพมหาวิทยาลัยเชียงใหม่. และกรรมการที่ปรึกษาชุมชนระดับประเทศมูลนิธิการศึกษา
  2. โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIEF)
  3. กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

เรียบเรียงข้อมูลโดย : www.chulalakpharmacy.com

บทความที่คุณอาจสนใจ

  • แชร์

    ยังไม่มีบัญชี