ภาวะแทรกซ้อนเบาหวาน: ภัยเงียบที่ทำลายอวัยวะสำคัญป้องกันได้หรือไม่?

รู้จัก ภาวะแทรกซ้อนเบาหวาน ทั้งเฉียบพลันและเรื้อรังที่ทำลายอวัยวะสำคัญ เช่น ตา ไต หัวใจ และเท้า พร้อมวิธี ป้องกัน ภัยเงียบนี้ เพื่อชีวิตที่มีคุณภาพและห่างไกลความเสี่ยง

ภาวะแทรกซ้อนเบาหวาน: ภัยเงียบที่ทำลายอวัยวะสำคัญ ป้องกันได้หรือไม่?

โรคเบาหวานไม่ได้เป็นเพียงภาวะที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเท่านั้น แต่หากปล่อยให้ระดับน้ำตาลสูงอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานโดยไม่ได้รับการควบคุมอย่างเหมาะสม จะนำไปสู่ “ภาวะแทรกซ้อนเบาหวาน” ที่เป็นอันตรายถึงชีวิต และทำลายอวัยวะสำคัญต่างๆ ทั่วร่างกายได้ [1] ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้มักเป็น “ภัยเงียบ” เพราะอาจไม่มีอาการแสดงในระยะแรกเริ่ม จนกว่าความเสียหายจะลุกลาม บทความนี้จะช่วยให้คุณรู้จักภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้อย่างละเอียด และที่สำคัญที่สุดคือ สามารถ ป้องกัน ภัยเงียบนี้ได้อย่างไร เพื่อชีวิตที่มีคุณภาพและปลอดภัย

ภาวะแทรกซ้อนเบาหวาน: แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก

ภาวะแทรกซ้อนของเบาหวานสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ [1, 2]:

  1. ภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลัน (Acute Complications): เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นอันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
  2. ภาวะแทรกซ้อนเรื้อรัง (Chronic Complications): เกิดขึ้นอย่างช้าๆ ค่อยๆ ทำลายอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย มักไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วมักรุนแรงและฟื้นตัวได้ยาก

1. ภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลัน: รับมือให้ทัน!

เป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน [2, 3]:

  • ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia):
    • สาเหตุ: เกิดจากระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว (ต่ำกว่า 70 mg/dL) ซึ่งอาจเกิดจากการกินยาน้ำตาลมากเกินไป ฉีดอินซูลินเกินขนาด กินอาหารน้อยไป ออกกำลังกายหนักเกินไป หรือดื่มแอลกอฮอล์
    • อาการ: ใจสั่น เหงื่อออก ตัวเย็น ซีด หิวมาก วิงเวียน ปวดศีรษะ มือสั่น มึนงง สับสน รุนแรงอาจหมดสติ ชัก และเสียชีวิตได้
    • การรับมือ: หากรู้สึกมีอาการ ให้รีบดื่มน้ำหวาน น้ำผลไม้ หรือกินลูกอม/กลูโคสเจลทันที แล้ววัดระดับน้ำตาล หากอาการไม่ดีขึ้นหรือไม่รู้สึกตัว ควรรีบนำส่งโรงพยาบาล
  • ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเฉียบพลัน (Hyperglycemic Crisis):
    • ภาวะเลือดเป็นกรดจากคีโตนในผู้ป่วยเบาหวาน (Diabetic Ketoacidosis – DKA): มักพบในเบาหวานชนิดที่ 1 หรือชนิดที่ 2 ที่ขาดอินซูลินรุนแรง ร่างกายเผาผลาญไขมันแทนน้ำตาล ทำให้เกิดสารคีโตนที่เป็นกรดสะสมในเลือด
      • อาการ: คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง หายใจหอบลึก มีกลิ่นลมหายใจคล้ายผลไม้ ซึม สับสน และหมดสติ
    • ภาวะเลือดข้นจากน้ำตาลสูงมากโดยไม่มีคีโตน (Hyperosmolar Hyperglycemic State – HHS): มักพบในเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีภาวะขาดน้ำรุนแรง
      • อาการ: กระหายน้ำมาก ปัสสาวะบ่อย อ่อนเพลีย ซึม สับสน ชัก และหมดสติ
    • การรับมือ: ทั้งสองภาวะนี้เป็นอันตรายถึงชีวิต ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที เพื่อรับการรักษาด้วยน้ำเกลือและอินซูลินอย่างเร่งด่วน

2. ภาวะแทรกซ้อนเรื้อรัง: ภัยเงียบที่ทำลายอวัยวะ

เกิดจากการที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรัง ทำลายหลอดเลือดทั่วร่างกาย ทั้งหลอดเลือดขนาดเล็กและหลอดเลือดขนาดใหญ่ นำไปสู่ความเสียหายของอวัยวะสำคัญ [1, 2]:

ภาวะแทรกซ้อนหลอดเลือดขนาดเล็ก:

  • เบาหวานขึ้นตา (Diabetic Retinopathy):
    • ผลกระทบ: ทำลายหลอดเลือดฝอยในจอประสาทตา ทำให้การมองเห็นแย่ลง อาจมีเลือดออกในตา มองเห็นภาพเบลอ ตาบอดได้
    • การป้องกัน: ควบคุมระดับน้ำตาล ความดันโลหิต ไขมันในเลือด และตรวจตาโดยจักษุแพทย์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
  • เบาหวานลงไต (Diabetic Nephropathy):
    • ผลกระทบ: ทำลายหลอดเลือดฝอยในไต ทำให้ไตทำงานผิดปกติ ไตเสื่อมเรื้อรัง จนถึงขั้นไตวายระยะสุดท้ายที่ต้องฟอกไตหรือปลูกถ่ายไต
    • การป้องกัน: ควบคุมระดับน้ำตาล ความดันโลหิต ไขมันในเลือดอย่างเคร่งครัด หลีกเลี่ยงยาที่ทำลายไต และตรวจการทำงานของไตและตรวจหาโปรตีนในปัสสาวะอย่างสม่ำเสมอ
  • เส้นประสาทเสื่อมจากเบาหวาน (Diabetic Neuropathy):
    • ผลกระทบ: ทำลายเส้นประสาททั่วร่างกาย มักเริ่มจากปลายมือปลายเท้า ทำให้มีอาการชา ปวดแสบปวดร้อน กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือสูญเสียการรับความรู้สึก
    • การป้องกัน: ควบคุมระดับน้ำตาลให้ดีที่สุด และดูแลเท้าอย่างสม่ำเสมอ (ตรวจสอบเท้าทุกวัน, สวมรองเท้าที่เหมาะสม)

ภาวะแทรกซ้อนหลอดเลือดขนาดใหญ่:

  • โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Disease):
    • ผลกระทบ: ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคหัวใจขาดเลือด หลอดเลือดสมองตีบ อัมพฤกษ์ อัมพาต และโรคหลอดเลือดส่วนปลายตีบ (Peripheral Artery Disease)
    • การป้องกัน: ควบคุมระดับน้ำตาล ความดันโลหิต ไขมันในเลือด งดสูบบุหรี่ ออกกำลังกาย และเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
  • แผลเบาหวานที่เท้า (Diabetic Foot Ulcer):
    • ผลกระทบ: เกิดจากปลายประสาทเสื่อมทำให้ชา ไม่รู้สึกเจ็บเมื่อเกิดบาดแผล ร่วมกับหลอดเลือดตีบ ทำให้เลือดไปเลี้ยงแผลไม่พอ และภูมิคุ้มกันต่ำ ทำให้ติดเชื้อง่าย แผลจึงหายยากและอาจลุกลามจนต้องตัดนิ้วหรือตัดขา
    • การป้องกัน: ตรวจสอบเท้าทุกวัน ล้างเท้าให้สะอาด เช็ดให้แห้ง ทาโลชั่น ตัดเล็บอย่างถูกวิธี สวมรองเท้าที่เหมาะสม และไปพบแพทย์ทันทีหากมีบาดแผล

ป้องกันภาวะแทรกซ้อนเบาหวาน: ทำได้อย่างไร?

ข่าวดีก็คือ ภาวะแทรกซ้อนเบาหวานสามารถป้องกันและชะลอได้ ด้วยการควบคุมโรคอย่างสม่ำเสมอและจริงจัง [1, 5]:

  1. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดีที่สุด: นี่คือหัวใจสำคัญ! พยายามรักษาระดับน้ำตาลในเลือด (FPG) ให้อยู่ในช่วง 80-130 mg/dL และค่าน้ำตาลสะสม (HbA1c) ให้ต่ำกว่า 7.0% หรือตามเป้าหมายที่แพทย์กำหนด
  2. ควบคุมความดันโลหิต: รักษาความดันโลหิตให้ต่ำกว่า 130/80 mmHg (หรือตามเป้าหมายที่แพทย์กำหนด)
  3. ควบคุมไขมันในเลือด: ลดระดับ LDL (“ไขมันร้าย”) ให้อยู่ในเกณฑ์
  4. ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต:
    • เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และควบคุมปริมาณ
    • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
    • รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    • งดสูบบุหรี่ และจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์
  5. ใช้ยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด: ไม่ว่าจะเป็นยาลดน้ำตาล ยาลดความดัน หรือยาลดไขมัน
  6. พบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ: เพื่อรับการตรวจสุขภาพ ตรวจเลือด ตรวจตา ตรวจเท้า และประเมินภาวะแทรกซ้อนเป็นประจำ

สรุป: รู้เท่าทัน ป้องกันได้ ชีวิตมีคุณภาพ

ภาวะแทรกซ้อนเบาหวาน เป็นภัยเงียบที่ร้ายแรง แต่ไม่ใช่สิ่งที่ควบคุมไม่ได้ การมีความรู้ความเข้าใจในภาวะเหล่านี้ และการดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอและเคร่งครัดตามคำแนะนำของแพทย์ ทั้งในเรื่องการควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และการใช้ยา จะเป็นเกราะป้องกันที่สำคัญที่สุด ช่วยให้คุณสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ ห่างไกลจากความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อน และมีชีวิตที่ยืนยาวอย่างมีความสุขครับ

“การควบคุมระดับน้ำตาลและการดูแลสุขภาพโดยรวมเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนเบาหวาน หากคุณมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะแทรกซ้อน หรือต้องการคำแนะนำในการดูแลสุขภาพอย่างครบวงจร ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันที เพื่อวางแผนการดูแลที่เหมาะสมกับคุณที่สุด”


แหล่งข้อมูลอ้างอิง:

  1. American Diabetes Association. (n.d.). Complications. Retrieved from https://diabetes.org/diabetes/complications
  2. Mayo Clinic. (2024, May 09). Diabetes complications. Retrieved from https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/diabetes/symptoms-causes/syc-20371444
  3. National Institute of Diabetes and Digestive and Kidney Diseases (NIDDK). (n.d.). Diabetes Complications. Retrieved from https://www.niddk.nih.gov/health-information/diabetes/overview/preventing-problems/diabetes-complications
  4. สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ. (น.ด.). ภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวาน. เข้าถึงได้จาก: https://www.dmthai.org/attachments/article/409/Complications%20of%20DM.pdf
  5. Centers for Disease Control and Prevention (CDC). (2023, April 20). Preventing Diabetes Complications. Retrieved from https://www.cdc.gov/diabetes/managing/complications.html

เรียบเรียงข้อมูลโดย  www.chulalakpharmacy.com



แชร์

ยังไม่มีบัญชี