มะเร็งกระเพาะอาหาร (Stomach Cancer / Gastric Cancer): เมื่อเซลล์ร้ายก่อตัวในกระเพาะอาหาร สัญญาณเตือน การวินิจฉัยและแนวทางการดูแลรักษา เพื่อชีวิตที่ปลอดภัยจากมะเร็งกระเพาะอาหาร

ทำความเข้าใจมะเร็งกระเพาะอาหาร! เรียนรู้สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง, สัญญาณเตือนที่ต้องระวัง (ปวดท้อง, คลื่นไส้, อาเจียน, น้ำหนักลด, กลืนลำบาก), แนวทางการวินิจฉัย (ส่องกล้อง, CT Scan), นวัตกรรมการรักษาที่ทันสมัย (ผ่าตัด, เคมีบำบัด, รังสีรักษา, ยามุ่งเป้า, ภูมิคุ้มกันบำบัด), บทบาทของอาหารเสริม, และวิธีดูแลตัวเองเพื่อลดความเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหาร

หัวข้อสำคัญ



มะเร็งกระเพาะอาหาร (Stomach Cancer / Gastric Cancer) คืออะไร?

มะเร็งกระเพาะอาหาร (Stomach Cancer) หรือ มะเร็งกระเพาะอาหาร (Gastric Cancer) คือโรคมะเร็งที่เกิดจากการเจริญเติบโตผิดปกติของเซลล์ในเยื่อบุผิวของ กระเพาะอาหาร (Stomach) ซึ่งเป็นอวัยวะที่อยู่ในช่องท้องส่วนบน ทำหน้าที่รับและย่อยอาหารในเบื้องต้นก่อนส่งไปยังลำไส้เล็ก มะเร็งกระเพาะอาหารมักเริ่มต้นจากเซลล์ในชั้นในสุดของผนังกระเพาะอาหาร และเมื่อโรคดำเนินไป เซลล์มะเร็งจะลุกลามเข้าสู่ชั้นที่ลึกขึ้นของผนังกระเพาะอาหาร และสามารถแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียง หรืออวัยวะที่อยู่ไกลออกไป (เช่น ตับ, ปอด, เยื่อบุช่องท้อง)

มะเร็งกระเพาะอาหารเป็นมะเร็งที่พบบ่อยในหลายภูมิภาคทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออก อย่างไรก็ตาม การตรวจพบมักเกิดขึ้นในระยะท้ายๆ เนื่องจากอาการในระยะเริ่มต้นมักไม่จำเพาะเจาะจง หรือคล้ายกับอาการของโรคกระเพาะอาหารทั่วไป ทำให้ผู้ป่วยละเลยหรือเข้าใจผิดได้ง่าย

มะเร็งกระเพาะอาหารชนิดที่พบบ่อยที่สุดคือ มะเร็งชนิดอะดีโนคาร์ซิโนมา (Adenocarcinoma) ซึ่งคิดเป็นประมาณ 90-95% ของผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารทั้งหมด ชนิดอื่นๆ ที่พบน้อยกว่าได้แก่ มะเร็งต่อมน้ำเหลืองของกระเพาะอาหาร (Gastric Lymphoma), มะเร็งเนื้อเยื่ออ่อนในทางเดินอาหาร (Gastrointestinal Stromal Tumor – GIST), และมะเร็งชนิดคาร์ซินอยด์ (Carcinoid Tumor)



1. สัญญาณเตือนของมะเร็งกระเพาะอาหาร: เมื่อกระเพาะอาหารส่งสัญญาณผิดปกติ

ในระยะเริ่มต้น มะเร็งกระเพาะอาหารมักไม่มีอาการใดๆ ที่ชัดเจน หรือมีอาการคล้ายโรคกระเพาะอาหารทั่วไป เช่น ท้องอืด, อาหารไม่ย่อย ทำให้ผู้ป่วยละเลยได้ง่าย อาการมักปรากฏเมื่อก้อนมะเร็งโตขึ้น หรือมีการลุกลาม สัญญาณเตือนที่พบบ่อยและควรสังเกตอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นใหม่, เป็นต่อเนื่อง, และไม่ดีขึ้น ได้แก่:

  • อาการทางเดินอาหารส่วนบนที่ไม่ดีขึ้น หรือแย่ลง:
    • ปวดท้องส่วนบน หรือไม่สบายท้อง (Abdominal Pain / Discomfort): อาจเป็นอาการปวดเสียด, ปวดแสบ, หรือปวดตื้อๆ บริเวณลิ้นปี่ ซึ่งไม่ตอบสนองต่อยาลดกรด
    • อาหารไม่ย่อย (Indigestion / Dyspepsia) หรือท้องอืด แน่นท้องหลังรับประทานอาหารเล็กน้อย (Bloating / Early Satiety):
    • คลื่นไส้ อาเจียนบ่อยๆ (Nausea and Vomiting): โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังรับประทานอาหาร
    • อาเจียนเป็นเลือด (Hematemesis) หรือถ่ายอุจจาระดำคล้ำเหมือนยางมะตอย (Melena): บ่งบอกถึงเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบน

  • อาการทั่วไปของมะเร็ง:
    • น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ (Unexplained Weight Loss): เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญ
    • เบื่ออาหาร (Loss of Appetite):
    • อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย (Fatigue) หรือซีด (Anemia): เกิดจากการเสียเลือดเรื้อรัง หรือการดูดซึมสารอาหารบกพร่อง

  • อาการอื่นๆ ที่อาจพบได้:
    • กลืนลำบาก (Dysphagia): หากมะเร็งอยู่บริเวณรอยต่อระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร (Gastroesophageal Junction)
    • ปวดแสบยอดอก หรือแสบร้อนกลางอก (Heartburn): ที่เป็นเรื้อรังและไม่ตอบสนองต่อการรักษา
    • มีก้อนคลำได้ที่ท้อง: (ในระยะลุกลาม)

หากคุณมีอาการเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาการอาหารไม่ย่อยเรื้อรังที่ไม่ดีขึ้น, น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุ, หรือมีอาการอาเจียนเป็นเลือด/ถ่ายดำ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยโดยละเอียด ไม่ควรรอหรือคาดเดาด้วยตนเอง



2. สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งกระเพาะอาหาร: ใครคือกลุ่มเสี่ยง?

สาเหตุที่แท้จริงของมะเร็งกระเพาะอาหารยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าเกิดจากการกลายพันธุ์ของสารพันธุกรรม (DNA) ในเซลล์เยื่อบุผิวของกระเพาะอาหาร ทำให้เซลล์เหล่านั้นเติบโตและแบ่งตัวผิดปกติ ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่เพิ่มโอกาสในการเกิดโรค ได้แก่:

  • การติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori (H. pylori) เรื้อรัง:
    • เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุด ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังของกระเพาะอาหาร (Chronic Gastritis) ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะเยื่อบุฝ่อ (Atrophic Gastritis) และการเปลี่ยนแปลงเซลล์ (Intestinal Metaplasia) ซึ่งเป็นรอยโรคก่อนมะเรเร็ง

  • อาหารและพฤติกรรมการกิน:
    • การรับประทานอาหารเค็มจัด, หมักดอง, รมควัน, หรือเนื้อสัตว์แปรรูปเป็นประจำ: เช่น ปลาเค็ม, ผักดอง, เนื้อรมควัน
    • การบริโภคอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อรา Aspergillus flavus ที่สร้างสารพิษอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin):
    • การรับประทานผักและผลไม้น้อย:

  • การสูบบุหรี่ (Smoking):
    • เพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งกระเพาะอาหารอย่างมีนัยสำคัญ

  • การดื่มแอลกอฮอล์ (Alcohol Consumption):
    • การดื่มหนักและเป็นระยะเวลานาน อาจเพิ่มความเสี่ยง

  • ประวัติเคยผ่าตัดกระเพาะอาหารมาก่อน (Previous Gastric Surgery):
    • โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผ่าตัดเพื่อรักษากระเพาะอาหารเป็นแผลเรื้อรัง (Ulcer) ที่ทำให้เกิดภาวะกรดไหลย้อนจากน้ำดี ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงในระยะยาว

  • ประวัติครอบครัว (Family History):
    • หากมีคนในครอบครัวสายตรงเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย หรือเป็นกลุ่มอาการทางพันธุกรรมบางชนิด เช่น Lynch Syndrome, Hereditary Diffuse Gastric Cancer (CDH1 gene mutation)

  • ภาวะโลหิตจางจากภาวะขาดวิตามินบี 12 ชนิดเพอร์นิเชียส (Pernicious Anemia):
    • เป็นภาวะภูมิต้านตนเองที่ทำให้เกิดภาวะเยื่อบุฝ่อของกระเพาะอาหาร และเพิ่มความเสี่ยง

  • โรคติ่งเนื้อในกระเพาะอาหารบางชนิด (Certain Gastric Polyps):
    • โดยเฉพาะ Adenomatous Polyps

  • อายุที่เพิ่มขึ้น:
    • พบบ่อยในผู้สูงอายุ โดยเฉลี่ยประมาณ 60-80 ปี

  • เพศ:
    • ผู้ชายมีแนวโน้มเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารมากกว่าผู้หญิง



3. การวินิจฉัยมะเร็งกระเพาะอาหาร: การส่องกล้องคือหัวใจสำคัญ

การวินิจฉัยมะเร็งกระเพาะอาหารที่แม่นยำจำเป็นต้องอาศัยการตรวจหลายขั้นตอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบน:

  • 3.1 การส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบน (Upper Endoscopy / Gastroscopy):
    • เป็นการตรวจที่สำคัญที่สุดและเป็นมาตรฐานทอง (Gold Standard) ในการวินิจฉัยมะเร็งกระเพาะอาหาร
    • แพทย์จะสอดท่อขนาดเล็กพร้อมกล้องเข้าไปทางปาก ผ่านหลอดอาหารลงไปในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น เพื่อตรวจดูเยื่อบุผิวโดยตรง หากพบความผิดปกติ เช่น แผล, ก้อนเนื้อ, หรือการเปลี่ยนแปลงของสีผิว จะทำการ ตัดชิ้นเนื้อ (Biopsy) ส่งตรวจทางพยาธิวิทยา

  • 3.2 การตรวจชิ้นเนื้อ (Biopsy) และการตรวจทางพยาธิวิทยา:
    • เป็นการยืนยันการวินิจฉัยมะเร็ง นักพยาธิวิทยาจะทำการตรวจเซลล์จากชิ้นเนื้อใต้กล้องจุลทรรศน์ และอาจมีการย้อมพิเศษ (Immunohistochemistry) หรือการตรวจโมเลกุล (Molecular Testing) เพื่อระบุชนิดของมะเร็งและลักษณะทางชีวภาพของเซลล์มะเร็ง (เช่น HER2 status, PD-L1 status) ซึ่งมีความสำคัญต่อการเลือกการรักษาแบบมุ่งเป้าหรือภูมิคุ้มกันบำบัด

  • 3.3 การตรวจภาพถ่ายทางรังสี (Imaging Tests) เพื่อประเมินการแพร่กระจายและจัดระยะของโรค:
    • CT Scan (Computed Tomography Scan) ช่องอก, ช่องท้อง, และอุ้งเชิงกราน:
      • เป็นเครื่องมือหลักในการประเมินการลุกลามของมะเร็งในกระเพาะอาหาร, การแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียง, และอวัยวะอื่นๆ (เช่น ตับ, ปอด, เยื่อบุช่องท้อง)
    • PET/CT Scan (Positron Emission Tomography/Computed Tomography Scan):
      • อาจใช้ในบางกรณี เพื่อตรวจหาการแพร่กระจายของมะเร็งที่ซ่อนอยู่ หรือประเมินการตอบสนองต่อการรักษา
    • การอัลตราซาวด์ทางเดินอาหารผ่านกล้อง (Endoscopic Ultrasound – EUS):
      • ใช้ร่วมกับการส่องกล้อง เพื่อประเมินความลึกของการลุกลามของมะเร็งเข้าสู่ผนังกระเพาะอาหาร และตรวจต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียงได้อย่างละเอียด ช่วยในการจัดระยะโรค

  • 3.4 การตรวจเลือด (Blood Tests):
    • การตรวจเม็ดเลือดสมบูรณ์ (Complete Blood Count – CBC): เพื่อตรวจหาภาวะซีดจากการเสียเลือด
    • การตรวจค่าการทำงานของตับและไต: เพื่อประเมินการทำงานของอวัยวะ
    • การตรวจค่า CEA (Carcinoembryonic Antigen) และ CA 19-9 (Carbohydrate Antigen 19-9):
      • เป็นสารบ่งชี้มะเร็ง (Tumor Markers) ที่อาจสูงขึ้นในผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหาร ใช้ในการติดตามการรักษาและการกลับเป็นซ้ำของโรค แต่ไม่ใช้ในการวินิจฉัยโรคเบื้องต้น

  • 3.5 การผ่าตัดส่องกล้องสำรวจช่องท้อง (Diagnostic Laparoscopy):
    • อาจทำในบางกรณี ก่อนการผ่าตัดใหญ่ เพื่อตรวจหาการแพร่กระจายของมะเร็งที่ยังมองไม่เห็นจากการตรวจอื่นๆ (เช่น การแพร่กระจายไปที่เยื่อบุช่องท้อง) ซึ่งอาจทำให้การผ่าตัดใหญ่ไม่จำเป็น



4. เภสัชจุลศาลและนวัตกรรมการแพทย์: แนวทางการดูแลรักษาโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร

การรักษาโรคมะเร็งกระเพาะอาหารมีความหลากหลายและต้องวางแผนโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ (Oncology Team) ซึ่งประกอบด้วยศัลยแพทย์, อายุรแพทย์โรคมะเร็ง, และรังสีแพทย์ โดยพิจารณาจากชนิดของมะเร็ง, ระยะของโรค, สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย, และลักษณะทางชีวภาพของเซลล์มะเร็ง เป้าหมายหลักคือการกำจัดเซลล์มะเร็ง, ควบคุมโรค, และบรรเทาอาการ

  • 4.1 การผ่าตัด (Surgery):
    • เป็นการรักษาหลักที่สำคัญที่สุดและเป็นวิธีเดียวที่รักษาให้หายขาดได้สำหรับมะเร็งกระเพาะอาหารระยะต้นที่ยังไม่แพร่กระจาย
    • การผ่าตัดกระเพาะอาหารออกบางส่วน (Partial Gastrectomy): ในกรณีที่มะเร็งอยู่บริเวณส่วนล่างของกระเพาะอาหาร และมีขนาดเล็ก
    • การผ่าตัดกระเพาะอาหารออกทั้งหมด (Total Gastrectomy): ในกรณีที่มะเร็งอยู่บริเวณส่วนบน, มีขนาดใหญ่, หรือกระจายไปทั่วกระเพาะอาหาร
    • การผ่าตัดมักจะรวมถึงการเลาะต่อมน้ำเหลืองบริเวณกระเพาะอาหารและใกล้เคียง (Lymph Node Dissection) เพื่อตรวจหาการแพร่กระจายและเพิ่มโอกาสในการหายขาด
    • การผ่าตัดส่องกล้อง (Laparoscopic Surgery): อาจทำได้ในมะเร็งระยะต้นที่เหมาะสม เพื่อลดขนาดแผลและช่วยให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น

  • 4.2 เคมีบำบัด (Chemotherapy):
    • มักใช้ร่วมกับการผ่าตัด และ/หรือรังสีรักษา
    • เคมีบำบัดก่อนการผ่าตัด (Neoadjuvant Chemotherapy): เพื่อลดขนาดก้อนมะเร็ง ทำให้ผ่าตัดง่ายขึ้น และเพิ่มโอกาสการผ่าตัดเอาเซลล์มะเร็งออกได้หมด
    • เคมีบำบัดหลังการผ่าตัด (Adjuvant Chemotherapy): เพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งที่อาจหลงเหลืออยู่หลังการผ่าตัด และลดโอกาสการกลับเป็นซ้ำ
    • เคมีบำบัดสำหรับมะเร็งระยะลุกลาม (Palliative Chemotherapy): เพื่อควบคุมการเติบโตของมะเร็ง, บรรเทาอาการ, และยืดอายุของผู้ป่วย

  • 4.3 รังสีรักษา (Radiation Therapy / Radiotherapy):
    • มักใช้ร่วมกับเคมีบำบัด (Chemoradiation)
    • รังสีรักษาก่อน/หลังการผ่าตัด: เพื่อทำลายเซลล์มะเร็งที่อาจหลงเหลืออยู่ หรือลดขนาดก้อน
    • รังสีรักษาเพื่อบรรเทาอาการ (Palliative Radiotherapy): เช่น บรรเทาอาการปวด, ควบคุมเลือดออก, หรือลดการอุดตันของทางเดินอาหาร

  • 4.4 ยามุ่งเป้า (Targeted Therapy):
    • เป็นยาที่ออกฤทธิ์จำเพาะเจาะจงกับกลไกการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง หรือโปรตีนที่ผิดปกติในเซลล์มะเร็ง มีบทบาทสำคัญในมะเร็งกระเพาะอาหารระยะลุกลามที่มียีนหรือโปรตีนจำเพาะ
    • Trastuzumab (Herceptin): ใช้ในผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารที่มีการแสดงออกของโปรตีน HER2 (Human Epidermal Growth Factor Receptor 2) สูง (HER2-positive gastric cancer) มักให้ร่วมกับเคมีบำบัด
    • Ramucirumab (Cyramza): เป็นยาที่ยับยั้งการสร้างหลอดเลือดใหม่ที่ไปเลี้ยงก้อนมะเร็ง (Anti-angiogenic agent)

  • 4.5 ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy):
    • เป็นยาที่กระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายให้จดจำและทำลายเซลล์มะเร็ง กำลังมีบทบาทเพิ่มขึ้นในมะเร็งกระเพาะอาหารระยะลุกลาม
    • Pembrolizumab (Keytruda), Nivolumab (Opdivo): เป็นยาในกลุ่ม Checkpoint Inhibitors (PD-1 inhibitors) ใช้ในผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารที่มีการแสดงออกของโปรตีน PD-L1 สูง หรือมีความผิดปกติของยีนบางชนิด (MSI-H/dMMR)

  • 4.6 การดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care):
    • เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารระยะลุกลาม เพื่อช่วยบรรเทาอาการ เช่น อาการปวด, คลื่นไส้, อาเจียน, การอุดตันทางเดินอาหาร โดยอาจใช้การผ่าตัดบายพาส, การใส่ท่อสเต็นท์ (Stent), หรือการให้ยาเพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิต

ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลยาและวิธีการรักษาที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างและเพื่อการศึกษาเท่านั้น การรักษาโรคมะเร็งกระเพาะอาหารเป็นเรื่องซับซ้อนและต้องได้รับการวางแผนโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็ง (Oncologist), ศัลยแพทย์ (Surgeon), และรังสีแพทย์ (Radiation Oncologist) อย่างละเอียด การใช้ยาหรือการรักษาใดๆ ต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำและการดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัด ห้ามซื้อยาหรือเลือกการรักษาเองเด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงหรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้



5. อาหารเสริมที่ช่วยบำรุง ดูแล หรืออาจมีบทบาทในผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหาร

การใช้อาหารเสริมในผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนและ ต้องปรึกษาแพทย์ผู้รักษา หรือนักโภชนาการที่เชี่ยวชาญด้านมะเร็งก่อนเสมอ เนื่องจากผู้ป่วยมักมีปัญหาเรื่องการรับประทานอาหาร, การดูดซึมสารอาหาร, และผลข้างเคียงจากการรักษา อาหารเสริมบางชนิดอาจมีปฏิกิริยากับยา หรือไม่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของผู้ป่วย อาหารเสริมไม่สามารถใช้รักษามะเร็งได้ และไม่ควรนำมาใช้ทดแทนการรักษาทางการแพทย์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว

อย่างไรก็ตาม อาหารเสริมบางชนิดอาจมีบทบาทในการช่วยบำรุงร่างกาย, เสริมสร้างความแข็งแรง, หรือบรรเทาผลข้างเคียงจากการรักษาภายใต้การควบคุมดูแลของแพทย์:

  • โปรตีนเสริม (Protein Supplements):
    • มีความสำคัญอย่างยิ่งในการรักษามวลกล้ามเนื้อ, ป้องกันภาวะทุพโภชนาการ, และช่วยในการฟื้นตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการผ่าตัด หรือระหว่างการให้เคมีบำบัดที่ทำให้เบื่ออาหาร หรือน้ำหนักลด

  • วิตามินและแร่ธาตุรวม (Multivitamin and Mineral Supplements):
    • เพื่อป้องกันภาวะขาดสารอาหาร โดยเฉพาะหลังการผ่าตัดกระเพาะอาหารออกทั้งหมด ซึ่งอาจทำให้ขาดวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินบี 12 (Vitamin B12), ธาตุเหล็ก (Iron), แคลเซียม (Calcium), วิตามินดี (Vitamin D) ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือดและสุขภาพกระดูก ควรมีการตรวจระดับและเสริมตามคำแนะนำของแพทย์
    • ข้อควรระวัง: การเสริมวิตามินหรือแร่ธาตุในปริมาณสูงมากๆ อาจเป็นอันตราย หรือรบกวนการรักษา ควรปรึกษาแพทย์

  • กรดไขมันโอเมก้า-3 (Omega-3 Fatty Acids):
    • อาจช่วยลดการอักเสบในร่างกาย และอาจมีบทบาทในการสนับสนุนสุขภาพโดยรวม ควรปรึกษาแพทย์

  • โพรไบโอติกส์ (Probiotics):
    • อาจช่วยรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ และลดอาการท้องเสีย หรือปัญหาทางเดินอาหารที่เกิดจากยาเคมีบำบัด
    • ข้อควรระวังสำคัญ: ห้ามใช้ในผู้ป่วยมะเร็งที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์อย่างเคร่งครัด

  • กลูตามีน (Glutamine):
    • เป็นกรดอะมิโนที่อาจช่วยบำรุงเยื่อบุทางเดินอาหาร และลดอาการปากเปื่อย (Mucositis) หรือท้องเสียที่เกิดจากเคมีบำบัด ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการ

ข้อควรระวังสำคัญ: อาหารเสริมทั้งหมดข้างต้นไม่ใช่ยาและไม่สามารถใช้รักษามะเร็งกระเพาะอาหารได้ การรับประทานอาหารเสริมใดๆ ต้องปรึกษาแพทย์ผู้รักษา หรือนักโภชนาการที่เชี่ยวชาญด้านมะเร็งก่อนเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีโรคประจำตัว, กำลังรับประทานยาอื่นๆ อยู่, หรืออยู่ในช่วงการรักษาโรคมะเร็ง การพึ่งพาอาหารเสริมเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้รับการรักษาทางการแพทย์ที่เหมาะสม อาจทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง หรือบั่นทอนโอกาสในการรักษาให้หายขาด



6. การดูแลตัวเองและแนวทางการป้องกัน: กุญแจสำคัญสู่สุขภาพกระเพาะอาหารที่ดี

การป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหารเน้นที่การลดปัจจัยเสี่ยงและตระหนักรู้สัญญาณเตือน:

  • ตรวจหาและรักษาสารติดเชื้อ Helicobacter pylori (H. pylori): หากคุณมีอาการ dyspepsia เรื้อรัง หรือมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจและกำจัดเชื้อ H. pylori
  • ปรับพฤติกรรมการบริโภคอาหาร:
    • ลดอาหารเค็มจัด, อาหารหมักดอง, รมควัน, และเนื้อสัตว์แปรรูป: เช่น ไส้กรอก, แฮม, เบคอน
    • เพิ่มการรับประทานผักและผลไม้สดให้มากขึ้น: ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามิน, แร่ธาตุ, และสารต้านอนุมูลอิสระ
  • งดสูบบุหรี่: การเลิกบุหรี่ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งอื่นๆ ได้อย่างมีนัยสำคัญ
  • จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์:
  • หากมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร หรือมีโรคประจำตัวที่เพิ่มความเสี่ยง: ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและพิจารณาแนวทางการคัดกรอง หรือเฝ้าระวังเป็นประจำ
  • หมั่นสังเกตอาการผิดปกติของตนเอง: โดยเฉพาะ อาการปวดท้องเรื้อรัง, อาหารไม่ย่อยที่ไม่ดีขึ้น, น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ, หรือมีเลือดออกทางเดินอาหาร ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
  • ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง: รับประทานอาหารที่มีประโยชน์, ออกกำลังกายสม่ำเสมอ, และพักผ่อนให้เพียงพอ



7. การดูแลรักษาและใช้ชีวิตอยู่กับมะเร็งกระเพาะอาหาร: ก้าวผ่านความท้าทายด้วยความหวัง

การเผชิญหน้ากับมะเร็งกระเพาะอาหารต้องอาศัยการดูแลที่รอบด้าน, การจัดการผลข้างเคียงจากการรักษา, และกำลังใจที่เข้มแข็ง:

  • ปฏิบัติตามแผนการรักษาของแพทย์อย่างเคร่งครัด: เข้ารับการรักษาตามนัดหมาย และแจ้งแพทย์หากมีผลข้างเคียง หรืออาการผิดปกติใดๆ
  • การจัดการผลข้างเคียงจากการรักษา:
    • ปัญหาทางโภชนาการ: โดยเฉพาะหลังการผ่าตัดกระเพาะอาหาร อาจต้องมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน, แบ่งมื้ออาหารเป็นมื้อเล็กๆ บ่อยขึ้น, และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบถ้วน อาจต้องปรึกษานักโภชนาการ
    • อาการคลื่นไส้ อาเจียน, ท้องเสีย, เบื่ออาหาร: จากเคมีบำบัด ปรึกษาแพทย์เพื่อรับยาบรรเทาอาการ และจัดการตามคำแนะนำ
    • อ่อนเพลีย: พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายเบาๆ ตามที่แพทย์แนะนำ
  • ดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจอย่างต่อเนื่อง:
    • จัดจัดการความเครียดและความวิตกกังวล
    • เข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนผู้ป่วย เพื่อแบ่งปันประสบการณ์และกำลังใจ
  • การสนับสนุนจากครอบครัวและเพื่อน: เป็นสิ่งสำคัญมากในการให้กำลังใจผู้ป่วย
  • การศึกษาข้อมูล: การมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมะเร็งกระเพาะอาหาร จะช่วยให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและดูแลตนเองได้ดีขึ้น



สรุป: มะเร็งกระเพาะอาหาร ตรวจพบเร็ว รักษาได้ ด้วยนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ก้าวหน้า

มะเร็งกระเพาะอาหารเป็นมะเร็งที่พบบ่อยและมีความรุนแรงหากตรวจพบในระยะลุกลาม แต่ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบัน ทำให้การรักษาได้ผลดีขึ้นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากตรวจพบในระยะเริ่มต้น การตระหนักรู้ถึงสัญญาณเตือนที่สำคัญ เช่น อาการปวดท้อง/อาหารไม่ย่อยเรื้อรังที่ไม่ดีขึ้น, น้ำหนักลด, หรือมีเลือดออกทางเดินอาหาร และการรีบปรึกษาแพทย์เพื่อทำการ ส่องกล้อง คือสิ่งสำคัญที่สุดในการเพิ่มโอกาสในการรักษาที่ประสบความสำเร็จ ด้วยวิธีการรักษาที่หลากหลาย ทั้งการผ่าตัด, เคมีบำบัด, รังสีรักษา, ยามุ่งเป้า, และภูมิคุ้มกันบำบัด ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารมีโอกาสที่จะควบคุมโรคและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้


ข้อมูลอ้างอิงและข้อควรระวังสำคัญ:

  • ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลยา อาหารเสริม และนวัตกรรมการแพทย์ที่กล่าวมาข้างต้นมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาและให้ข้อมูลเท่านั้น การวินิจฉัยโรค การเลือกวิธีการรักษา การใช้ยา หรือการผ่าตัดใดๆ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็ง (Oncologist), ศัลยแพทย์ (Surgeon), และรังสีแพทย์ (Radiation Oncologist) อย่างเคร่งครัด ห้ามวินิจฉัยโรคด้วยตนเอง หรือซื้อยา อาหารเสริม และเลือกการรักษาโดยไม่ปรึกษาแพทย์เด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงหรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้ แพทย์จะพิจารณาความเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย โดยคำนึงถึงชนิดมะเร็ง, ระยะของโรค, สุขภาพโดยรวม, และปัจจัยอื่นๆ

แหล่งอ้างอิง:

  • สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. (2565). คู่มือการดูแลผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหาร. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์เว็บไซต์ของสถาบันฯ หรือหน้าคู่มือที่เกี่ยวข้อง)
  • ราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย. แนวทางการรักษามะเร็งกระเพาะอาหาร. (โปรดระบุลิงก์ที่เกี่ยวข้องหากมี)
  • โรงพยาบาลชั้นนำในประเทศไทย (เช่น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลรามาธิบดี). บทความให้ความรู้เกี่ยวกับมะเร็งกระเพาะอาหาร. (ยกตัวอย่างบทความจากโรงพยาบาลที่น่าเชื่อถือ)
  • สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.). ข้อมูลยาที่ได้รับอนุมัติในประเทศไทย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์ที่เกี่ยวข้องหากต้องการ เช่น ฐานข้อมูลยา)


เรียบเรียงข้อมูลโดย ( Compiled by):  www.chulalakpharmacy.com

แชร์

ยังไม่มีบัญชี