รู้จักมะเร็งเต้านมให้มากขึ้น! เรียนรู้สาเหตุ, สัญญาณเตือนที่ต้องสังเกต, ความสำคัญของการตรวจเต้านมและแมมโมแกรม, นวัตกรรมการรักษา (ผ่าตัด, เคมีบำบัด, รังสีรักษา, ยามุ่งเป้า, ฮอร์โมนบำบัด, ภูมิคุ้มกันบำบัด), อาหารเสริมที่อาจมีบทบาท, และวิธีดูแลตัวเองเพื่อเพิ่มโอกาสหายขาด
หัวข้อสำคัญ
Toggle
มะเร็งเต้านม (Breast Cancer) คืออะไร?
มะเร็งเต้านม (Breast Cancer) เป็นโรคมะเร็งที่เกิดจากการที่เซลล์ในเต้านมมีการเจริญเติบโตผิดปกติและแบ่งตัวเพิ่มจำนวนอย่างควบคุมไม่ได้ เซลล์มะเร็งเหล่านี้อาจก่อตัวเป็นก้อนเนื้องอก และสามารถแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ หรือแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ที่อยู่ห่างไกลออกไปในร่างกายผ่านทางกระแสเลือดหรือระบบน้ำเหลืองได้ (Metastasis) เช่น กระดูก, ปอด, ตับ, หรือสมอง
มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในผู้หญิงทั่วโลก และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ในผู้หญิง อย่างไรก็ตาม มะเร็งเต้านมสามารถเกิดขึ้นในผู้ชายได้เช่นกัน แม้จะพบได้น้อยมาก การตรวจพบมะเร็งเต้านมตั้งแต่ระยะเริ่มต้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากจะเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้สูง
1. สัญญาณเตือนของมะเร็งเต้านม: เมื่อเต้านมเริ่มส่งสัญญาณผิดปกติ
อาการของมะเร็งเต้านมที่พบบ่อยและควรสังเกต มีดังนี้:
- คลำพบก้อนที่เต้านมหรือบริเวณรักแร้:
- เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด ก้อนอาจแข็ง, ไม่เจ็บ, และมีขอบเขตไม่ชัดเจน หรือก้อนอาจเคลื่อนที่ไม่ได้
- อย่างไรก็ตาม ก้อนส่วนใหญ่ที่พบในเต้านมมักเป็นก้อนที่ไม่ใช่มะเรเร็ง แต่การพบก้อนทุกครั้งควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย
- การเปลี่ยนแปลงของขนาดหรือรูปร่างของเต้านม: เต้านมข้างใดข้างหนึ่งใหญ่ขึ้นผิดปกติ หรือมีรูปร่างเปลี่ยนไป
- ผิวหนังบริเวณเต้านมมีลักษณะเปลี่ยนแปลงไป:
- ผิวเต้านมขรุขระ, บุ๋มลงไป, ย่น, หนาขึ้น, หรือเป็นรอยคล้ายผิวส้ม (Peau d’orange)
- มีผื่น, แดง, ร้อน, หรือคันบริเวณเต้านมหรือรอบหัวนม
- หัวนมมีการเปลี่ยนแปลง:
- หัวนมบุ๋มลงไป (Retraction) หรือดึงรั้งเข้าไปด้านใน
- มีแผล, ผื่น, หรือสะเก็ดที่หัวนม หรือรอบหัวนม
- มีเลือด หรือของเหลวผิดปกติไหลออกมาจากหัวนม (โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีเลือดปน)
- อาการเจ็บหรือปวดเต้านม: มักไม่ใช่อาการหลักของมะเร็งเต้านมในระยะแรก แต่ถ้ามีอาการเจ็บปวดเรื้อรังและไม่หายไป ควรรีบไปพบแพทย์
- การบวมของรักแร้ หรือแขน: อาจบ่งชี้ว่ามะเร็งแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ หรือทำให้เกิดภาวะบวมน้ำเหลืองที่แขน (Lymphedema)
หากคุณสังเกตพบอาการผิดปกติเหล่านี้ แม้เพียงเล็กน้อย ควรรีบไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการตรวจวินิจฉัยโดยละเอียด ไม่ควรรอหรือคาดเดาด้วยตนเอง
2. สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งเต้านม: ใครมีความเสี่ยงมากกว่ากัน?
สาเหตุที่แท้จริงของมะเร็งเต้านมยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน โดยมีปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่:
- 2.1 ปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้:
- เพศ: ผู้หญิงมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้ชายถึง 100 เท่า
- อายุ: ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป
- พันธุกรรมและประวัติครอบครัว (Genetics/Family History):
- หากมีประวัติคนในครอบครัวสายตรง (แม่, พี่สาว, น้องสาว, ลูกสาว) เป็นมะเร็งเต้านม หรือมะเร็งรังไข่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นตั้งแต่อายุน้อย (ก่อน 50 ปี) จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น
- มีการกลายพันธุ์ของยีน BRCA1 หรือ BRCA2 เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ
- ประวัติส่วนตัว: เคยเป็นมะเร็งเต้านมมาก่อน หรือเคยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคบางชนิดของเต้านมที่ไม่ใช่มะเร็งแต่มีความเสี่ยงสูง (เช่น Atypical Hyperplasia, Lobular Carcinoma in Situ – LCIS)
- เชื้อชาติ:
- การได้รับรังสีบริเวณหน้าอก: เช่น เคยได้รับการฉายรังสีรักษาบริเวณทรวงอกในวัยเด็กหรือวัยรุ่น
- 2.2 ปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมได้บางส่วน:
- การสัมผัสฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นเวลานาน:
- มีประจำเดือนเร็ว (ก่อน 12 ปี) หรือหมดประจำเดือนช้า (หลัง 55 ปี)
- ไม่เคยมีบุตร หรือมีบุตรคนแรกเมื่ออายุมาก (หลัง 30 ปี)
- ไม่ให้นมบุตร หรือให้นมบุตรไม่นาน
- การใช้ยาฮอร์โมนทดแทนในวัยหมดประจำเดือนเป็นเวลานาน (โดยเฉพาะแบบ Combined Estrogen-Progestin)
- การใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมน (มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ประโยชน์จากการคุมกำเนิดมัก outweigh ความเสี่ยง)
- โรคอ้วนและภาวะน้ำหนักเกิน (Obesity and Overweight): โดยเฉพาะหลังหมดประจำเดือน
- การดื่มแอลกอฮอล์: การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเพิ่มความเสี่ยง
- การขาดการออกกำลังกาย (Physical Inactivity):
- การรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม: เช่น อาหารที่มีไขมันสูง, อาหารแปรรูป
- การสัมผัสฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นเวลานาน:
3. การวินิจฉัยมะเร็งเต้านม: ตรวจหาเซลล์ร้ายให้เร็วที่สุด
การวินิจฉัยมะเร็งเต้านมที่แม่นยำและรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญต่อการวางแผนการรักษาที่ดีที่สุด การตรวจวินิจฉัยมีหลายวิธี แพทย์จะพิจารณาจากอาการ, ประวัติ, และการตรวจร่างกาย:
- การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม:
- การตรวจเต้านมด้วยตนเอง (Breast Self-Examination – BSE): ควรทำเป็นประจำทุกเดือน เพื่อให้คุ้นเคยกับลักษณะเต้านมของตนเอง หากพบความผิดปกติจะได้สังเกตได้เร็ว
- การตรวจเต้านมโดยแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ (Clinical Breast Examination – CBE): แพทย์จะคลำตรวจเต้านมและรักแร้
- การถ่ายภาพรังสีเต้านม (Mammogram): เป็นการตรวจคัดกรองที่สำคัญที่สุดในผู้หญิงที่ไม่มีอาการผิดปกติ แต่มีความเสี่ยงสูง หรืออายุ 40 ปีขึ้นไป เพื่อตรวจหาก้อนที่เล็กเกินกว่าจะคลำพบ หรือหินปูนผิดปกติในเต้านม (Microcalcifications) ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของมะเร็ง
- Digital Mammography: เทคโนโลยีที่ให้ภาพละเอียดขึ้น
- 3D Mammography (Tomosynthesis): ให้ภาพสามมิติ ช่วยลดภาพทับซ้อนและเพิ่มความแม่นยำ
- อัลตราซาวด์เต้านม (Breast Ultrasound): ใช้ในการแยกแยะว่าก้อนที่พบเป็นก้อนเนื้อแข็ง หรือถุงน้ำ (Cyst) มักใช้เสริมจากการทำแมมโมแกรม โดยเฉพาะในผู้หญิงอายุน้อยที่มีเนื้อเต้านมหนาแน่น
- MRI เต้านม (Breast MRI): ใช้ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงมาก (เช่น มีการกลายพันธุ์ของยีน BRCA) หรือในบางกรณีที่ต้องการประเมินขอบเขตของมะเร็งอย่างละเอียด
- การวินิจฉัยเมื่อพบความผิดปกติ (Diagnostic Tests):
- การเจาะหรือตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจ (Biopsy):
- เป็นมาตรฐานในการวินิจฉัยมะเร็งเต้านม (Gold Standard)
- แพทย์จะทำการเจาะหรือตัดชิ้นเนื้อจากบริเวณที่สงสัย (เช่น ก้อน, หินปูน) ไปตรวจทางพยาธิวิทยาใต้กล้องจุลทรรศน์โดยพยาธิแพทย์ เพื่อยืนยันชนิดของเซลล์, ชนิดของมะเร็ง, ระดับความรุนแรง (Grade), และการแสดงออกของตัวรับฮอร์โมน (Hormone Receptors – ER/PR) และ HER2 ซึ่งมีความสำคัญต่อการเลือกวิธีการรักษา
- การเจาะหรือตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจ (Biopsy):

4. เภสัชจุลศาลและนวัตกรรมการแพทย์: แนวทางการดูแลรักษาโรคมะเร็งเต้านม
การรักษาโรคมะเร็งเต้านมเป็นการวางแผนโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็ง (Oncology Team) โดยจะพิจารณาจากชนิดของมะเร็ง, ระยะของโรค, ลักษณะทางชีวภาพของเซลล์มะเร็ง (เช่น ตัวรับฮอร์โมน, HER2), สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย, และความต้องการของผู้ป่วย การรักษามักเป็นการผสมผสานหลายวิธี:
- 4.1 การผ่าตัด (Surgery):
- การผ่าตัดเก็บเต้านม (Lumpectomy หรือ Breast-Conserving Surgery – BCS): เป็นการผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งและเนื้อเยื่อปกติรอบๆ ออก โดยพยายามเก็บเนื้อเต้านมส่วนใหญ่ไว้ มักต้องตามด้วยการฉายรังสี
- การผ่าตัดเต้านมออกทั้งหมด (Mastectomy): เป็นการผ่าตัดเอาเต้านมออกทั้งหมด
- การผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ (Axillary Lymph Node Dissection – ALND หรือ Sentinel Lymph Node Biopsy – SLNB): เพื่อตรวจว่ามะเร็งแพร่กระจายไปที่ต่อมน้ำเหลืองหรือไม่
- นวัตกรรม: การผ่าตัดเสริมสร้างเต้านม (Breast Reconstruction) หลังการผ่าตัดเต้านม
- 4.2 รังสีรักษา (Radiation Therapy / Radiotherapy):
- ใช้รังสีพลังงานสูงทำลายเซลล์มะเร็ง มักใช้หลังการผ่าตัดเก็บเต้านม เพื่อลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำ หรือในบางกรณีอาจใช้ในผู้ป่วยที่ผ่าตัดเต้านมออกทั้งหมด แต่มีปัจจัยเสี่ยงสูง
- นวัตกรรม: Targeted Intraoperative Radiation Therapy (TARGIT IORT) เป็นการฉายรังสีระหว่างการผ่าตัดในผู้ป่วยบางราย
- 4.3 เคมีบำบัด (Chemotherapy):
- ใช้ยาเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งทั่วร่างกาย สามารถให้ก่อนผ่าตัด (Neoadjuvant Chemotherapy) เพื่อลดขนาดก้อน, หลังผ่าตัด (Adjuvant Chemotherapy) เพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งที่อาจหลงเหลืออยู่, หรือในมะเร็งระยะแพร่กระจาย
- ใช้ยาเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งทั่วร่างกาย สามารถให้ก่อนผ่าตัด (Neoadjuvant Chemotherapy) เพื่อลดขนาดก้อน, หลังผ่าตัด (Adjuvant Chemotherapy) เพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งที่อาจหลงเหลืออยู่, หรือในมะเร็งระยะแพร่กระจาย
- 4.4 ฮอร์โมนบำบัด (Hormone Therapy):
- ใช้ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่มีตัวรับฮอร์โมน (Estrogen Receptor – ER และ/หรือ Progesterone Receptor – PR) เป็นบวก
- ยาจะออกฤทธิ์โดยการยับยั้งการผลิต หรือการออกฤทธิ์ของฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมชนิดนี้
- ตัวอย่างยา: Tamoxifen (สำหรับผู้หญิงก่อนและหลังหมดประจำเดือน), Aromatase Inhibitors (เช่น Anastrozole, Letrozole, Exemestane สำหรับผู้หญิงหลังหมดประจำเดือน)
- 4.5 ยามุ่งเป้า (Targeted Therapy):
- ใช้ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่มีการแสดงออกของโปรตีน HER2 เป็นบวก (HER2-positive breast cancer)
- ยาจะออกฤทธิ์จำเพาะเจาะจงกับโปรตีน HER2 เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
- ตัวอย่างยา: Trastuzumab (Herceptin), Pertuzumab (Perjeta), T-DM1 (Kadcyla), Lapatinib
- 4.6 ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy):
- เป็นยาที่กระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายให้จดจำและทำลายเซลล์มะเร็งเต้านม โดยเฉพาะในมะเร็งเต้านมชนิด Triple-Negative Breast Cancer (TNBC) ซึ่งไม่ตอบสนองต่อฮอร์โมนบำบัดและยามุ่งเป้า
- ตัวอย่างยา: Pembrolizumab (Keytruda)
- 4.7 การดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care):
- เป็นการดูแลเพื่อบรรเทาอาการที่เกิดจากมะเร็งหรือการรักษา เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว โดยเริ่มได้ตั้งแต่ได้รับการวินิจฉัยโรคมะเร็ง
- เป็นการดูแลเพื่อบรรเทาอาการที่เกิดจากมะเร็งหรือการรักษา เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว โดยเริ่มได้ตั้งแต่ได้รับการวินิจฉัยโรคมะเร็ง
ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลยาและวิธีการรักษาที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างและเพื่อการศึกษาเท่านั้น การรักษาโรคมะเร็งเต้านมเป็นเรื่องซับซ้อนและต้องได้รับการวางแผนโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียด การใช้ยาหรือการรักษาใดๆ ต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำและการดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็ง (Oncologist) อย่างเคร่งครัด ห้ามซื้อยาหรือเลือกการรักษาเองเด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงหรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้
5. อาหารเสริมที่ช่วยบำรุง ดูแล หรืออาจมีบทบาทในผู้ป่วยมะเร็งเต้านม
การใช้อาหารเสริมในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนและ ต้องปรึกษาแพทย์ผู้รักษาหรือนักโภชนาการที่เชี่ยวชาญด้านมะเร็งก่อนเสมอ เนื่องจากอาหารเสริมบางชนิดอาจมีปฏิกิริยากับยาเคมีบำบัด, รังสีรักษา, ฮอร์โมนบำบัด, หรือยามุ่งเป้า ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพลดลง หรือเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ อาหารเสริมไม่สามารถใช้รักษามะเร็งได้ และไม่ควรนำมาใช้ทดแทนการรักษาทางการแพทย์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว
อย่างไรก็ตาม อาหารเสริมบางชนิดอาจมีบทบาทในการช่วยบำรุงร่างกาย, เสริมสร้างความแข็งแรง, หรือบรรเทาผลข้างเคียงจากการรักษาภายใต้การควบคุมดูแลของแพทย์:
- วิตามินดี (Vitamin D):
- มีการศึกษาที่พบความสัมพันธ์ระหว่างระดับวิตามินดีที่เหมาะสมกับการลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านมและการพยากรณ์โรคที่ดีขึ้นในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมบางราย
- ข้อควรพิจารณา: ควรตรวจระดับวิตามินดีก่อนเสริม และปรึกษาแพทย์เพื่อกำหนดขนาดที่เหมาะสม
- แคลเซียม (Calcium):
- สำคัญต่อสุขภาพกระดูก โดยเฉพาะในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ได้รับฮอร์โมนบำบัดกลุ่ม Aromatase Inhibitors ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงกระดูกบาง/พรุน
- สำคัญต่อสุขภาพกระดูก โดยเฉพาะในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ได้รับฮอร์โมนบำบัดกลุ่ม Aromatase Inhibitors ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงกระดูกบาง/พรุน
- กรดไขมันโอเมก้า-3 (Omega-3 Fatty Acids):
- อาจช่วยลดการอักเสบและมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็งบางประการในงานวิจัยเบื้องต้น
- อาจช่วยลดการอักเสบและมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็งบางประการในงานวิจัยเบื้องต้น
- โปรตีนเสริม (Protein Supplements):
- มีความสำคัญในการรักษามวลกล้ามเนื้อและช่วยในการฟื้นตัว โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่กำลังรับการรักษาและมีภาวะทุพโภชนาการ
- มีความสำคัญในการรักษามวลกล้ามเนื้อและช่วยในการฟื้นตัว โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่กำลังรับการรักษาและมีภาวะทุพโภชนาการ
- Probiotics/Prebiotics:
- อาจช่วยรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะหรือเคมีบำบัด
- อาจช่วยรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะหรือเคมีบำบัด
- สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) จากธรรมชาติ:
- เช่น วิตามินซี, วิตามินอี, สารสกัดจากองุ่น, สารสกัดจากชาเขียว ซึ่งมีอยู่ในอาหารธรรมชาติ
- ข้อควรพิจารณา: การรับประทานสารต้านอนุมูลอิสระในรูปอาหารเสริมปริมาณสูงระหว่างการรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือรังสีรักษา อาจรบกวนประสิทธิภาพการรักษาได้ ควรปรึกษาแพทย์อย่างเคร่งครัด
ข้อควรระวังสำคัญ: อาหารเสริมทั้งหมดข้างต้นไม่ใช่ยาและไม่สามารถใช้รักษามะเร้านมได้ การรับประทานอาหารเสริมใดๆ ต้องปรึกษาแพทย์ผู้รักษาหรือนักโภชนาการที่เชี่ยวชาญด้านมะเร็งก่อนเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีโรคประจำตัว, กำลังรับประทานยาอื่นๆ อยู่, หรืออยู่ในช่วงการรักษาโรคมะเร็ง การพึ่งพาอาหารเสริมเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้รับการรักษาทางการแพทย์ที่เหมาะสม อาจทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง หรือบั่นทอนโอกาสในการรักษาให้หายขาด
6. การดูแลตัวเองและแนวทางการป้องกัน: กุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านม
การป้องกันมะเร็งเต้านมที่ดีที่สุดคือการลดปัจจัยเสี่ยงที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ และการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ:
- การตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ:
- การตรวจเต้านมด้วยตนเอง (BSE): ทำทุกเดือน
- การตรวจเต้านมโดยแพทย์ (CBE): ปีละครั้ง
- การทำแมมโมแกรม (Mammogram): ในผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป หรือตามคำแนะนำของแพทย์ โดยเฉพาะหากมีประวัติครอบครัวหรือปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ
- รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์สุขภาพดี: โดยเฉพาะหลังหมดประจำเดือน
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ สำหรับการออกกำลังกายระดับปานกลาง
- จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์:
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นผัก, ผลไม้, ธัญพืชไม่ขัดสี, ลดอาหารแปรรูปและไขมันสูง
- พิจารณาเรื่องการใช้ฮอร์โมน: ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการใช้ยาฮอร์โมนทดแทนในวัยหมดประจำเดือน และยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมน
- ให้นมบุตร: หากเป็นไปได้ การให้นมบุตรอาจช่วยลดความเสี่ยงได้
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเคมีหรือสิ่งแวดล้อมบางชนิด: ที่อาจมีสารก่อมะเร็งเต้านม
- ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับทางเลือกในการลดความเสี่ยง: ในผู้ที่มีความเสี่ยงสูงมาก เช่น การใช้ยาป้องกันมะเร็ง (Chemoprevention) หรือการผ่าตัดเต้านมเพื่อป้องกัน (Prophylactic Mastectomy) ในบางรายที่มีการกลายพันธุ์ของยีน BRCA
7. การดูแลรักษาและใช้ชีวิตอยู่กับมะเร็งเต้านม: ก้าวผ่านความท้าทายด้วยความหวัง
การเผชิญหน้ากับมะเร็งเต้านมต้องอาศัยการดูแลที่รอบด้านและกำลังใจที่เข้มแข็ง:
- ปฏิบัติตามแผนการรักษาของแพทย์อย่างเคร่งครัด: เข้ารับการรักษาตามนัดหมาย และแจ้งแพทย์หากมีผลข้างเคียง หรืออาการผิดปกติ
- ดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจอย่างต่อเนื่อง:
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และเพียงพอ เน้นอาหารที่ย่อยง่ายและให้พลังงาน
- ออกกำลังกายเบาๆ ตามที่แพทย์หรือนักกายภาพบำบัดแนะนำ เพื่อฟื้นฟูร่างกาย
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- จัดการความเครียดและความวิตกกังวล โดยอาจปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต, เข้าร่วมกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งเต้านม เพื่อแบ่งปันประสบการณ์และกำลังใจ
- ปรึกษาแพทย์เรื่องการทำกายภาพบำบัดหากมีปัญหาเรื่องแขนบวม (Lymphedema) หรือการเคลื่อนไหวของข้อไหล่
- เฝ้าระวังการกลับมาเป็นซ้ำ: มาพบแพทย์เพื่อตรวจติดตามอาการและตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอตามที่แพทย์นัดหมาย
- การสนับสนุนจากครอบครัวและเพื่อน: เป็นสิ่งสำคัญมากในการให้กำลังใจผู้ป่วย
- การศึกษาข้อมูล: การมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมะเร็งเต้านม จะช่วยให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและดูแลตนเองได้ดีขึ้น
สรุป: มะเร็งเต้านม รักษาได้ หากพบเร็ว
มะเร็งเต้านมเป็นโรคที่น่ากลัว แต่ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบัน ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะหากตรวจพบได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น การตระหนักถึงปัจจัยเสี่ยง, การสังเกตความผิดปกติของเต้านม, การตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอด้วยตนเองและทางการแพทย์, และการรักษาที่เหมาะสมและครบวงจร คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาด, ลดการกลับมาเป็นซ้ำ, และทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ
ข้อมูลอ้างอิงและข้อควรระวังสำคัญ:
- ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลยา อาหารเสริม และนวัตกรรมการแพทย์ที่กล่าวมาข้างต้นมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาและให้ข้อมูลเท่านั้น การวินิจฉัยโรค การเลือกวิธีการรักษา การใช้ยา หรือการผ่าตัดใดๆ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็ง (Oncologist, Radiation Oncologist, Breast Surgeon) อย่างเคร่งครัด ห้ามวินิจฉัยโรคด้วยตนเอง หรือซื้อยา อาหารเสริม และเลือกการรักษาโดยไม่ปรึกษาแพทย์เด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงหรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้ แพทย์จะพิจารณาความเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย โดยคำนึงถึงชนิดมะเร็ง, ระยะของโรค, สุขภาพโดยรวม, และปัจจัยอื่นๆ
แหล่งอ้างอิง:
- สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. (2565). คู่มือการดูแลผู้ป่วยมะเร็งเต้านม. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์เว็บไซต์ของสถาบันฯ หรือหน้าคู่มือที่เกี่ยวข้อง)
- ชมรม/สมาคมโรคมะเร็งเต้านมแห่งประเทศไทย. (โปรดระบุลิงก์ที่เกี่ยวข้องหากมี)
- โรงพยาบาลชั้นนำในประเทศไทย (เช่น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลรามาธิบดี). บทความให้ความรู้เกี่ยวกับมะเร็งเต้านม. (ยกตัวอย่างบทความจากโรงพยาบาลที่น่าเชื่อถือ)
- สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.). ข้อมูลยาที่ได้รับอนุมัติในประเทศไทย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์ที่เกี่ยวข้องหากต้องการ เช่น ฐานข้อมูลยา)
เรียบเรียงข้อมูลโดย ( Compiled by): www.chulalakpharmacy.com