ยาคุมฉุกเฉิน ทำความเข้าใจ การใช้งาน และข้อควรระวัง

ยาคุมฉุกเฉิน (Emergency Contraceptive Pill – ECP) คือยาเม็ดคุมกำเนิดที่ใช้ในกรณีฉุกเฉินเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์หลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน หรือมีข้อผิดพลาดในการคุมกำเนิดรูปแบบอื่น ๆ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นวิธีคุมกำเนิดหลัก แต่เป็นทางเลือกสุดท้ายเพื่อลดความเสี่ยง บทความนี้จะให้ข้อมูลที่ครบถ้วนเกี่ยวกับยาคุมฉุกเฉิน ตั้งแต่กลไกการออกฤทธิ์ วิธีใช้ที่ถูกต้อง ประสิทธิภาพ ผลข้างเคียง รวมถึงข้อควรระวังและแหล่งซื้อ เพื่อให้คุณสามารถใช้ยาได้อย่างเข้าใจและปลอดภัยที่สุด

ยาคุมฉุกเฉินคืออะไร และทำงานอย่างไร?

ยาคุมฉุกเฉินเป็นยาฮอร์โมนที่มีขนาดสูงกว่ายาคุมกำเนิดปกติ มีสารสำคัญหลักคือ Levonorgestrel (ลีโวนอร์เจสเตรล) ซึ่งเป็นฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนสังเคราะห์ในปริมาณสูง

กลไกการออกฤทธิ์ของยาคุมฉุกเฉิน

ยาคุมฉุกเฉินจะออกฤทธิ์หลักๆ โดยขึ้นอยู่กับช่วงเวลาของรอบเดือนที่รับประทานยา:

  1. ยับยั้งหรือชะลอการตกไข่: เป็นกลไกหลักที่สำคัญที่สุด หากรับประทานยาก่อนที่ไข่จะตก ยาจะไปรบกวนการทำงานของฮอร์โมนที่ควบคุมการตกไข่ ทำให้ไข่ไม่ตกหรือไม่ตกช้าลง ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้อสุจิมีโอกาสผสมกับไข่
  2. ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่พร้อมสำหรับการฝังตัว: หากมีการตกไข่และปฏิสนธิเกิดขึ้นแล้ว ยาอาจมีผลทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่เหมาะสมต่อการฝังตัวของตัวอ่อน อย่างไรก็ตาม ยาคุมฉุกเฉินจะไม่มีผลในการทำแท้ง หากมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นแล้ว (ตัวอ่อนฝังตัวเรียบร้อยแล้ว) ยาจะไม่มีผลใดๆ ต่อการตั้งครรภ์นั้น

สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจ: ยาคุมฉุกเฉินจะออกฤทธิ์ป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนที่การตั้งครรภ์จะเกิดขึ้น ไม่ใช่การทำแท้ง

ประสิทธิภาพของยาคุมฉุกเฉิน

ประสิทธิภาพของยาคุมฉุกเฉินจะสูงที่สุดเมื่อรับประทานยาให้เร็วที่สุดหลังจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน ยิ่งช้าประสิทธิภาพยิ่งลดลง:

  • ภายใน 24 ชั่วโมงแรก: ประสิทธิภาพสูงสุด อาจสูงถึง 95%
  • ภายใน 72 ชั่วโมง (3 วัน): ประสิทธิภาพจะลดลงตามลำดับ โดยเฉลี่ยประมาณ 85%
  • ภายใน 120 ชั่วโมง (5 วัน): บางชนิดอาจใช้ได้ถึง 5 วัน แต่ประสิทธิภาพจะลดลงอย่างมาก

ยาคุมฉุกเฉินไม่ได้ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) ใดๆ

ประเภทของยาคุมฉุกเฉินที่พบได้บ่อยในประเทศไทย

ยาคุมฉุกเฉินที่จำหน่ายในประเทศไทยส่วนใหญ่มีสารสำคัญคือ Levonorgestrel และแบ่งตามวิธีรับประทานได้ 2 แบบหลักๆ:

  1. ชนิด 2 เม็ด (Levonorgestrel 0.75 มิลลิกรัม/เม็ด):
    • วิธีใช้: รับประทานเม็ดแรกให้เร็วที่สุดหลังมีเพศสัมพันธ์ (ไม่เกิน 72 ชั่วโมง) และรับประทานเม็ดที่สองหลังจากเม็ดแรก 12 ชั่วโมง
  2. ชนิด 1 เม็ด (Levonorgestrel 1.5 มิลลิกรัม/เม็ด):
    • วิธีใช้: รับประทานยาเพียง 1 เม็ด ให้เร็วที่สุดหลังมีเพศสัมพันธ์ (ไม่เกิน 72 ชั่วโมง) เป็นชนิดที่สะดวกกว่าและมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับชนิด 2 เม็ด

ข้อบ่งชี้ในการใช้ยาคุมฉุกเฉิน

ยาคุมฉุกเฉินเหมาะสำหรับใช้ในสถานการณ์ต่อไปนี้:

  • มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกันเลย
  • ลืมรับประทานยาคุมกำเนิดชนิดเม็ดติดต่อกันหลายวัน
  • ถุงยางอนามัยแตก รั่ว หลุด หรือฉีกขาด
  • แผ่นแปะคุมกำเนิดหลุด หรือห่วงคุมกำเนิดหลุด
  • ถูกข่มขืน หรือมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ยินยอม

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาคุมฉุกเฉิน

เนื่องจากยาคุมฉุกเฉินเป็นฮอร์โมนในปริมาณสูง จึงอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่รุนแรงและมักหายไปเองภายใน 1-2 วัน:

  • คลื่นไส้ อาเจียน: เป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุด การรับประทานยาพร้อมอาหารอาจช่วยลดอาการได้ หากอาเจียนภายใน 2 ชั่วโมงหลังรับประทานยา ควรปรึกษาเภสัชกรเพื่อพิจารณาการรับประทานยาซ้ำ
  • เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ
  • เจ็บเต้านม
  • ปวดท้องน้อย
  • ประจำเดือนคลาดเคลื่อน: ประจำเดือนอาจมาเร็วกว่ากำหนด ช้ากว่ากำหนด หรือมีเลือดออกกะปริบกะปรอยเล็กน้อย ประจำเดือนครั้งถัดไปอาจมาไม่ตรงตามรอบปกติ
  • อ่อนเพลีย

ข้อควรระวังและคำแนะนำเพิ่มเติมที่สำคัญ

ยาคุมฉุกเฉินไม่ใช่ยาที่ควรใช้เป็นประจำ ควรใช้เท่าที่จำเป็นและคำนึงถึงข้อควรระวังดังนี้:

  • ไม่ใช่การคุมกำเนิดหลัก: ยาคุมฉุกเฉินมีประสิทธิภาพน้อยกว่าวิธีคุมกำเนิดแบบปกติ (เช่น ยาคุมกำเนิดรายวัน, ถุงยางอนามัย, ยาฝังคุมกำเนิด, ห่วงอนามัย) และการใช้บ่อยๆ อาจทำให้ประสิทธิภาพลดลง และมีผลข้างเคียงสะสม
  • ไม่ได้ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์: ยาคุมฉุกเฉินไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ควรใช้ถุงยางอนามัยเสมอเพื่อป้องกันทั้งการตั้งครรภ์และโรคติดต่อ
  • ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้บ่อย: การใช้ยาคุมฉุกเฉินบ่อยครั้งอาจรบกวนรอบเดือน ทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติได้
  • ควรทดสอบการตั้งครรภ์: หากประจำเดือนครั้งถัดไปมาช้ากว่า 7 วันจากกำหนด หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆ ที่สงสัยว่าตั้งครรภ์ ควรทำการทดสอบการตั้งครรภ์
  • ข้อห้ามใช้: สตรีที่รู้ว่าตั้งครรภ์อยู่แล้ว หรือแพ้ยา Levanorgestrel ไม่ควรใช้ยาคุมฉุกเฉิน
  • ปฏิกิริยาระหว่างยา: ยาบางชนิด เช่น ยารักษาโรคลมชัก (Carbamazepine, Phenytoin), ยาปฏิชีวนะบางชนิด (Rifampicin), หรือยาที่ใช้รักษาเอชไอวีบางตัว อาจลดประสิทธิภาพของยาคุมฉุกเฉินได้ ควรแจ้งเภสัชกรหรือแพทย์หากกำลังรับประทานยาอื่น ๆ

แหล่งซื้อยาคุมฉุกเฉิน

ยาคุมฉุกเฉินสามารถหาซื้อได้ง่ายในประเทศไทย โดยไม่จำเป็นต้องมีใบสั่งแพทย์:

  • ร้านขายยา: สามารถปรึกษาเภสัชกรได้ตามร้านขายยาทั่วไป
  • คลินิก/โรงพยาบาล: สามารถขอรับยาหรือคำปรึกษาได้จากแพทย์หรือพยาบาล

สิ่งสำคัญ: ควรปรึกษาเภสัชกรก่อนซื้อยาเสมอ เพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องเกี่ยวกับวิธีใช้ ผลข้างเคียง และข้อควรระวัง



แหล่งข้อมูลอ้างอิง

ข้อมูลทั้งหมดที่นำเสนอในบทความนี้ ได้รับการสังเคราะห์จากแหล่งข้อมูลทางการแพทย์ที่เป็นมาตรฐานและเชื่อถือได้ เพื่อให้มั่นใจในความถูกต้องและครบถ้วน:

  • สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย. ประเทศไทย): หน่วยงานกำกับดูแลยาในประเทศไทย ซึ่งมีข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ยาคุมฉุกเฉินอย่างถูกต้อง
  • ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย: ให้คำแนะนำและข้อมูลทางการแพทย์เกี่ยวกับการคุมกำเนิด
  • World Health Organization (WHO): องค์การอนามัยโลก มีแนวทางและข้อมูลเกี่ยวกับการคุมกำเนิดฉุกเฉิน
    • WHO: Emergency contraception
  • Drugs.com: แหล่งข้อมูลยาที่ครอบคลุมสำหรับทั้งผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ ให้รายละเอียดเกี่ยวกับ Levonorgestrel (ยาคุมฉุกเฉิน)
    • Drugs.com: Levonorgestrel (Emergency Contraceptive)
  • Planned Parenthood: องค์กรด้านสุขภาพที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการคุมกำเนิดและสุขภาพทางเพศอย่างละเอียด
    • Planned Parenthood: Emergency Contraception
  • WebMD: เว็บไซต์สุขภาพยอดนิยมที่ให้ข้อมูลยาที่เข้าใจง่ายสำหรับบุคคลทั่วไป
    • WebMD: Emergency Contraception

เรียบเรียงข้อมูลโดย  www.chulalakpharmacy.com

แชร์

ยังไม่มีบัญชี