ยาคุมฉุกเฉิน (Emergency Contraceptive Pill – ECP) คือยาเม็ดคุมกำเนิดที่ใช้ในกรณีฉุกเฉินเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์หลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน หรือมีข้อผิดพลาดในการคุมกำเนิดรูปแบบอื่น ๆ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นวิธีคุมกำเนิดหลัก แต่เป็นทางเลือกสุดท้ายเพื่อลดความเสี่ยง บทความนี้จะให้ข้อมูลที่ครบถ้วนเกี่ยวกับยาคุมฉุกเฉิน ตั้งแต่กลไกการออกฤทธิ์ วิธีใช้ที่ถูกต้อง ประสิทธิภาพ ผลข้างเคียง รวมถึงข้อควรระวังและแหล่งซื้อ เพื่อให้คุณสามารถใช้ยาได้อย่างเข้าใจและปลอดภัยที่สุด
ยาคุมฉุกเฉินคืออะไร และทำงานอย่างไร?
ยาคุมฉุกเฉินเป็นยาฮอร์โมนที่มีขนาดสูงกว่ายาคุมกำเนิดปกติ มีสารสำคัญหลักคือ Levonorgestrel (ลีโวนอร์เจสเตรล) ซึ่งเป็นฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนสังเคราะห์ในปริมาณสูง
กลไกการออกฤทธิ์ของยาคุมฉุกเฉิน
ยาคุมฉุกเฉินจะออกฤทธิ์หลักๆ โดยขึ้นอยู่กับช่วงเวลาของรอบเดือนที่รับประทานยา:
- ยับยั้งหรือชะลอการตกไข่: เป็นกลไกหลักที่สำคัญที่สุด หากรับประทานยาก่อนที่ไข่จะตก ยาจะไปรบกวนการทำงานของฮอร์โมนที่ควบคุมการตกไข่ ทำให้ไข่ไม่ตกหรือไม่ตกช้าลง ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้อสุจิมีโอกาสผสมกับไข่
- ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่พร้อมสำหรับการฝังตัว: หากมีการตกไข่และปฏิสนธิเกิดขึ้นแล้ว ยาอาจมีผลทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่เหมาะสมต่อการฝังตัวของตัวอ่อน อย่างไรก็ตาม ยาคุมฉุกเฉินจะไม่มีผลในการทำแท้ง หากมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นแล้ว (ตัวอ่อนฝังตัวเรียบร้อยแล้ว) ยาจะไม่มีผลใดๆ ต่อการตั้งครรภ์นั้น
สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจ: ยาคุมฉุกเฉินจะออกฤทธิ์ป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนที่การตั้งครรภ์จะเกิดขึ้น ไม่ใช่การทำแท้ง
ประสิทธิภาพของยาคุมฉุกเฉิน
ประสิทธิภาพของยาคุมฉุกเฉินจะสูงที่สุดเมื่อรับประทานยาให้เร็วที่สุดหลังจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน ยิ่งช้าประสิทธิภาพยิ่งลดลง:
- ภายใน 24 ชั่วโมงแรก: ประสิทธิภาพสูงสุด อาจสูงถึง 95%
- ภายใน 72 ชั่วโมง (3 วัน): ประสิทธิภาพจะลดลงตามลำดับ โดยเฉลี่ยประมาณ 85%
- ภายใน 120 ชั่วโมง (5 วัน): บางชนิดอาจใช้ได้ถึง 5 วัน แต่ประสิทธิภาพจะลดลงอย่างมาก
ยาคุมฉุกเฉินไม่ได้ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) ใดๆ
ประเภทของยาคุมฉุกเฉินที่พบได้บ่อยในประเทศไทย
ยาคุมฉุกเฉินที่จำหน่ายในประเทศไทยส่วนใหญ่มีสารสำคัญคือ Levonorgestrel และแบ่งตามวิธีรับประทานได้ 2 แบบหลักๆ:
- ชนิด 2 เม็ด (Levonorgestrel 0.75 มิลลิกรัม/เม็ด):
- วิธีใช้: รับประทานเม็ดแรกให้เร็วที่สุดหลังมีเพศสัมพันธ์ (ไม่เกิน 72 ชั่วโมง) และรับประทานเม็ดที่สองหลังจากเม็ดแรก 12 ชั่วโมง
- ชนิด 1 เม็ด (Levonorgestrel 1.5 มิลลิกรัม/เม็ด):
- วิธีใช้: รับประทานยาเพียง 1 เม็ด ให้เร็วที่สุดหลังมีเพศสัมพันธ์ (ไม่เกิน 72 ชั่วโมง) เป็นชนิดที่สะดวกกว่าและมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับชนิด 2 เม็ด
- วิธีใช้: รับประทานยาเพียง 1 เม็ด ให้เร็วที่สุดหลังมีเพศสัมพันธ์ (ไม่เกิน 72 ชั่วโมง) เป็นชนิดที่สะดวกกว่าและมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับชนิด 2 เม็ด
ข้อบ่งชี้ในการใช้ยาคุมฉุกเฉิน
ยาคุมฉุกเฉินเหมาะสำหรับใช้ในสถานการณ์ต่อไปนี้:
- มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกันเลย
- ลืมรับประทานยาคุมกำเนิดชนิดเม็ดติดต่อกันหลายวัน
- ถุงยางอนามัยแตก รั่ว หลุด หรือฉีกขาด
- แผ่นแปะคุมกำเนิดหลุด หรือห่วงคุมกำเนิดหลุด
- ถูกข่มขืน หรือมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ยินยอม

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาคุมฉุกเฉิน
เนื่องจากยาคุมฉุกเฉินเป็นฮอร์โมนในปริมาณสูง จึงอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่รุนแรงและมักหายไปเองภายใน 1-2 วัน:
- คลื่นไส้ อาเจียน: เป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุด การรับประทานยาพร้อมอาหารอาจช่วยลดอาการได้ หากอาเจียนภายใน 2 ชั่วโมงหลังรับประทานยา ควรปรึกษาเภสัชกรเพื่อพิจารณาการรับประทานยาซ้ำ
- เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ
- เจ็บเต้านม
- ปวดท้องน้อย
- ประจำเดือนคลาดเคลื่อน: ประจำเดือนอาจมาเร็วกว่ากำหนด ช้ากว่ากำหนด หรือมีเลือดออกกะปริบกะปรอยเล็กน้อย ประจำเดือนครั้งถัดไปอาจมาไม่ตรงตามรอบปกติ
- อ่อนเพลีย
ข้อควรระวังและคำแนะนำเพิ่มเติมที่สำคัญ
ยาคุมฉุกเฉินไม่ใช่ยาที่ควรใช้เป็นประจำ ควรใช้เท่าที่จำเป็นและคำนึงถึงข้อควรระวังดังนี้:
- ไม่ใช่การคุมกำเนิดหลัก: ยาคุมฉุกเฉินมีประสิทธิภาพน้อยกว่าวิธีคุมกำเนิดแบบปกติ (เช่น ยาคุมกำเนิดรายวัน, ถุงยางอนามัย, ยาฝังคุมกำเนิด, ห่วงอนามัย) และการใช้บ่อยๆ อาจทำให้ประสิทธิภาพลดลง และมีผลข้างเคียงสะสม
- ไม่ได้ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์: ยาคุมฉุกเฉินไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ควรใช้ถุงยางอนามัยเสมอเพื่อป้องกันทั้งการตั้งครรภ์และโรคติดต่อ
- ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้บ่อย: การใช้ยาคุมฉุกเฉินบ่อยครั้งอาจรบกวนรอบเดือน ทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติได้
- ควรทดสอบการตั้งครรภ์: หากประจำเดือนครั้งถัดไปมาช้ากว่า 7 วันจากกำหนด หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆ ที่สงสัยว่าตั้งครรภ์ ควรทำการทดสอบการตั้งครรภ์
- ข้อห้ามใช้: สตรีที่รู้ว่าตั้งครรภ์อยู่แล้ว หรือแพ้ยา Levanorgestrel ไม่ควรใช้ยาคุมฉุกเฉิน
- ปฏิกิริยาระหว่างยา: ยาบางชนิด เช่น ยารักษาโรคลมชัก (Carbamazepine, Phenytoin), ยาปฏิชีวนะบางชนิด (Rifampicin), หรือยาที่ใช้รักษาเอชไอวีบางตัว อาจลดประสิทธิภาพของยาคุมฉุกเฉินได้ ควรแจ้งเภสัชกรหรือแพทย์หากกำลังรับประทานยาอื่น ๆ
แหล่งซื้อยาคุมฉุกเฉิน
ยาคุมฉุกเฉินสามารถหาซื้อได้ง่ายในประเทศไทย โดยไม่จำเป็นต้องมีใบสั่งแพทย์:
- ร้านขายยา: สามารถปรึกษาเภสัชกรได้ตามร้านขายยาทั่วไป
- คลินิก/โรงพยาบาล: สามารถขอรับยาหรือคำปรึกษาได้จากแพทย์หรือพยาบาล
สิ่งสำคัญ: ควรปรึกษาเภสัชกรก่อนซื้อยาเสมอ เพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องเกี่ยวกับวิธีใช้ ผลข้างเคียง และข้อควรระวัง
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
ข้อมูลทั้งหมดที่นำเสนอในบทความนี้ ได้รับการสังเคราะห์จากแหล่งข้อมูลทางการแพทย์ที่เป็นมาตรฐานและเชื่อถือได้ เพื่อให้มั่นใจในความถูกต้องและครบถ้วน:
- สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย. ประเทศไทย): หน่วยงานกำกับดูแลยาในประเทศไทย ซึ่งมีข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ยาคุมฉุกเฉินอย่างถูกต้อง
- ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย: ให้คำแนะนำและข้อมูลทางการแพทย์เกี่ยวกับการคุมกำเนิด
- World Health Organization (WHO): องค์การอนามัยโลก มีแนวทางและข้อมูลเกี่ยวกับการคุมกำเนิดฉุกเฉิน
- WHO: Emergency contraception
- Drugs.com: แหล่งข้อมูลยาที่ครอบคลุมสำหรับทั้งผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ ให้รายละเอียดเกี่ยวกับ Levonorgestrel (ยาคุมฉุกเฉิน)
- Drugs.com: Levonorgestrel (Emergency Contraceptive)
- Planned Parenthood: องค์กรด้านสุขภาพที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการคุมกำเนิดและสุขภาพทางเพศอย่างละเอียด
- Planned Parenthood: Emergency Contraception
- WebMD: เว็บไซต์สุขภาพยอดนิยมที่ให้ข้อมูลยาที่เข้าใจง่ายสำหรับบุคคลทั่วไป
- WebMD: Emergency Contraception
เรียบเรียงข้อมูลโดย www.chulalakpharmacy.com