ริดสีดวงในคนท้อง คุณแม่ตั้งครรภ์รับมืออย่างไร?

ริดสีดวงในคนท้อง: คุณแม่ตั้งครรภ์รับมืออย่างไร?

การตั้งครรภ์คือช่วงเวลาที่มหัศจรรย์ แต่ก็มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายมากมาย และหนึ่งในอาการที่พบบ่อยและสร้างความไม่สบายใจให้กับคุณแม่ตั้งครรภ์ไม่น้อยเลยก็คือ ริดสีดวงทวาร คุณแม่หลายคนอาจรู้สึกกังวลเมื่อเจออาการนี้ แต่สิ่งสำคัญคือต้องทำความเข้าใจว่าริดสีดวงในคนท้องเป็นเรื่องที่ พบบ่อยและมักไม่อันตราย สามารถดูแลและบรรเทาอาการได้อย่างปลอดภัย วันนี้เราจะมาดูกันว่าคุณแม่ตั้งครรภ์จะรับมือกับริดสีดวงได้อย่างไรครับ

ทำไมคุณแม่ตั้งครรภ์ถึงเป็นริดสีดวงได้ง่าย?

คุณแม่ตั้งครรภ์มีความเสี่ยงในการเกิดริดสีดวงทวารเพิ่มขึ้นจากหลายปัจจัยหลัก [1]:

  1. มดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้น: เมื่อมดลูกขยายตัวเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของทารก จะไปกดทับหลอดเลือดดำขนาดใหญ่ในช่องท้องและอุ้งเชิงกราน ทำให้เลือดไหลเวียนจากบริเวณทวารหนักกลับสู่หัวใจได้ยาก เกิดการคั่งของเลือดและหลอดเลือดโป่งพองเป็นริดสีดวง
  2. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน: ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์มีผลทำให้หลอดเลือดคลายตัวและขยายใหญ่ขึ้น ทำให้ผนังหลอดเลือดอ่อนแอลง นอกจากนี้ยังอาจทำให้ลำไส้ทำงานช้าลงและเกิดอาการท้องผูกได้ง่าย [2]

    การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน: ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์มีผลทำให้หลอดเลือดคลายตัวและขยายใหญ่ขึ้น ทำให้ผนังหลอดเลือดอ่อนแอลง นอกจากนี้ยังอาจทำให้ลำไส้ทำงานช้าลงและเกิดอาการท้องผูกได้ง่าย [2]
  3. อาการท้องผูก: คุณแม่ตั้งครรภ์หลายคนมีอาการท้องผูกเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน การกดทับของมดลูก และการรับประทานธาตุเหล็กเสริม การเบ่งอุจจาระอย่างรุนแรงเมื่อท้องผูกคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดริดสีดวง [3]
  4. น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น: น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นจะสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อบริเวณทวารหนักและอุ้งเชิงกราน

คุณแม่ตั้งครรภ์รับมือกับริดสีดวงอย่างไรให้ปลอดภัย?

การดูแลและบรรเทาอาการริดสีดวงในระหว่างตั้งครรภ์มักเน้นไปที่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการดูแลตัวเองที่บ้านเป็นหลัก เพื่อความปลอดภัยของทั้งคุณแม่และลูกน้อย:

1. ป้องกันและจัดการกับอาการท้องผูก

  • ทานอาหารที่มีใยอาหารสูง: เน้นผัก ผลไม้สด ธัญพืชไม่ขัดสี และถั่วต่างๆ ในทุกมื้ออาหาร [4]
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน เพื่อให้อุจจาระนิ่มและขับถ่ายง่าย
  • เคลื่อนไหวร่างกายสม่ำเสมอ: หากไม่มีข้อจำกัดทางการแพทย์ ควรออกกำลังกายเบาๆ เช่น การเดิน เพื่อกระตุ้นการทำงานของลำไส้ [5]
  • ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับยาระบาย: หากท้องผูกรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับการใช้ยาระบายชนิดที่ปลอดภัยสำหรับคนท้อง เช่น ยากลุ่มเพิ่มกากใย (Bulk-forming laxatives)

2. ฝึกนิสัยการขับถ่ายที่ดี

  • ไปห้องน้ำทันทีเมื่อปวด: อย่าอั้นอุจจาระ เพราะจะทำให้อุจจาระแข็งขึ้น
  • ไม่เบ่งถ่ายแรงๆ และไม่นั่งนาน: ใช้เวลาในการขับถ่ายไม่เกิน 5-10 นาที การวางเท้าบนที่วางเท้าเล็กน้อยขณะขับถ่ายอาจช่วยให้ขับถ่ายง่ายขึ้น [6]

3. บรรเทาอาการเฉพาะที่

  • นั่งแช่น้ำอุ่น (Sitz Bath): การนั่งแช่ก้นในน้ำอุ่น 15-20 นาที วันละ 2-3 ครั้ง ช่วยลดอาการปวด บวม คัน และเพิ่มการไหลเวียนโลหิต [7]
  • ประคบเย็น: ใช้เจลแพ็คเย็น หรือผ้าห่อน้ำแข็งประคบบริเวณทวารหนักเพื่อลดอาการบวมและปวด
  • รักษาสุขอนามัย: ทำความสะอาดบริเวณทวารหนักด้วยน้ำเปล่าและสบู่อ่อนๆ หลังขับถ่าย ซับให้แห้งสนิท

4. ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับการใช้ยา

  • หากอาการไม่ดีขึ้น อาจปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับยาทาหรือยาเหน็บสำหรับริดสีดวงที่ปลอดภัยสำหรับคนท้อง ยาบางชนิด เช่น ยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ ควรใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เท่านั้น [8]
  • ห้ามซื้อยามาใช้เองเด็ดขาด โดยเฉพาะในระหว่างตั้งครรภ์ ต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง

5. นอนตะแคง:

  • การนอนตะแคง โดยเฉพาะตะแคงซ้าย ช่วยลดแรงกดดันของมดลูกต่อหลอดเลือดดำใหญ่ในช่องท้อง ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น [9]

เมื่อไหร่ที่ต้องไปพบแพทย์?

แม้ริดสีดวงในคนท้องมักไม่อันตราย แต่หากคุณแม่มีอาการเหล่านี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที:

  • มีเลือดออกปริมาณมาก หรือเลือดออกต่อเนื่องไม่หยุด
  • อาการปวดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และไม่ทุเลาลง
  • มีไข้ร่วมกับอาการปวด หรือมีหนอง/กลิ่นผิดปกติบริเวณทวารหนัก
  • ก้อนริดสีดวงยื่นออกมาและไม่สามารถดันกลับเข้าไปได้
  • มีความกังวลหรือรู้สึกไม่สบายใจกับอาการที่เกิดขึ้น

ริดสีดวงทวารในระหว่างตั้งครรภ์เป็นเรื่องที่จัดการได้ การดูแลตัวเองและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเมื่อจำเป็น จะช่วยให้คุณแม่ตั้งครรภ์ผ่านช่วงเวลานี้ไปได้อย่างสบายใจ และมุ่งเน้นไปที่การดูแลลูกน้อยในครรภ์ได้อย่างเต็มที่ครับ


แหล่งข้อมูลอ้างอิง:

  1. American Society of Colon and Rectal Surgeons (ASCRS). (n.d.). Hemorrhoids. Retrieved from https://fascrs.org/patients/diseases-and-conditions/hemorrhoids
  2. Mayo Clinic. (2024, May 14). Hemorrhoids – Symptoms & causes. Retrieved from https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/hemorrhoids/symptoms-causes/syc-20360262
  3. National Institute of Diabetes and Digestive and Kidney Diseases (NIDDK). (2024, February). Hemorrhoids. Retrieved from https://www.niddk.nih.gov/health-information/digestive-diseases/hemorrhoids
  4. Cleveland Clinic. (2023, September 29). Hemorrhoids. Retrieved from https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/15124-hemorrhoids

เรียบเรียงข้อมูลโดย  www.chulalakpharmacy.com

แชร์

ยังไม่มีบัญชี