ความจำเป็นในการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี คือการป้องกัน การพัฒนาสายพันธุ์ใหม่ ของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Antigenic Drift) ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ภูมิคุ้มกันที่เราได้รับจากวัคซีนจึงมีอายุจำกัดประมาณ 1 ปี ดังนั้น การฉีดวัคซีนจึงเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้ครอบคลุมสายพันธุ์ใหม่ที่คาดการณ์ว่าจะระบาดในปีนั้น ๆ
กลไกการออกฤทธิ์ผ่านพฤติกรรม: ทำไมต้องฉีดวัคซีนทุกปี?
การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นมาตรการป้องกันที่มีประสิทธิภาพที่สุด เนื่องจากมีเหตุผลทางชีววิทยาและภูมิคุ้มกันดังนี้:
| เหตุผลหลัก | กลไกทางวิทยาศาสตร์ | การรับมือ/ประโยชน์ต่อผู้ป่วย |
|---|---|---|
| การกลายพันธุ์ของเชื้อ | เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่มีการ เปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ทุกปี องค์การอนามัยโลก (WHO) จึงต้องปรับสูตรวัคซีนใหม่ทุกปีเพื่อให้ตรงกับสายพันธุ์ที่คาดว่าจะระบาด [1] | รับวัคซีนใหม่ทุกปี เพื่อให้ภูมิคุ้มกันมีความจำเพาะเจาะจงกับเชื้อสายพันธุ์ปัจจุบันที่กำลังระบาด |
| ภูมิคุ้มกันลดลง | ระดับภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากวัคซีนจะ ลดต่ำลงภายใน 6 เดือน – 1 ปี ทำให้ความสามารถในการป้องกันโรคลดลง [2] | ฉีดวัคซีนปีละ 1 ครั้ง โดยเฉพาะช่วงก่อนฤดูระบาด (ก่อนฤดูฝน: พ.ค. หรือ ก่อนฤดูหนาว: ต.ค.) เพื่อให้ภูมิคุ้มกันขึ้นสูงทันเวลา [3] |
| การป้องกันภาวะแทรกซ้อน | วัคซีนช่วยลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงถึงชีวิต เช่น ปอดอักเสบ, กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ, หรือภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง (เบาหวาน หัวใจ ปอด) [4] | ลดอัตราการนอนโรงพยาบาลและลดอัตราการเสียชีวิตได้สูง (โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง) |
ฉีดแล้วยังเป็นได้อีกไหม? (Direct & Immediate Answer)
คำตอบคือ: มีโอกาสเป็นได้อีก แต่มีโอกาสน้อยกว่ามาก และที่สำคัญคือ อาการจะลดลงอย่างมากและไม่รุนแรง
ปัจจัยที่ทำให้ฉีดวัคซีนแล้วยังป่วย:
- ประสิทธิภาพวัคซีนไม่ $100\%$: วัคซีนไข้หวัดใหญ่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อประมาณ $70\%-90\%$ ในผู้ที่สุขภาพแข็งแรงดี [5]
- ติดเชื้อสายพันธุ์อื่น: วัคซีนส่วนใหญ่เป็นชนิด 4 สายพันธุ์ (ครอบคลุม 2 สายพันธุ์ A และ 2 สายพันธุ์ B) แต่อาจมีไข้หวัดที่เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดอื่น (เช่น ไวรัสไข้หวัดธรรมดา) ซึ่งวัคซีนไข้หวัดใหญ่ไม่สามารถป้องกันได้
- ติดเชื้อก่อนภูมิคุ้มกันขึ้น: ภูมิคุ้มกันจะขึ้นเต็มที่หลังฉีดวัคซีนประมาณ 10-14 วัน หากติดเชื้อในช่วงเวลานี้ก็สามารถป่วยได้ [2]
ข้อสรุปคือ: เป้าหมายหลักของการฉีดวัคซีนไม่ใช่การป้องกันการติดเชื้อ $100\%$ แต่คือการ ลดความรุนแรงของโรค เพื่อไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิต
กลุ่มเป้าหมายที่ควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นพิเศษ (Trust and Authority)
กรมควบคุมโรคแนะนำให้บุคคลในกลุ่มเสี่ยงต่อไปนี้เข้ารับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี:
- บุคลากรทางการแพทย์
- หญิงตั้งครรภ์ (อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป)
- เด็กเล็ก (อายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี)
- ผู้สูงอายุ (อายุ 65 ปีขึ้นไป)
- ผู้มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง, หอบหืด, หัวใจ, หลอดเลือดสมอง, ไตวาย, เบาหวาน [3]
- ผู้ป่วยมะเร็ง ที่อยู่ระหว่างการได้รับเคมีบำบัด
“ข้อมูลในบทความนี้เป็นเพียงความรู้เบื้องต้น ไม่สามารถใช้ทดแทนการปรึกษาและวินิจฉัยจากแพทย์หรือเภสัชได้ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเมื่อใช้ยา หรือมีปัญหาสุขภาพ”
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
- โรงพยาบาลบาง ปะ กอก 3. ทำไมต้องฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี. [ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของเชื้อ]
- โรงพยาบาลมหาชัย 2. ไข้หวัดใหญ่…หน้าฝน. [ข้อมูลประสิทธิภาพวัคซีนและระยะเวลาภูมิคุ้มกัน]
- โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์. การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่. [ข้อมูลกลุ่มเป้าหมายและประโยชน์]
- โรงพยาบาลวัฒนแพทย์ ตรัง. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ จำเป็นแค่ไหน ทำไมต้องฉีดทุกปี. [ข้อมูลประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคเรื้อรัง]
- โรงพยาบาลวิมุต. ตอบคำถามยอดฮิต วัคซีนไข้หวัดใหญ่ หลังฉีดดูแลอย่างไร ต้องฉีดที่ไหน? [ข้อมูลโอกาสป่วยหลังฉีดวัคซีน]
เรียบเรียงโดย (Compiled by) : www.chulalakpharmacy.com









