ทำความเข้าใจโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทอย่างละเอียด! เรียนรู้สาเหตุ, สัญญาณเตือน (ปวดหลังร้าวลงขา, ชา, อ่อนแรง), แนวทางการวินิจฉัย, นวัตกรรมการรักษาด้วยยา กายภาพบำบัด และการผ่าตัด พร้อมวิธีดูแลตัวเองเพื่อลดอาการปวดและกลับมาเคลื่อนไหวได้ปกติ
หัวข้อสำคัญ
Toggle
โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท (Herniated Disc) คืออะไร?
โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท (Herniated Disc) คือภาวะที่หมอนรองกระดูกสันหลัง ซึ่งทำหน้าที่เป็นเหมือนหมอนหรือเบาะรองรับแรงกระแทกและช่วยให้กระดูกสันหลังเคลื่อนไหวได้ยืดหยุ่น เกิดการเสื่อมสภาพ ฉีกขาด หรือเคลื่อนออกจากตำแหน่งเดิม ทำให้ส่วนที่เป็นของเหลวคล้ายเจล (Nucleus Pulposus) ซึ่งอยู่ตรงกลางของหมอนรองกระดูก ปลิ้นหรือดันออกมาภายนอก และไปกดทับเส้นประสาทไขสันหลังที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ก่อให้เกิดอาการปวด ชา หรืออ่อนแรงตามบริเวณที่เส้นประสาทนั้นควบคุม
หมอนรองกระดูกสามารถเกิดการเสื่อมสภาพหรือบาดเจ็บได้ในทุกส่วนของกระดูกสันหลัง ตั้งแต่ส่วนคอ (Cervical Spine) อก (Thoracic Spine) ไปจนถึงบั้นเอว (Lumbar Spine) ซึ่งเป็นบริเวณที่พบบ่อยที่สุด เนื่องจากเป็นส่วนที่รับน้ำหนักและมีการเคลื่อนไหวมากที่สุด หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตและการทำกิจวัตรประจำวัน
1. สัญญาณเตือนของหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท: เมื่อปวดหลังไม่ใช่เรื่องปกติ
อาการของโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับตำแหน่งของหมอนรองกระดูกที่กดทับเส้นประสาท และความรุนแรงของการกดทับ อาการที่พบบ่อย ได้แก่:
- 1.1 อาการปวด:
- ปวดหลังส่วนล่าง (Low Back Pain): มักเป็นอาการเริ่มต้น ปวดบริเวณเอวหรือบั้นท้าย
- ปวดร้าวลงขา (Radiculopathy หรือ Sciatica): หากเป็นที่กระดูกสันหลังส่วนเอว อาการปวดจะร้าวลงมาตามแนวเส้นประสาทที่ถูกกดทับ เช่น ลงสะโพก ต้นขา น่อง หรือปลายเท้า มักเป็นที่ขาเพียงข้างเดียว
- ปวดร้าวลงแขนและมือ (Arm and Hand Pain): หากเป็นที่กระดูกสันหลังส่วนคอ อาการปวดจะร้าวลงมาตามแนวแขน มือ และนิ้วมือ อาจมีอาการปวดที่บ่าหรือสะบักร่วมด้วย
- อาการปวดมักจะแย่ลงเมื่อไอ, จาม, เบ่ง, นั่งนานๆ, ก้มตัว, หรือยกของหนัก
- 1.2 อาการชา (Numbness):
- รู้สึกชา หรือ “เหน็บชา” บริเวณผิวหนังตามแนวที่เส้นประสาทถูกกดทับ เช่น ชาที่เท้า, ปลายนิ้วเท้า, น่อง, หรือชาที่มือ, แขน
- รู้สึกชา หรือ “เหน็บชา” บริเวณผิวหนังตามแนวที่เส้นประสาทถูกกดทับ เช่น ชาที่เท้า, ปลายนิ้วเท้า, น่อง, หรือชาที่มือ, แขน
- 1.3 กล้ามเนื้ออ่อนแรง (Muscle Weakness):
- ความสามารถในการขยับแขน ขา หรือเท้าลดลง ยกแขนไม่ขึ้น, กระดกปลายเท้าไม่ได้ ทำให้เดินลำบาก หรือเดินลากเท้า
- ความสามารถในการขยับแขน ขา หรือเท้าลดลง ยกแขนไม่ขึ้น, กระดกปลายเท้าไม่ได้ ทำให้เดินลำบาก หรือเดินลากเท้า
- 1.4 สูญเสียการควบคุมการขับถ่าย (Bowel or Bladder Dysfunction):
- เป็นสัญญาณอันตรายที่ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที (Cauda Equina Syndrome) หากมีอาการปวดหลังรุนแรงร่วมกับการชาบริเวณอานม้า (อวัยวะเพศ, ทวารหนัก) และไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระได้
- เป็นสัญญาณอันตรายที่ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที (Cauda Equina Syndrome) หากมีอาการปวดหลังรุนแรงร่วมกับการชาบริเวณอานม้า (อวัยวะเพศ, ทวารหนัก) และไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระได้
หากคุณมีอาการเหล่านี้ โดยเฉพาะอาการปวดร้าว ชา หรืออ่อนแรงที่ต่อเนื่องและไม่ดีขึ้น ควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกและข้อ หรือแพทย์ระบบประสาท
2. สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท: ทำไมหมอนรองกระดูกถึงปลิ้น?
โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน โดยส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการเสื่อมสภาพและพฤติกรรมการใช้ชีวิต:
- 2.1 การเสื่อมสภาพตามวัย (Degeneration due to Aging):
- เป็นสาเหตุหลัก เมื่ออายุมากขึ้น หมอนรองกระดูกจะสูญเสียความยืดหยุ่นและปริมาณน้ำ ทำให้เปราะบางและฉีกขาดได้ง่าย
- 2.2 การยกของหนักด้วยท่าทางที่ไม่ถูกต้อง (Improper Lifting Techniques):
- การก้มหลังยกของหนักโดยไม่งอเข่า จะเพิ่มแรงกดมหาศาลต่อหมอนรองกระดูกสันหลังส่วนล่าง
- 2.3 การบาดเจ็บ (Trauma):
- การหกล้ม, อุบัติเหตุ, หรือการได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรงต่อกระดูกสันหลัง
- 2.4 น้ำหนักตัวเกิน หรือโรคอ้วน (Obesity or Overweight):
- น้ำหนักตัวที่มากเกินไป โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง จะเพิ่มแรงกดต่อกระดูกสันหลังส่วนล่างอย่างต่อเนื่อง
- 2.5 พฤติกรรมการนั่งหรือยืนที่ไม่เหมาะสม (Poor Posture):
- การนั่งทำงานนานๆ โดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถ, การนั่งหลังค่อม, หรือการยืนลงน้ำหนักผิดท่า
- 2.6 การขาดการออกกำลังกาย (Sedentary Lifestyle):
- ทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องและกล้ามเนื้อหลังอ่อนแอ ไม่สามารถพยุงกระดูกสันหลังได้ดี
- 2.7 การสูบบุหรี่ (Smoking):
- ทำให้หมอนรองกระดูกเสื่อมสภาพเร็วขึ้น เนื่องจากลดการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงหมอนรองกระดูก
- 2.8 พันธุกรรม (Genetics):
- บางคนอาจมีโครงสร้างหมอนรองกระดูกที่อ่อนแอโดยกำเนิด
- บางคนอาจมีโครงสร้างหมอนรองกระดูกที่อ่อนแอโดยกำเนิด

3. การวินิจฉัยโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท: ตรวจอย่างไรให้แม่นยำ?
การวินิจฉัยโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาททำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ (แพทย์กระดูกและข้อ, แพทย์ระบบประสาท, หรือแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู) โดยอาศัยการตรวจหลายอย่างร่วมกัน:
- การซักประวัติ (Clinical History): แพทย์จะซักถามอาการอย่างละเอียด, ลักษณะของอาการปวด, ตำแหน่งที่ปวดร้าว, อาการชาหรืออ่อนแรง, ระยะเวลาที่เป็น, ประวัติการบาดเจ็บ, และพฤติกรรมการใช้ชีวิต
- การตรวจร่างกาย (Physical Examination):
- ตรวจการเคลื่อนไหวของกระดูกสันหลัง
- ตรวจกำลังกล้ามเนื้อ (Muscle Strength) บริเวณแขน ขา และเท้า
- ตรวจการรับความรู้สึก (Sensory Testing) เช่น การรับรู้การสัมผัส, ความเจ็บปวด, อุณหภูมิ
- ตรวจปฏิกิริยาตอบสนองของเส้นเอ็น (Deep Tendon Reflexes)
- ทดสอบท่าทางที่ทำให้เกิดอาการ เช่น การยกขาตรง (Straight Leg Raise Test)
- การถ่ายภาพรังสี (Imaging Studies):
- X-ray กระดูกสันหลัง: ช่วยให้เห็นโครงสร้างกระดูก, การจัดเรียงตัวของกระดูกสันหลัง, หรือกระดูกงอก แต่ไม่สามารถมองเห็นหมอนรองกระดูกหรือเส้นประสาทได้โดยตรง
- MRI (Magnetic Resonance Imaging): เป็นการตรวจที่แม่นยำที่สุด ในการวินิจฉัยหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท สามารถมองเห็นหมอนรองกระดูกที่ปลิ้นออกมา, การกดทับเส้นประสาท, และความผิดปกติอื่นๆ ของเนื้อเยื่ออ่อนได้อย่างชัดเจน
- CT Scan (Computed Tomography): อาจใช้ในกรณีที่ไม่สามารถทำ MRI ได้ ให้ภาพโครงสร้างกระดูกได้ดี และอาจเห็นหมอนรองกระดูกที่ปลิ้นออกมาได้บ้าง
- การตรวจคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อและเส้นประสาท (Electromyography – EMG และ Nerve Conduction Study – NCS):
- ใช้เพื่อประเมินการทำงานของเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ และยืนยันว่ามีการกดทับเส้นประสาทหรือไม่ และรุนแรงเพียงใด
- อาจช่วยแยกแยะจากภาวะอื่นๆ ที่มีอาการคล้ายกัน
4. เภสัชจุลศาลและนวัตกรรมการแพทย์: แนวทางการดูแลรักษาโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท
การรักษาโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทมีเป้าหมายเพื่อลดอาการปวด, ลดการอักเสบ, คืนการทำงานของเส้นประสาท, และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ ซึ่งมักเริ่มต้นด้วยการรักษาแบบประคับประคอง และพิจารณาการผ่าตัดในรายที่จำเป็น
4.1 ยาที่ใช้รักษาโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท (Medications for Herniated Disc)
การใช้ยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรอย่างเคร่งครัด
- ยาลดปวดกลุ่ม Paracetamol:
- ใช้สำหรับบรรเทาอาการปวดที่ไม่รุนแรง
- ใช้สำหรับบรรเทาอาการปวดที่ไม่รุนแรง
- ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Nonsteroidal Anti-inflammatory Drugs – NSAIDs):
- ช่วยลดอาการปวดและลดการอักเสบ
- ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: Ibuprofen, Naproxen, Celecoxib, Diclofenac
- ข้อควรพิจารณา: การใช้ NSAIDs ในระยะยาวอาจมีผลข้างเคียงต่อกระเพาะอาหาร, ไต, หรือหัวใจ ควรใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์
- ยาคลายกล้ามเนื้อ (Muscle Relaxants):
- ช่วยลดอาการปวดเกร็งของกล้ามเนื้อที่เกิดจากการระคายเคืองของเส้นประสาท
- ตัวอย่างยี่ห้อ: Baclofen, Tizanidine, Diazepam
- ยากลุ่มกาบาเพนตินอยด์ (Gabapentinoids):
- เป็นยาแก้ปวดที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทโดยเฉพาะ เหมาะสำหรับอาการปวดร้าว ชา ที่เกิดจากการกดทับเส้นประสาท (Neuropathic Pain)
- ตัวอย่างยี่ห้อ: Gabapentin (เช่น Neurontin), Pregabalin (เช่น Lyrica)
- ยาฉีดสเตียรอยด์เข้าโพรงไขสันหลัง (Epidural Steroid Injection – ESI):
- ฉีดยาเข้าสู่บริเวณรอบๆ เส้นประสาทที่ถูกกดทับ เพื่อลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวด
- ข้อควรพิจารณา: เป็นการรักษาแบบชั่วคราว ไม่ได้แก้ไขสาเหตุที่แท้จริง และแพทย์จะพิจารณาทำในบางกรณี
- ยาแก้ปวดกลุ่มโอปิออยด์ (Opioid Analgesics):
- ใช้ในกรณีที่มีอาการปวดรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อยาชนิดอื่น และใช้ในระยะเวลาสั้นๆ ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีโอกาสติดยาได้
- ใช้ในกรณีที่มีอาการปวดรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อยาชนิดอื่น และใช้ในระยะเวลาสั้นๆ ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีโอกาสติดยาได้
ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลยาที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างและเพื่อการศึกษาเท่านั้น การใช้ยาใดๆ ต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำและการดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรอย่างเคร่งครัด ห้ามซื้อยาหรือปรับขนาดยาเองเด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงหรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้
4.2 กายภาพบำบัดและนวัตกรรมการแพทย์ในการรักษา
- กายภาพบำบัด (Physical Therapy):
- เป็นส่วนสำคัญในการรักษาแบบไม่ผ่าตัด นักกายภาพบำบัดจะสอนท่าบริหารเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core Muscles) ซึ่งได้แก่ กล้ามเนื้อหน้าท้องและกล้ามเนื้อหลังส่วนลึก, ยืดกล้ามเนื้อ, ปรับท่าทางที่เหมาะสม
- อาจมีการใช้อุปกรณ์ เช่น เครื่องดึงหลัง (Traction), การใช้ความร้อน/เย็น, อัลตราซาวนด์, เลเซอร์ เพื่อช่วยลดอาการปวดและอักเสบ
- การปรับพฤติกรรม (Lifestyle Modification):
- การปรับท่าทางการนั่ง, ยืน, เดิน, นอน ให้ถูกต้อง
- เรียนรู้เทคนิคการยกของที่ปลอดภัย
- การลดน้ำหนักในผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน
- การผ่าตัด (Surgery):
- พิจารณาในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง, ไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบไม่ผ่าตัดเป็นระยะเวลาที่เหมาะสม (เช่น 6 สัปดาห์ – 3 เดือน), มีอาการอ่อนแรงที่แย่ลง, หรือมีภาวะเร่งด่วน เช่น สูญเสียการควบคุมการขับถ่าย
- เทคนิคการผ่าตัดที่พบบ่อย:
- การผ่าตัดหมอนรองกระดูกผ่านกล้องจุลทรรศน์ (Microdiscectomy): เป็นการผ่าตัดมาตรฐานที่นิยมทำกันมากที่สุด โดยใช้กล้องจุลทรรศน์ช่วยในการผ่าตัด ทำให้แผลมีขนาดเล็ก และเห็นรายละเอียดชัดเจน
- การผ่าตัดส่องกล้อง (Endoscopic Discectomy): เป็นเทคนิคที่ใหม่กว่า แผลผ่าตัดเล็กมาก ใช้กล้องสอดเข้าไปเพื่อนำส่วนของหมอนรองกระดูกที่ปลิ้นออกมา
- การผ่าตัดเปลี่ยนหมอนรองกระดูกเทียม (Artificial Disc Replacement): ในบางกรณี อาจพิจารณาเปลี่ยนหมอนรองกระดูกที่เสียหายด้วยหมอนรองกระดูกเทียม เพื่อรักษาการเคลื่อนไหวของข้อต่อ
- การผ่าตัดเชื่อมข้อกระดูกสันหลัง (Spinal Fusion): ทำในบางกรณีที่จำเป็น โดยการเชื่อมกระดูกสันหลัง 2 ข้อขึ้นไปเข้าด้วยกัน เพื่อทำให้กระดูกส่วนนั้นมั่นคง ไม่เคลื่อนไหว

5. การดูแลตัวเองและแนวทางการป้องกัน: สร้างหลังให้แข็งแรง
การป้องกันโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาททำได้โดยการดูแลสุขภาพกระดูกสันหลังและปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต:
- รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม: ลดแรงกดต่อกระดูกสันหลัง
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: เน้นการออกกำลังกายที่เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core Muscles) เช่น โยคะ, พิลาทิส, ว่ายน้ำ, เดินเร็ว
- ยกของให้ถูกวิธี: งอเข่าลง ใช้กำลังขาในการยก ไม่ใช่กำลังหลัง
- นั่งและยืนให้ถูกท่า: นั่งหลังตรง, ใช้เก้าอี้ที่มีพนักพิงรองรับส่วนโค้งของหลังส่วนล่าง, วางเท้าให้ราบกับพื้น
- หลีกเลี่ยงการนั่งหรือยืนในท่าเดียวนานๆ: ควรเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ
- เลือกที่นอนที่เหมาะสม: ไม่นิ่มหรือแข็งจนเกินไป
- เลิกสูบบุหรี่: เพื่อสุขภาพของหมอนรองกระดูกโดยรวม
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดี เพื่อสุขภาพกระดูกโดยรวม
6. การดูแลรักษาและใช้ชีวิตอยู่กับโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท: เคลื่อนไหวได้อย่างมั่นใจ
เมื่อได้รับการวินิจฉัยแล้ว การดูแลอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญ:
- ปฏิบัติตามแผนการรักษาของแพทย์และนักกายภาพบำบัดอย่างเคร่งครัด: ทั้งการใช้ยา, การทำกายภาพบำบัด, และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
- ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำ: เพื่อรักษาความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อหลังและแกนกลางลำตัว
- เฝ้าระวังอาการผิดปกติ: หากมีอาการอ่อนแรงมากขึ้น, ชามากขึ้น, หรือมีปัญหาในการควบคุมการขับถ่าย ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่กระตุ้นอาการ: เช่น การยกของหนัก, การก้มผิดท่า
- จัดการความเจ็บปวด: เรียนรู้เทคนิคการจัดการความเจ็บปวด และการใช้ยาอย่างเหมาะสม
- ติดตามผลกับแพทย์เป็นประจำ: เพื่อประเมินความรุนแรงของโรคและปรับแผนการรักษาหากจำเป็น
สรุป: หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทจัดการได้ ด้วยความรู้และการดูแลที่ใส่ใจ
โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทเป็นภาวะที่ก่อให้เกิดอาการปวดและรบกวนการเคลื่อนไหวอย่างมาก แต่สามารถควบคุมและจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ การตระหนักรู้ถึงอาการ การวินิจฉัยที่ถูกต้อง การรักษาที่เหมาะสมทั้งด้วยยา กายภาพบำบัด และการผ่าตัดในบางกรณี รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างเคร่งครัดและยั่งยืน คือหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทสามารถฟื้นตัว กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ และปราศจากอาการปวดที่รบกวน
ข้อมูลอ้างอิงและข้อควรระวังสำคัญ:
- ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลยาและนวัตกรรมทางการแพทย์ที่กล่าวมาข้างต้นมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาและให้ข้อมูลเท่านั้น การวินิจฉัยโรค การเลือกวิธีการรักษา หรือการผ่าตัดใดๆ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ (เช่น ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ, แพทย์ระบบประสาท, แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู) อย่างเคร่งครัด ห้ามวินิจฉัยโรคด้วยตนเอง หรือซื้อยาและเลือกการรักษาโดยไม่ปรึกษาแพทย์เด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงหรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้ แพทย์จะพิจารณาความเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย โดยคำนึงถึงประโยชน์และความเสี่ยง
แหล่งอ้างอิง:
- ราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์แห่งประเทศไทย. (2565). แนวทางการวินิจฉัยและรักษาโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์เว็บไซต์ของราชวิทยาลัยฯ หรือหน้าคู่มือที่เกี่ยวข้อง)
- สถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์. (2565). โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นหากมี)
- โรงพยาบาลชั้นนำในประเทศไทย (เช่น โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, โรงพยาบาลรามาธิบดี). บทความให้ความรู้เกี่ยวกับโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท. (ยกตัวอย่างบทความจากโรงพยาบาลที่น่าเชื่อถือ)
- สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.). ข้อมูลยาที่ได้รับอนุมัติในประเทศไทย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์ที่เกี่ยวข้องหากต้องการ เช่น ฐานข้อมูลยา)
เรียบเรียงข้อมูลโดย (Compiled by): www.chulalakpharmacy.com