โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท (Herniated Disc): เมื่ออาการปวดร้าวรบกวนชีวิต ทำความเข้าใจ สัญญาณเตือน และแนวทางการรักษาเพื่อชีวิตที่ไร้ข้อจำกัด

ทำความเข้าใจโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทอย่างละเอียด! เรียนรู้สาเหตุ, สัญญาณเตือน (ปวดหลังร้าวลงขา, ชา, อ่อนแรง), แนวทางการวินิจฉัย, นวัตกรรมการรักษาด้วยยา กายภาพบำบัด และการผ่าตัด พร้อมวิธีดูแลตัวเองเพื่อลดอาการปวดและกลับมาเคลื่อนไหวได้ปกติ





โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท (Herniated Disc) คืออะไร?

โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท (Herniated Disc) คือภาวะที่หมอนรองกระดูกสันหลัง ซึ่งทำหน้าที่เป็นเหมือนหมอนหรือเบาะรองรับแรงกระแทกและช่วยให้กระดูกสันหลังเคลื่อนไหวได้ยืดหยุ่น เกิดการเสื่อมสภาพ ฉีกขาด หรือเคลื่อนออกจากตำแหน่งเดิม ทำให้ส่วนที่เป็นของเหลวคล้ายเจล (Nucleus Pulposus) ซึ่งอยู่ตรงกลางของหมอนรองกระดูก ปลิ้นหรือดันออกมาภายนอก และไปกดทับเส้นประสาทไขสันหลังที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ก่อให้เกิดอาการปวด ชา หรืออ่อนแรงตามบริเวณที่เส้นประสาทนั้นควบคุม

หมอนรองกระดูกสามารถเกิดการเสื่อมสภาพหรือบาดเจ็บได้ในทุกส่วนของกระดูกสันหลัง ตั้งแต่ส่วนคอ (Cervical Spine) อก (Thoracic Spine) ไปจนถึงบั้นเอว (Lumbar Spine) ซึ่งเป็นบริเวณที่พบบ่อยที่สุด เนื่องจากเป็นส่วนที่รับน้ำหนักและมีการเคลื่อนไหวมากที่สุด หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตและการทำกิจวัตรประจำวัน



1. สัญญาณเตือนของหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท: เมื่อปวดหลังไม่ใช่เรื่องปกติ

อาการของโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับตำแหน่งของหมอนรองกระดูกที่กดทับเส้นประสาท และความรุนแรงของการกดทับ อาการที่พบบ่อย ได้แก่:

  • 1.1 อาการปวด:
    • ปวดหลังส่วนล่าง (Low Back Pain): มักเป็นอาการเริ่มต้น ปวดบริเวณเอวหรือบั้นท้าย
    • ปวดร้าวลงขา (Radiculopathy หรือ Sciatica): หากเป็นที่กระดูกสันหลังส่วนเอว อาการปวดจะร้าวลงมาตามแนวเส้นประสาทที่ถูกกดทับ เช่น ลงสะโพก ต้นขา น่อง หรือปลายเท้า มักเป็นที่ขาเพียงข้างเดียว
    • ปวดร้าวลงแขนและมือ (Arm and Hand Pain): หากเป็นที่กระดูกสันหลังส่วนคอ อาการปวดจะร้าวลงมาตามแนวแขน มือ และนิ้วมือ อาจมีอาการปวดที่บ่าหรือสะบักร่วมด้วย
    • อาการปวดมักจะแย่ลงเมื่อไอ, จาม, เบ่ง, นั่งนานๆ, ก้มตัว, หรือยกของหนัก

  • 1.2 อาการชา (Numbness):
    • รู้สึกชา หรือ “เหน็บชา” บริเวณผิวหนังตามแนวที่เส้นประสาทถูกกดทับ เช่น ชาที่เท้า, ปลายนิ้วเท้า, น่อง, หรือชาที่มือ, แขน

  • 1.3 กล้ามเนื้ออ่อนแรง (Muscle Weakness):
    • ความสามารถในการขยับแขน ขา หรือเท้าลดลง ยกแขนไม่ขึ้น, กระดกปลายเท้าไม่ได้ ทำให้เดินลำบาก หรือเดินลากเท้า

  • 1.4 สูญเสียการควบคุมการขับถ่าย (Bowel or Bladder Dysfunction):
    • เป็นสัญญาณอันตรายที่ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที (Cauda Equina Syndrome) หากมีอาการปวดหลังรุนแรงร่วมกับการชาบริเวณอานม้า (อวัยวะเพศ, ทวารหนัก) และไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระได้

หากคุณมีอาการเหล่านี้ โดยเฉพาะอาการปวดร้าว ชา หรืออ่อนแรงที่ต่อเนื่องและไม่ดีขึ้น ควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกและข้อ หรือแพทย์ระบบประสาท



2. สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท: ทำไมหมอนรองกระดูกถึงปลิ้น?

โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน โดยส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการเสื่อมสภาพและพฤติกรรมการใช้ชีวิต:

  • 2.1 การเสื่อมสภาพตามวัย (Degeneration due to Aging):
    • เป็นสาเหตุหลัก เมื่ออายุมากขึ้น หมอนรองกระดูกจะสูญเสียความยืดหยุ่นและปริมาณน้ำ ทำให้เปราะบางและฉีกขาดได้ง่าย
  • 2.2 การยกของหนักด้วยท่าทางที่ไม่ถูกต้อง (Improper Lifting Techniques):
    • การก้มหลังยกของหนักโดยไม่งอเข่า จะเพิ่มแรงกดมหาศาลต่อหมอนรองกระดูกสันหลังส่วนล่าง
  • 2.3 การบาดเจ็บ (Trauma):
    • การหกล้ม, อุบัติเหตุ, หรือการได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรงต่อกระดูกสันหลัง
  • 2.4 น้ำหนักตัวเกิน หรือโรคอ้วน (Obesity or Overweight):
    • น้ำหนักตัวที่มากเกินไป โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง จะเพิ่มแรงกดต่อกระดูกสันหลังส่วนล่างอย่างต่อเนื่อง
  • 2.5 พฤติกรรมการนั่งหรือยืนที่ไม่เหมาะสม (Poor Posture):
    • การนั่งทำงานนานๆ โดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถ, การนั่งหลังค่อม, หรือการยืนลงน้ำหนักผิดท่า
  • 2.6 การขาดการออกกำลังกาย (Sedentary Lifestyle):
    • ทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องและกล้ามเนื้อหลังอ่อนแอ ไม่สามารถพยุงกระดูกสันหลังได้ดี
  • 2.7 การสูบบุหรี่ (Smoking):
    • ทำให้หมอนรองกระดูกเสื่อมสภาพเร็วขึ้น เนื่องจากลดการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงหมอนรองกระดูก
  • 2.8 พันธุกรรม (Genetics):
    • บางคนอาจมีโครงสร้างหมอนรองกระดูกที่อ่อนแอโดยกำเนิด



3. การวินิจฉัยโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท: ตรวจอย่างไรให้แม่นยำ?

การวินิจฉัยโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาททำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ (แพทย์กระดูกและข้อ, แพทย์ระบบประสาท, หรือแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู) โดยอาศัยการตรวจหลายอย่างร่วมกัน:

  • การซักประวัติ (Clinical History): แพทย์จะซักถามอาการอย่างละเอียด, ลักษณะของอาการปวด, ตำแหน่งที่ปวดร้าว, อาการชาหรืออ่อนแรง, ระยะเวลาที่เป็น, ประวัติการบาดเจ็บ, และพฤติกรรมการใช้ชีวิต

  • การตรวจร่างกาย (Physical Examination):
    • ตรวจการเคลื่อนไหวของกระดูกสันหลัง
    • ตรวจกำลังกล้ามเนื้อ (Muscle Strength) บริเวณแขน ขา และเท้า
    • ตรวจการรับความรู้สึก (Sensory Testing) เช่น การรับรู้การสัมผัส, ความเจ็บปวด, อุณหภูมิ
    • ตรวจปฏิกิริยาตอบสนองของเส้นเอ็น (Deep Tendon Reflexes)
    • ทดสอบท่าทางที่ทำให้เกิดอาการ เช่น การยกขาตรง (Straight Leg Raise Test)

  • การถ่ายภาพรังสี (Imaging Studies):
    • X-ray กระดูกสันหลัง: ช่วยให้เห็นโครงสร้างกระดูก, การจัดเรียงตัวของกระดูกสันหลัง, หรือกระดูกงอก แต่ไม่สามารถมองเห็นหมอนรองกระดูกหรือเส้นประสาทได้โดยตรง
    • MRI (Magnetic Resonance Imaging): เป็นการตรวจที่แม่นยำที่สุด ในการวินิจฉัยหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท สามารถมองเห็นหมอนรองกระดูกที่ปลิ้นออกมา, การกดทับเส้นประสาท, และความผิดปกติอื่นๆ ของเนื้อเยื่ออ่อนได้อย่างชัดเจน
    • CT Scan (Computed Tomography): อาจใช้ในกรณีที่ไม่สามารถทำ MRI ได้ ให้ภาพโครงสร้างกระดูกได้ดี และอาจเห็นหมอนรองกระดูกที่ปลิ้นออกมาได้บ้าง

  • การตรวจคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อและเส้นประสาท (Electromyography – EMG และ Nerve Conduction Study – NCS):
    • ใช้เพื่อประเมินการทำงานของเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ และยืนยันว่ามีการกดทับเส้นประสาทหรือไม่ และรุนแรงเพียงใด
    • อาจช่วยแยกแยะจากภาวะอื่นๆ ที่มีอาการคล้ายกัน

4. เภสัชจุลศาลและนวัตกรรมการแพทย์: แนวทางการดูแลรักษาโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท

การรักษาโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทมีเป้าหมายเพื่อลดอาการปวด, ลดการอักเสบ, คืนการทำงานของเส้นประสาท, และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ ซึ่งมักเริ่มต้นด้วยการรักษาแบบประคับประคอง และพิจารณาการผ่าตัดในรายที่จำเป็น

4.1 ยาที่ใช้รักษาโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท (Medications for Herniated Disc)

การใช้ยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรอย่างเคร่งครัด

  • ยาลดปวดกลุ่ม Paracetamol:
    • ใช้สำหรับบรรเทาอาการปวดที่ไม่รุนแรง

  • ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Nonsteroidal Anti-inflammatory Drugs – NSAIDs):
    • ช่วยลดอาการปวดและลดการอักเสบ
    • ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: Ibuprofen, Naproxen, Celecoxib, Diclofenac
    • ข้อควรพิจารณา: การใช้ NSAIDs ในระยะยาวอาจมีผลข้างเคียงต่อกระเพาะอาหาร, ไต, หรือหัวใจ ควรใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์

  • ยาคลายกล้ามเนื้อ (Muscle Relaxants):
    • ช่วยลดอาการปวดเกร็งของกล้ามเนื้อที่เกิดจากการระคายเคืองของเส้นประสาท
    • ตัวอย่างยี่ห้อ: Baclofen, Tizanidine, Diazepam

  • ยากลุ่มกาบาเพนตินอยด์ (Gabapentinoids):
    • เป็นยาแก้ปวดที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทโดยเฉพาะ เหมาะสำหรับอาการปวดร้าว ชา ที่เกิดจากการกดทับเส้นประสาท (Neuropathic Pain)
    • ตัวอย่างยี่ห้อ: Gabapentin (เช่น Neurontin), Pregabalin (เช่น Lyrica)

  • ยาฉีดสเตียรอยด์เข้าโพรงไขสันหลัง (Epidural Steroid Injection – ESI):
    • ฉีดยาเข้าสู่บริเวณรอบๆ เส้นประสาทที่ถูกกดทับ เพื่อลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวด
    • ข้อควรพิจารณา: เป็นการรักษาแบบชั่วคราว ไม่ได้แก้ไขสาเหตุที่แท้จริง และแพทย์จะพิจารณาทำในบางกรณี

  • ยาแก้ปวดกลุ่มโอปิออยด์ (Opioid Analgesics):
    • ใช้ในกรณีที่มีอาการปวดรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อยาชนิดอื่น และใช้ในระยะเวลาสั้นๆ ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีโอกาสติดยาได้

ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลยาที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างและเพื่อการศึกษาเท่านั้น การใช้ยาใดๆ ต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำและการดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรอย่างเคร่งครัด ห้ามซื้อยาหรือปรับขนาดยาเองเด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงหรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้

4.2 กายภาพบำบัดและนวัตกรรมการแพทย์ในการรักษา

  • กายภาพบำบัด (Physical Therapy):
    • เป็นส่วนสำคัญในการรักษาแบบไม่ผ่าตัด นักกายภาพบำบัดจะสอนท่าบริหารเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core Muscles) ซึ่งได้แก่ กล้ามเนื้อหน้าท้องและกล้ามเนื้อหลังส่วนลึก, ยืดกล้ามเนื้อ, ปรับท่าทางที่เหมาะสม
    • อาจมีการใช้อุปกรณ์ เช่น เครื่องดึงหลัง (Traction), การใช้ความร้อน/เย็น, อัลตราซาวนด์, เลเซอร์ เพื่อช่วยลดอาการปวดและอักเสบ

  • การปรับพฤติกรรม (Lifestyle Modification):
    • การปรับท่าทางการนั่ง, ยืน, เดิน, นอน ให้ถูกต้อง
    • เรียนรู้เทคนิคการยกของที่ปลอดภัย
    • การลดน้ำหนักในผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน

  • การผ่าตัด (Surgery):
    • พิจารณาในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง, ไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบไม่ผ่าตัดเป็นระยะเวลาที่เหมาะสม (เช่น 6 สัปดาห์ – 3 เดือน), มีอาการอ่อนแรงที่แย่ลง, หรือมีภาวะเร่งด่วน เช่น สูญเสียการควบคุมการขับถ่าย
    • เทคนิคการผ่าตัดที่พบบ่อย:
      • การผ่าตัดหมอนรองกระดูกผ่านกล้องจุลทรรศน์ (Microdiscectomy): เป็นการผ่าตัดมาตรฐานที่นิยมทำกันมากที่สุด โดยใช้กล้องจุลทรรศน์ช่วยในการผ่าตัด ทำให้แผลมีขนาดเล็ก และเห็นรายละเอียดชัดเจน
      • การผ่าตัดส่องกล้อง (Endoscopic Discectomy): เป็นเทคนิคที่ใหม่กว่า แผลผ่าตัดเล็กมาก ใช้กล้องสอดเข้าไปเพื่อนำส่วนของหมอนรองกระดูกที่ปลิ้นออกมา
      • การผ่าตัดเปลี่ยนหมอนรองกระดูกเทียม (Artificial Disc Replacement): ในบางกรณี อาจพิจารณาเปลี่ยนหมอนรองกระดูกที่เสียหายด้วยหมอนรองกระดูกเทียม เพื่อรักษาการเคลื่อนไหวของข้อต่อ
      • การผ่าตัดเชื่อมข้อกระดูกสันหลัง (Spinal Fusion): ทำในบางกรณีที่จำเป็น โดยการเชื่อมกระดูกสันหลัง 2 ข้อขึ้นไปเข้าด้วยกัน เพื่อทำให้กระดูกส่วนนั้นมั่นคง ไม่เคลื่อนไหว



5. การดูแลตัวเองและแนวทางการป้องกัน: สร้างหลังให้แข็งแรง

การป้องกันโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาททำได้โดยการดูแลสุขภาพกระดูกสันหลังและปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต:

  • รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม: ลดแรงกดต่อกระดูกสันหลัง
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: เน้นการออกกำลังกายที่เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core Muscles) เช่น โยคะ, พิลาทิส, ว่ายน้ำ, เดินเร็ว
  • ยกของให้ถูกวิธี: งอเข่าลง ใช้กำลังขาในการยก ไม่ใช่กำลังหลัง
  • นั่งและยืนให้ถูกท่า: นั่งหลังตรง, ใช้เก้าอี้ที่มีพนักพิงรองรับส่วนโค้งของหลังส่วนล่าง, วางเท้าให้ราบกับพื้น
  • หลีกเลี่ยงการนั่งหรือยืนในท่าเดียวนานๆ: ควรเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ
  • เลือกที่นอนที่เหมาะสม: ไม่นิ่มหรือแข็งจนเกินไป
  • เลิกสูบบุหรี่: เพื่อสุขภาพของหมอนรองกระดูกโดยรวม
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดี เพื่อสุขภาพกระดูกโดยรวม



6. การดูแลรักษาและใช้ชีวิตอยู่กับโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท: เคลื่อนไหวได้อย่างมั่นใจ

เมื่อได้รับการวินิจฉัยแล้ว การดูแลอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญ:

  • ปฏิบัติตามแผนการรักษาของแพทย์และนักกายภาพบำบัดอย่างเคร่งครัด: ทั้งการใช้ยา, การทำกายภาพบำบัด, และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
  • ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำ: เพื่อรักษาความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อหลังและแกนกลางลำตัว
  • เฝ้าระวังอาการผิดปกติ: หากมีอาการอ่อนแรงมากขึ้น, ชามากขึ้น, หรือมีปัญหาในการควบคุมการขับถ่าย ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่กระตุ้นอาการ: เช่น การยกของหนัก, การก้มผิดท่า
  • จัดการความเจ็บปวด: เรียนรู้เทคนิคการจัดการความเจ็บปวด และการใช้ยาอย่างเหมาะสม
  • ติดตามผลกับแพทย์เป็นประจำ: เพื่อประเมินความรุนแรงของโรคและปรับแผนการรักษาหากจำเป็น

สรุป: หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทจัดการได้ ด้วยความรู้และการดูแลที่ใส่ใจ

โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทเป็นภาวะที่ก่อให้เกิดอาการปวดและรบกวนการเคลื่อนไหวอย่างมาก แต่สามารถควบคุมและจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ การตระหนักรู้ถึงอาการ การวินิจฉัยที่ถูกต้อง การรักษาที่เหมาะสมทั้งด้วยยา กายภาพบำบัด และการผ่าตัดในบางกรณี รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างเคร่งครัดและยั่งยืน คือหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทสามารถฟื้นตัว กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ และปราศจากอาการปวดที่รบกวน


ข้อมูลอ้างอิงและข้อควรระวังสำคัญ:

  • ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลยาและนวัตกรรมทางการแพทย์ที่กล่าวมาข้างต้นมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาและให้ข้อมูลเท่านั้น การวินิจฉัยโรค การเลือกวิธีการรักษา หรือการผ่าตัดใดๆ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ (เช่น ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ, แพทย์ระบบประสาท, แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู) อย่างเคร่งครัด ห้ามวินิจฉัยโรคด้วยตนเอง หรือซื้อยาและเลือกการรักษาโดยไม่ปรึกษาแพทย์เด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงหรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้ แพทย์จะพิจารณาความเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย โดยคำนึงถึงประโยชน์และความเสี่ยง

แหล่งอ้างอิง:

  • ราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์แห่งประเทศไทย. (2565). แนวทางการวินิจฉัยและรักษาโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์เว็บไซต์ของราชวิทยาลัยฯ หรือหน้าคู่มือที่เกี่ยวข้อง)
  • สถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์. (2565). โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นหากมี)
  • โรงพยาบาลชั้นนำในประเทศไทย (เช่น โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, โรงพยาบาลรามาธิบดี). บทความให้ความรู้เกี่ยวกับโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท. (ยกตัวอย่างบทความจากโรงพยาบาลที่น่าเชื่อถือ)
  • สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.). ข้อมูลยาที่ได้รับอนุมัติในประเทศไทย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์ที่เกี่ยวข้องหากต้องการ เช่น ฐานข้อมูลยา)

เรียบเรียงข้อมูลโดย (Compiled by): www.chulalakpharmacy.com

บทความที่คุณอาจสนใจ

  • แชร์

    ยังไม่มีบัญชี