หูดหงอนไก่บริเวณอัณฑะ: อาการที่มองข้ามไม่ได้ สาเหตุจากเชื้อ HPV และแนวทางการดูแลเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

หูดหงอนไก่ถุงอัณฑะ (Genital Warts) ที่เกิดขึ้นบริเวณ ถุงอัณฑะ (Scrotum) เป็นส่วนหนึ่งของรอยโรคที่เกิดจากการติดเชื้อ ไวรัสฮิวแมนแปปิโลมา (Human Papillomavirus – HPV) สายพันธุ์ความเสี่ยงต่ำ โดยเฉพาะ HPV ชนิดที่ 6 และ 11 [1, 2] บริเวณอัณฑะเป็นผิวหนังที่อ่อนนุ่มและมักมีความอับชื้น ทำให้เป็นตำแหน่งที่ไวรัสสามารถเข้าสู่ผิวหนังและเจริญเติบโตได้ง่าย [3]

หูดหงอนไก่บริเวณอัณฑะมักมีลักษณะเป็น ติ่งเนื้อนูนเล็กๆ หรือ ตุ่มนูนผิวขรุขระ คล้าย ดอกกะหล่ำ หรือ หงอนไก่ อาจมีสีเนื้อ สีชมพูอ่อน หรือสีน้ำตาล [2] โดยทั่วไปมักจะ ไม่มีอาการเจ็บปวด แต่หากหูดมีขนาดใหญ่ หรือมีการเสียดสีกับเสื้อผ้าหรือขณะมีกิจกรรมทางเพศ อาจทำให้เกิดอาการ คัน ระคายเคือง หรือ มีเลือดออก ได้ [1] แม้ว่าหูดหงอนไก่ชนิดนี้จะไม่ใช่สาเหตุหลักของมะเร็งอัณฑะ แต่การรักษาเพื่อกำจัดรอยโรคและการเสริมภูมิคุ้มกันถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อและการกลับมาเป็นซ้ำ [4]

กลไกการเกิดหูดบริเวณอัณฑะ: ปฏิกิริยาระหว่างไวรัสและผิวหนัง

  1. การติดต่อผ่านการสัมผัส (Direct Contact):
    • เชื้อ HPV ติดต่อโดยตรงผ่าน การสัมผัสผิวหนังต่อผิวหนัง หรือเยื่อบุที่ติดเชื้อระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือช่องปาก [2]
    • ผิวหนังบริเวณอัณฑะมีความอ่อนแอ ทำให้เชื้อไวรัสสามารถแทรกซึมเข้าสู่เซลล์ผิวหนังฐานชั้นนอกสุดได้
  2. การกระตุ้นการเติบโตของเซลล์ (Cell Proliferation):
    • หลังจากเชื้อไวรัสเข้าสู่เซลล์แล้ว หากระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถกำจัดเชื้อได้ทันท่วงที เชื้อไวรัสจะเข้าไปควบคุมกลไกของเซลล์ผิวหนัง
    • ไวรัสจะกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังเกิดการ แบ่งตัวและเจริญเติบโตที่มากเกินไป (Hyperplasia) ส่งผลให้เกิดการก่อตัวเป็นก้อนนูนหรือติ่งเนื้อ ซึ่งก็คือหูดหงอนไก่นั่นเอง [4]
  3. ความเสี่ยงในการเป็นซ้ำ:
    • ถึงแม้จะกำจัดหูดออกไปได้แล้ว แต่ เชื้อไวรัส HPV ยังคงแฝงอยู่ในร่างกาย [3] หากภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง หรือมีการติดเชื้อซ้ำ หูดก็สามารถกลับมาขึ้นใหม่ที่บริเวณอัณฑะหรือส่วนอื่น ๆ ของอวัยวะเพศได้สูง [1]

5 ขั้นตอนง่ายๆ ที่สามารถทำได้ทันทีเพื่อเพิ่มฮอร์โมนเพศชาย (ดูแลสุขภาพโดยรวม)

การเพิ่มฮอร์โมนเพศชาย เทสโทสเตอโรน (Testosterone) ให้สมดุลเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพที่ดีโดยรวม ซึ่งส่งผลดีทางอ้อมต่อการตอบสนองของภูมิคุ้มกันในการต่อสู้กับไวรัส [4]:

  1. ออกกำลังกายแบบมีแรงต้านสม่ำเสมอ:
    • สิ่งที่ทำได้ทันที: เริ่มต้นการวิดพื้น (Push-ups) หรือซิทอัพ ในจำนวนที่คุณทำไหว การออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่งหรือมีแรงต้านช่วยกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน
  2. ลดน้ำหนักตัวส่วนเกิน (โดยเฉพาะไขมันหน้าท้อง):
    • สิ่งที่ทำได้ทันที: หลีกเลี่ยงน้ำตาลและเครื่องดื่มรสหวาน ในมื้อต่อไป ไขมันส่วนเกิน โดยเฉพาะไขมันที่ช่องท้อง จะเร่งกระบวนการเปลี่ยนเทสโทสเตอโรนเป็นเอสโตรเจน ซึ่งจะลดระดับฮอร์โมนเพศชายลง [5]
  3. กินไขมันดีจากแหล่งธรรมชาติ:
    • สิ่งที่ทำได้ทันที: เพิ่มถั่ว อะโวคาโด หรือน้ำมันมะกอก เล็กน้อยในอาหารมื้อถัดไป ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวเป็นสารตั้งต้นสำคัญในการสร้างฮอร์โมนสเตียรอยด์ (รวมถึงเทสโทสเตอโรน)
  4. ให้ความสำคัญกับการนอนหลับลึก:
    • สิ่งที่ทำได้ทันที: ตั้งเวลานอนให้ตรงเวลา และสร้างสภาพแวดล้อมในห้องนอนให้มืดสนิทและเย็นสบาย การหลั่งเทสโทสเตอโรนส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วงการนอนหลับลึก
  5. จำกัดแอลกอฮอล์ให้มากที่สุด:
    • สิ่งที่ทำได้ทันที: งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปเป็นพิษต่ออัณฑะโดยตรงและรบกวนการผลิตฮอร์โมนเพศชาย [5]

อาหารเสริมที่ช่วยบำรุง ดูแล หรือป้องกัน (เน้นการเสริมภูมิคุ้มกัน)

การเสริมสารอาหารเหล่านี้เพื่อสนับสนุนการทำงานของภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นกลไกหลักในการกำจัดเชื้อ HPV ที่แฝงอยู่ในร่างกาย [4]:

  • สารสกัดจากเห็ดทางการแพทย์ (เช่น AHCC/Beta-Glucan): มีงานวิจัยที่ชี้ว่าสารสกัดจากเห็ดบางชนิดสามารถ กระตุ้นการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกัน (เช่น T cells และ NK cells) ซึ่งเป็นด่านหน้าในการทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัส [4]
  • ซิงก์ (Zinc): เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันทุกส่วน รวมถึงการซ่อมแซมบาดแผลและผิวหนัง [5]
  • วิตามิน D: ระดับวิตามิน D ที่เหมาะสมมีความสัมพันธ์กับความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันในการต่อสู้กับไวรัส การขาดวิตามิน D อาจทำให้ร่างกายควบคุมเชื้อไวรัสได้ยากขึ้น [5]
  • สารสกัดชาเขียว (EGCG): สารคาเทชิน (Catechin) ในชาเขียวมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและต้านไวรัส มีการศึกษาถึงประสิทธิภาพในการใช้ร่วมกับยาในการรักษาหูดหงอนไก่บางชนิด [4]

รักษาหูดหงอนไก่

ข้อควรระวังและคำแนะนำเพิ่มเติม

  • ห้ามรักษาเอง: ห้ามพยายามตัด แกะ หรือใช้ยาทั่วไป เช่น ยาทาหูดบริเวณอื่น หรือยาทาสิว บริเวณหูดหงอนไก่บนอัณฑะเองเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อ แผลเป็น หรือทำให้หูดแพร่กระจาย [1]
  • รีบพบแพทย์: ควรรีบไปพบ แพทย์ผิวหนัง หรือ ศัลยแพทย์ทางเดินปัสสาวะ ทันทีที่สังเกตเห็นรอยโรค แพทย์จะวินิจฉัยและเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุด เช่น การทายาเฉพาะที่ (Imiquimod หรือ Podofilox) หรือการกำจัดออกด้วยการจี้ (Cryotherapy, Electrocautery) [2]
  • การรักษาคู่นอน: คู่นอนควรเข้ารับการตรวจและรักษาไปพร้อมกัน เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำไปซ้ำมา (Ping-Pong Infection) [3]
  • วัคซีนป้องกัน HPV: การฉีด วัคซีน HPV เป็นวิธีการป้องกันที่ดีที่สุด และควรพิจารณาฉีดแม้ว่าจะเคยเป็นหูดหงอนไก่มาแล้ว เพื่อป้องกันสายพันธุ์อื่น ๆ ที่ยังไม่เคยติดเชื้อ [1]

“ข้อมูลในบทความนี้เป็นเพียงความรู้เบื้องต้น ไม่สามารถใช้ทดแทนการปรึกษาและวินิจฉัยจากแพทย์หรือเภสัชได้ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเมื่อใช้ยา หรือมีปัญหาสุขภาพ”


แหล่งข้อมูลอ้างอิง:

  1. คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล. หูดหงอนไก่ “เรื่องใหญ่” กว่าที่คิด. [1]
  2. โรงพยาบาลสินแพทย์. หูดหงอนไก่เกิดจากอะไร ? อาการเป็นอย่างไร ต้องรักษาด้วยวิธีใด. [2]
  3. Cleveland Clinic. Genital Warts: Causes, Symptoms, Treatment & Prevention. (ข้อมูลการติดต่อและการรักษา) [3]
  4. Mayo Clinic. Genital warts – Symptoms and causes. (ข้อมูลกลไกและการกำเริบซ้ำ) [4]
  5. บทความทางการแพทย์จาก Healthline/NCBI. HPV and the Immune System: How Nutrition Helps และข้อมูลจาก Medline Plus. (ข้อมูลวิตามินและฮอร์โมน) [5]

เรียบเรียงโดย (Compiled by)  : www.chulalakpharmacy.com

บทความที่คุณอาจสนใจ

  • แชร์

    ยังไม่มีบัญชี