ออกกำลังกายพิชิตเบาหวาน: ท่าไหนดี? ทำเมื่อไหร่? เพื่อควบคุมน้ำตาลได้ผล

อยากออกกำลังกายพิชิตเบาหวาน แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง? มาดูกันว่า ท่าไหนดี และควร ทำเมื่อไหร่ เพื่อช่วย ควบคุมน้ำตาลได้ผล และสุขภาพดีขึ้นในระยะยาว

ออกกำลังกายพิชิตเบาหวาน: ท่าไหนดี? ทำเมื่อไหร่? เพื่อควบคุมน้ำตาลได้ผลจริง!

นอกจากการควบคุมอาหารแล้ว การออกกำลังกาย ถือเป็นหนึ่งในเสาหลักที่สำคัญที่สุดในการจัดการ โรคเบาหวาน ไม่ว่าคุณจะเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 ชนิดที่ 2 หรืออยู่ในภาวะพรีเบาหวาน การเคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้ดีขึ้น ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน และช่วยให้คุณมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น บทความนี้จะบอกคุณว่า ออกกำลังกายพิชิตเบาหวาน ควร ท่าไหนดี ควร ทำเมื่อไหร่ เพื่อให้ ควบคุมน้ำตาลได้ผล อย่างยั่งยืน

ทำไมการออกกำลังกายถึงสำคัญกับผู้ป่วยเบาหวาน?

การออกกำลังกายมีประโยชน์มหาศาลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วยเบาหวาน [1, 2]:

  • ลดระดับน้ำตาลในเลือด: กล้ามเนื้อจะดึงน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ดีขึ้น ทำให้น้ำตาลในเลือดลดลง
  • เพิ่มความไวของอินซูลิน: ร่างกายจะตอบสนองต่ออินซูลินได้ดีขึ้น ทำให้ตับอ่อนทำงานหนักน้อยลง
  • ควบคุมน้ำหนัก: ช่วยเผาผลาญแคลอรี ลดไขมันส่วนเกิน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน
  • ลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อน: ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง ซึ่งมักพบร่วมกับเบาหวาน
  • เสริมสร้างกล้ามเนื้อและกระดูก: ทำให้ร่างกายแข็งแรง เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่ว
  • ลดความเครียด: การออกกำลังกายช่วยผ่อนคลายความเครียด ซึ่งส่งผลดีต่อระดับน้ำตาลในเลือด

ออกกำลังกายพิชิตเบาหวาน: ท่าไหนดี? ควรทำกี่นาที?

การออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยเบาหวานควรประกอบด้วยการออกกำลังกาย 2 ประเภทหลักๆ [3, 4]:

  1. การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ (Aerobic Exercise):
    • ประโยชน์: ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดโดยตรง เพิ่มความไวของอินซูลิน และเสริมสร้างสุขภาพหัวใจและปอด
    • ตัวอย่างท่า/กิจกรรม:
      • เดินเร็ว: เป็นกิจกรรมที่ง่ายที่สุดและทำได้ทุกคน โดยเฉพาะหลังมื้ออาหาร
      • วิ่งเหยาะๆ: หากร่างกายพร้อมและไม่มีปัญหากระดูกข้อต่อ
      • ปั่นจักรยาน: ทั้งจักรยานธรรมดาและจักรยานอยู่กับที่
      • ว่ายน้ำ: เป็นการออกกำลังกายที่ดีสำหรับข้อต่อและช่วยลดแรงกระแทก
      • เต้นแอโรบิก:
    • เป้าหมาย: อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ โดยแบ่งเป็น 3-5 วันต่อสัปดาห์ ครั้งละอย่างน้อย 30 นาที และไม่ควรห่างกันเกิน 2 วันติดต่อกัน
  2. การออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน (Resistance Training / Strength Training):
    • ประโยชน์: ช่วยสร้างมวลกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่ใช้น้ำตาลกลูโคสได้มากที่สุด ยิ่งมีกล้ามเนื้อมาก ยิ่งควบคุมน้ำตาลได้ดีขึ้น
    • ตัวอย่างท่า/กิจกรรม:
      • ยกน้ำหนัก: ใช้น้ำหนักเบาๆ ก่อน และค่อยๆ เพิ่มขึ้น
      • Bodyweight Exercises: เช่น สควอท (Squats), ลันจ์ (Lunges), วิดพื้น (Push-ups), ซิตอัพ (Sit-ups)
      • ใช้ยางยืดออกกำลังกาย (Resistance Bands):

เป้าหมาย: อย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยเว้นระยะห่างให้กล้ามเนื้อได้พักผ่อน 1-2 วัน

ออกกำลังกายเมื่อไหร่? เวลาไหนดีที่สุด?

ไม่มีเวลาที่ตายตัวว่าต้องออกกำลังกายเมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับความสะดวกและแผนการรักษาของคุณ แต่มีข้อแนะนำดังนี้ [3, 5]:

  • หลังมื้ออาหาร: การเดินเร็วหลังอาหารประมาณ 10-15 นาที สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดที่ขึ้นสูงหลังมื้ออาหารได้ดี
  • ช่วงเวลาที่สะดวกและทำได้สม่ำเสมอ: ความสม่ำเสมอสำคัญกว่าช่วงเวลาที่เป๊ะที่สุด เลือกเวลาที่คุณสามารถทำได้เป็นประจำทุกวันหรือเกือบทุกวัน
  • ไม่ควรออกกำลังกายเมื่อน้ำตาลต่ำเกินไป (น้อยกว่า 100 mg/dL): อาจเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลต่ำ ควรหาคาร์โบไฮเดรตเล็กน้อยก่อนออกกำลังกาย
  • ไม่ควรออกกำลังกายเมื่อน้ำตาลสูงเกินไป (มากกว่า 250 mg/dL และมีคีโตน): หากน้ำตาลสูงมาก และมีคีโตนในปัสสาวะ (ตรวจได้ด้วยแถบตรวจคีโตน) การออกกำลังกายอาจทำให้อาการแย่ลง ควรรอให้น้ำตาลลดลงก่อน

ข้อควรระวังและสิ่งสำคัญที่ต้องทำก่อนเริ่มออกกำลังกาย

แม้การออกกำลังกายจะมีประโยชน์ แต่ผู้ป่วยเบาหวานควรคำนึงถึงข้อควรระวังเพื่อความปลอดภัย

  • ปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่ม: โดยเฉพาะหากคุณมีภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจ โรคไต เบาหวานขึ้นตา หรือปลายประสาทเสื่อม เพื่อให้แพทย์ประเมินความพร้อมและให้คำแนะนำที่เหมาะสม
  • ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดก่อนและหลังออกกำลังกาย: เพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลต่ำหรือสูงเกินไป
  • สวมรองเท้าที่เหมาะสม: เลือกใช้รองเท้าสำหรับออกกำลังกายที่ใส่สบาย เพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่เท้า
  • จิบน้ำสม่ำเสมอ: ป้องกันภาวะขาดน้ำ
  • พกของว่างแก้ภาวะน้ำตาลต่ำ: เช่น ลูกอม กลูโคสเจล หรือน้ำผลไม้เล็กน้อย ติดตัวไว้เสมอ หากรู้สึกมีอาการน้ำตาลต่ำ (เช่น ใจสั่น เหงื่อออก วิงเวียน) ให้รีบกินทันที
  • เริ่มจากเบาๆ ค่อยๆ เพิ่ม: ไม่ควรหักโหมในตอนแรก ค่อยๆ เพิ่มความเข้มข้นและระยะเวลาการออกกำลังกาย

สรุป: ออกกำลังกายคือยาวิเศษที่สร้างได้ด้วยตัวเอง

การ ออกกำลังกายพิชิตเบาหวาน ไม่ได้เป็นเพียงกิจกรรม แต่คือ “ยาวิเศษ” ที่คุณสามารถสร้างขึ้นเองได้ การเคลื่อนไหวร่างกายอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณ ควบคุมน้ำตาลได้ผล ลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อน และมีพลังงานในการใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่ หากคุณกำลังมองหาวิธีที่จะจัดการเบาหวานให้ดีขึ้น การลุกขึ้นมาออกกำลังกายคือคำตอบที่คุณไม่ควรมองข้ามครับ


แหล่งข้อมูลอ้างอิง:

  1. American Diabetes Association. (n.d.). Physical Activity. Retrieved from https://diabetes.org/healthy-living/fitness
  2. National Institute of Diabetes and Digestive and Kidney Diseases (NIDDK). (n.d.). Diabetes Diet, Eating, & Physical Activity. Retrieved from https://www.niddk.nih.gov/health-information/diabetes/overview/diet-eating-physical-activity
  3. Mayo Clinic. (2024, May 09). Diabetes management: How exercise affects blood glucose. Retrieved from https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/diabetes/in-depth/diabetes-and-exercise/art-20045697
  4. สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ. (น.ด.). การออกกำลังกายในผู้ป่วยเบาหวาน. เข้าถึงได้จาก: https://www.dmthai.org/attachments/article/409/Exercise%20in%20DM.pdf
  5. Centers for Disease Control and Prevention (CDC). (2023, April 20). Physical Activity and Diabetes. Retrieved from https://www.cdc.gov/diabetes/managing/active.html

เรียบเรียงข้อมูลโดย  www.chulalakpharmacy.com

แชร์

ยังไม่มีบัญชี