เคสไหนที่ ฟิแนสเทอไรด์ (Finasteride) อาจไม่ได้ผล?

ฟิแนสเทอไรด์ (Finasteride) เป็นยาที่ได้รับการยอมรับและมีประสิทธิภาพสูงในการรักษาภาวะผมร่วงผมบางจากพันธุกรรมในผู้ชาย (Androgenetic Alopecia) โดยมีอัตราความสำเร็จในการหยุดผมร่วงและกระตุ้นการงอกใหม่สูงถึง 83-90% ในระยะ 2 ปี [1, 2] อย่างไรก็ตาม ไม่มีวิธีการรักษาใดที่ได้ผล 100% กับทุกคน และยา ฟิแนสเทอไรด์ ก็เช่นกัน มีบางกรณีที่ยาอาจไม่ได้ผลตามที่คาดหวัง หรือไม่ได้ผลเลย

กรณีที่ 1: ชนิดของผมร่วงไม่ใช่จากพันธุกรรม (Wrong Type of Hair Loss)

ฟิแนสเทอไรด์ ออกฤทธิ์โดยการลดระดับฮอร์โมน DHT (Dihydrotestosterone) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของภาวะผมร่วงผมบางจากพันธุกรรมในผู้ชายโดยเฉพาะ [3] หากสาเหตุของผมร่วงของคุณไม่ได้เกิดจากอิทธิพลของฮอร์โมน DHT ยา ฟิแนสเทอไรด์ ก็จะไม่ได้ผล เช่น: [1, 2]

  • Telogen Effluvium (ภาวะผมร่วงเฉียบพลันจากความเครียด/การเจ็บป่วย): เป็นภาวะผมร่วงที่เกิดจากความเครียดทางร่างกายหรือจิตใจ, การเจ็บป่วย, การผ่าตัด, การใช้ยาบางชนิด, การคลอดบุตร, หรือการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอย่างรวดเร็ว (เช่น ภาวะไทรอยด์ผิดปกติ) ภาวะเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ DHT โดยตรง ดังนั้น ฟิแนสเทอไรด์ จึงไม่สามารถรักษาได้ [1]
  • Alopecia Areata (ผมร่วงเป็นหย่อม): เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไปโจมตีรูขุมขน ทำให้ผมร่วงเป็นหย่อมๆ ไม่เกี่ยวข้องกับ DHT [2]
  • Hair Loss from Medical Conditions/Medications: ผมร่วงที่เกิดจากโรคทางกายภาพ (เช่น โรคโลหิตจาง, การขาดสารอาหาร), การติดเชื้อราบนหนังศีรษะ, หรือผลข้างเคียงจากยาเคมีบำบัด ก็ไม่ตอบสนองต่อ ฟิแนสเทอไรด์ [1]
  • Traction Alopecia (ผมร่วงจากการดึงรั้ง): เกิดจากการดึงรั้งเส้นผมเป็นเวลานาน เช่น การถักเปียแน่นๆ หรือการมัดผมตึงๆ

คำแนะนำ: การวินิจฉัยสาเหตุของผมร่วงอย่างถูกต้องโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ (แพทย์ผิวหนังหรือแพทย์ด้านเส้นผม) เป็นสิ่งสำคัญที่สุดก่อนเริ่มการรักษาใดๆ

กรณีที่ 2: ผมร่วงรุนแรงหรือล้านจนรูขุมขนตายไปแล้ว (Too Extensive Hair Loss / Dead Follicles)

ฟิแนสเทอไรด์ ทำงานโดยการฟื้นฟูรูขุมขนที่ยังมีชีวิตอยู่แต่กำลังฝ่อจากอิทธิพลของ DHT หากอาการผมร่วงลุกลามจนถึงขั้นที่: [1, 2, 4]

  • รูขุมขนตายไปแล้วอย่างสมบูรณ์ (Completely Dead Hair Follicles): คือไม่มีแม้แต่ไรผมเล็กๆ หรือขนอ่อน (Vellus Hair) เหลืออยู่เลยในบริเวณนั้น รูขุมขนนั้นได้ฝ่อและถูกแทนที่ด้วยพังผืดไปแล้ว ฟิแนสเทอไรด์ จะไม่สามารถกระตุ้นให้เส้นผมงอกขึ้นมาใหม่ได้
  • ศีรษะล้านอย่างสมบูรณ์: ในผู้ชายที่มีภาวะศีรษะล้านในระดับที่รุนแรงมาก หรือล้านมาเป็นเวลานาน (เช่น ระดับ 6-7 ตาม Norwood Scale) โอกาสที่ยาจะกระตุ้นการงอกของผมใหม่ในบริเวณที่ล้านเลี่ยนนั้นมีน้อยมาก หรือแทบไม่มีเลย [2]

คำแนะนำ: ฟิแนสเทอไรด์ ได้ผลดีที่สุดเมื่อใช้ในระยะเริ่มต้นถึงปานกลางของอาการผมร่วง [2, 4] หากผมร่วงรุนแรงมากแล้ว การรักษาด้วยยาอาจทำได้เพียงแค่คงสภาพเส้นผมที่เหลืออยู่ หรือชะลอการร่วงเพิ่มเติมเท่านั้น และอาจต้องพิจารณาทางเลือกอื่น ๆ เช่น การปลูกผมร่วมด้วย

กรณีที่ 3: ใช้ยาไม่สม่ำเสมอ หรือระยะเวลาไม่เพียงพอ (Inconsistent Use / Not Long Enough)

  • ไม่สม่ำเสมอ: ฟิแนสเทอไรด์ เป็นยาที่ต้องกินทุกวันอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ระดับยาในร่างกายคงที่และสามารถยับยั้ง DHT ได้อย่างต่อเนื่อง [2] หากกินๆ หยุดๆ หรือลืมกินบ่อยๆ ประสิทธิภาพของยาก็จะลดลงอย่างมาก
  • ใจร้อนเกินไป: การรักษาผมร่วงด้วย ฟิแนสเทอไรด์ ต้องใช้ความอดทน [1] ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเริ่มเห็นผลชัดเจนที่ 6-12 เดือน และผลลัพธ์จะคงที่และเห็นชัดเจนที่สุดหลังจาก 1 ปี [4] หากหยุดใช้ยาเร็วเกินไปเพราะยังไม่เห็นผล ก็อาจพลาดโอกาสที่จะเห็นประสิทธิภาพของยา [1]

คำแนะนำ: ควรใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และให้เวลาอย่างน้อย 12 เดือนในการประเมินผล

กรณีที่ 4: การตอบสนองของแต่ละบุคคล (Individual Non-responders)

แม้ว่า ฟิแนสเทอไรด์ จะมีประสิทธิภาพสูงในคนส่วนใหญ่ แต่ก็มีผู้ป่วยบางรายที่อาจตอบสนองต่อยาได้ไม่ดีเท่าที่ควร หรือแทบไม่ตอบสนองเลย (Non-responders) ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากปัจจัยทางพันธุกรรมหรือความแตกต่างทางชีวภาพของแต่ละบุคคลที่ยังไม่เป็นที่เข้าใจทั้งหมด [4]

คำแนะนำ: หากใช้ยาอย่างสม่ำเสมอครบ 1 ปีแล้วยังไม่เห็นผล แพทย์อาจพิจารณา:

  • ปรับเปลี่ยนไปใช้ยาอื่นที่มีกลไกคล้ายกันแต่มีฤทธิ์แรงกว่า เช่น ดูทาสเตอไรด์ (Dutasteride) ซึ่งยับยั้งเอนไซม์ 5-alpha reductase ได้ทั้งชนิดที่ 1 และ 2 ทำให้ลด DHT ได้มากกว่า แต่ก็อาจมีผลข้างเคียงที่สูงกว่าเช่นกัน (ยานี้ไม่ได้ถูกรับรองจาก FDA สำหรับผมร่วงโดยตรงในทุกประเทศ) [4]
  • เพิ่มการรักษาด้วย ไมนอกซิดิล (Minoxidil) ชนิดทา หรือชนิดกิน (ภายใต้การดูแลของแพทย์) เพื่อเสริมฤทธิ์ [2]
  • พิจารณาทางเลือกการรักษาอื่น ๆ เช่น การทำ PRP (Platelet-Rich Plasma) หรือการปลูกผม

สรุป:ฟิแนสเทอไรด์ (Finasteride) เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาภาวะผมร่วงผมบางจากพันธุกรรมในผู้ชาย แต่ก็มีบางกรณีที่ยาอาจไม่ได้ผลตามที่คาดหวัง สาเหตุหลักมักมาจากการวินิจฉัยที่คลาดเคลื่อน (ไม่ใช่ผมร่วงจาก DHT), ภาวะผมร่วงที่รุนแรงเกินไปจนรูขุมขนตาย, การใช้ยาไม่สม่ำเสมอหรือใช้ไม่นานพอ, หรือการตอบสนองของร่างกายแต่ละบุคคลที่ไม่ดีเท่าที่ควร สิ่งสำคัญที่สุดคือการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผมตั้งแต่แรกเริ่ม เพื่อวินิจฉัยที่ถูกต้อง วางแผนการรักษาที่เหมาะสม และติดตามผลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการดูแลเส้นผมของคุณ

คำแนะนำและข้อควรทราบที่สำคัญ: บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับกรณีที่ยา ฟิแนสเทอไรด์ (Finasteride) อาจไม่ได้ผลตามที่คาดหวังเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์เพื่อวินิจฉัย บำบัดรักษา หรือป้องกันโรค และไม่สามารถใช้ทดแทนคำแนะนำจากแพทย์ เภสัชกร หรือบุคลากรทางการแพทย์มืออาชีพได้ ยาฟิแนสเทอไรด์เป็นยาที่ต้องใช้ภายใต้ใบสั่งแพทย์เท่านั้น หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับยา อาการเจ็บป่วย หรือต้องการคำแนะนำในการใช้ยาที่เหมาะสมกับสภาวะสุขภาพของคุณ ควรปรึกษาแพทย์ผู้รักษาเท่านั้น


ข้อมูลอ้างอิง

  1. Numan. (n.d.). When is it too late to take finasteride?. Retrieved from https://www.numan.com/hair-loss/treatment/when-is-it-too-late-to-take-finasteride
  2. Wimpole Clinic. (n.d.). Why Isn’t Finasteride Working For My Hair Loss?. Retrieved from https://wimpoleclinic.com/blog/why-isnt-finasteride-working-for-my-hair-loss/
  3. Hims. (n.d.). How Does Finasteride Work?. Retrieved from https://www.hims.com/blog/how-does-finasteride-work
  4. Bernstein Medical Center for Hair Restoration. (n.d.). Propecia Non-responder. Retrieved from https://www.bernsteinmedical.com/tag/propecia-non-responder/
  5. Absolute Hair Clinic. (n.d.). ยา Finasteride รักษาผมร่วง มีผลข้างเคียงอย่างไร เหมาะกับใครบ้าง?. Retrieved from https://absolutehairclinic.com/finasteride-for-hair-loss/


เรียบเรียงโดย (Compiled by)  : www.chulalakpharmacy.com

แชร์

ยังไม่มีบัญชี