เบาหวานชนิดที่ 1 vs ชนิดที่ 2: ความแตกต่างที่สำคัญและแนวทางการรักษา

ยังสับสนอยู่ใช่ไหม? มาทำความเข้าใจความแตกต่างของ เบาหวานชนิดที่ 1 vs ชนิดที่ 2 ทั้งสาเหตุ อาการ และ แนวทางการรักษา ที่แตกต่างกัน เพื่อให้คุณดูแลตัวเองได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

เบาหวานชนิดที่ 1 vs ชนิดที่ 2: ความแตกต่างที่สำคัญและแนวทางการรักษาที่คุณต้องรู้

เมื่อพูดถึง โรคเบาหวาน หลายคนอาจคิดว่าเป็นโรคเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว โรคเบาหวานมีหลายชนิด และสองชนิดหลักที่พบบ่อยที่สุดคือ เบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes) และ เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes) แม้ทั้งสองชนิดจะส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเหมือนกัน แต่สาเหตุ กลไกการเกิดโรค อาการ และ แนวทางการรักษา กลับมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การทำความเข้าใจความแตกต่างนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่เหมาะสมที่สุด

เบาหวานชนิดที่ 1 vs ชนิดที่ 2: ตารางเปรียบเทียบความแตกต่าง

มาดูความแตกต่างที่สำคัญของเบาหวานทั้งสองชนิด เพื่อให้คุณเข้าใจง่ายขึ้น:

คุณสมบัติเบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes)เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes)
สาเหตุหลักระบบภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์เบต้าในตับอ่อน (เซลล์ที่ผลิตอินซูลิน) ทำให้ขาดอินซูลินโดยสิ้นเชิง [1, 2]ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน และ/หรือ ตับอ่อนผลิตอินซูลินได้ไม่เพียงพอ [1, 2]
ปัจจัยเสี่ยงพันธุกรรม, ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม (ไม่เกี่ยวกับวิถีชีวิต)พันธุกรรม, วิถีชีวิต (น้ำหนักเกิน/อ้วน, ไม่ออกกำลังกาย, อาหาร), อายุ, เชื้อชาติ [1, 3]
ช่วงอายุที่พบมักพบในเด็ก วัยรุ่น หรือผู้ใหญ่ตอนต้น (แต่อาจเกิดได้ทุกวัย)มักพบในผู้ใหญ่ แต่พบได้เพิ่มขึ้นในเด็กและวัยรุ่น [1, 3]
การดำเนินโรคเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเฉียบพลันค่อยๆ พัฒนาอย่างช้าๆ อาจไม่แสดงอาการนานหลายปี
อาการเริ่มต้นมักจะรุนแรงและชัดเจน เช่น ปัสสาวะบ่อย, กระหายน้ำมาก, น้ำหนักลดฮวบ, อ่อนเพลียรุนแรงอาจไม่มีอาการ หรือมีอาการเล็กน้อยที่ถูกมองข้าม [4]
การผลิตอินซูลินตับอ่อนไม่ผลิตอินซูลินเลย หรือผลิตได้น้อยมากตับอ่อนยังผลิตอินซูลินได้ แต่อาจไม่เพียงพอ หรือร่างกายนำไปใช้ไม่ได้ [1]
แนวทางการรักษาหลักต้องฉีดอินซูลินทดแทนตลอดชีวิต ควบคู่กับการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย [1]เริ่มจากปรับพฤติกรรม (อาหาร, ออกกำลังกาย), หากไม่ดีขึ้น แพทย์จะพิจารณาให้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือดชนิดรับประทาน และอาจต้องฉีดอินซูลินในบางกรณี [1, 5]
การป้องกันป้องกันไม่ได้ในปัจจุบันสามารถป้องกันหรือชะลอได้ด้วยการปรับพฤติกรรม [3]

เจาะลึกแต่ละชนิด: สาเหตุและแนวทางการรักษา เบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes): โรคแพ้ภูมิตัวเอง

  • สาเหตุ: ไม่ได้เกิดจากการกินน้ำตาลมากเกินไป แต่เป็นภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (ซึ่งมีหน้าที่ปกป้องร่างกายจากเชื้อโรค) กลับหันมาทำลายเซลล์เบต้าในตับอ่อน ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่ผลิตอินซูลิน ทำให้ร่างกายขาดอินซูลินโดยสิ้นเชิง [1]

  • การรักษา: เนื่องจากร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เอง ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 จึง จำเป็นต้องฉีดอินซูลินเข้าสู่ร่างกายตลอดชีวิต เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ นอกจากนี้ การควบคุมอาหารและการออกกำลังกายก็ยังคงมีความสำคัญ [1]

เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes): ความดื้ออินซูลินและวิถีชีวิต

  • สาเหตุ: เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด (ประมาณ 90-95% ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด) [1] สาเหตุหลักคือ ภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งหมายความว่าเซลล์ในร่างกายไม่ตอบสนองต่ออินซูลินได้ดีเท่าที่ควร ทำให้ตับอ่อนต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อผลิตอินซูลินมาชดเชย และเมื่อตับอ่อนทำงานหนักไปนานๆ ก็จะเริ่มผลิตอินซูลินได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในที่สุด [2]
  • ปัจจัยเสี่ยง: มีความเกี่ยวข้องอย่างมากกับพันธุกรรม น้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน การไม่ออกกำลังกาย และวิถีชีวิตที่ไม่เหมาะสม [3]
  • การรักษา: ในระยะแรก สามารถเริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเข้มงวด ทั้งการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หากยังไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ แพทย์จะพิจารณา ให้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือดชนิดรับประทาน ซึ่งมีหลายกลุ่มออกฤทธิ์แตกต่างกันไป ในบางกรณีที่ตับอ่อนเสื่อมมาก หรือยาชนิดรับประทานไม่ได้ผล แพทย์อาจพิจารณาให้ฉีดอินซูลินร่วมด้วย [5]

สรุป: เข้าใจความแตกต่าง เพื่อการดูแลที่ถูกต้องและเหมาะสม

ไม่ว่าจะเป็น เบาหวานชนิดที่ 1 หรือชนิดที่ 2 การทำความเข้าใจความแตกต่างของสาเหตุและแนวทางการรักษา จะช่วยให้ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถดูแลตนเองได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากที่สุด สิ่งสำคัญคือการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อรับการวินิจฉัยที่แม่นยำ และวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับชนิดและระยะของโรคของคุณ ซึ่งอาจรวมถึงการใช้ยาที่จำเป็น เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันภาวะแทรกซ้อน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว


แหล่งข้อมูลอ้างอิง:

  1. American Diabetes Association. (n.d.). Types of Diabetes. Retrieved from https://diabetes.org/diabetes/type-1-diabetes & https://diabetes.org/diabetes/type-2-diabetes
  2. Mayo Clinic. (2024, May 09). Diabetes. Retrieved from https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/diabetes/symptoms-causes/syc-20371444
  3. Centers for Disease Control and Prevention (CDC). (2023, April 20). Type 2 Diabetes. Retrieved from https://www.cdc.gov/diabetes/basics/type2.html
  4. สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ. (น.ด.). อาการของโรคเบาหวาน. เข้าถึงได้จาก: https://www.dmthai.org/attachments/article/409/Symptoms%20of%20Diabetes_V2.pdf
  5. National Institute of Diabetes and Digestive and Kidney Diseases (NIDDK). (n.d.). Type 2 Diabetes: Symptoms, Causes, & Treatment. Retrieved from https://www.niddk.nih.gov/health-information/diabetes/overview/what-is-diabetes/type-2-diabetes

เรียบเรียงข้อมูลโดย  www.chulalakpharmacy.com

แชร์

ยังไม่มีบัญชี