เริมคืออะไร? รู้ทันโรคไวรัส HSV ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อ

โรคเริมคืออะไร?
โรคเริม (Herpes) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสกลุ่ม Herpes Simplex Virus (HSV) แบ่งเป็น 2 ชนิดหลัก:

• HSV-1 มักทำให้เกิดเริมที่ปาก ริมฝีปาก หรือใบหน้า
• HSV-2 มักเกี่ยวข้องกับเริมที่อวัยวะเพศ

เชื้อไวรัสสามารถแพร่สลับบริเวณได้ เช่น HSV-1 อาจพบที่อวัยวะเพศได้หากมีเพศสัมพันธ์ทางปาก

อ่านเพิ่มเติม: เริมที่ปากเกิดจากอะไร? สาเหตุ อาการ และวิธีดูแลตนเอง

เริมติดต่อได้อย่างไร?

เริมเป็นโรคติดต่อที่แพร่เชื้อได้ง่ายมาก โดยเฉพาะในช่วงที่มีอาการหรือแผลชัดเจน:

• การสัมผัสโดยตรงกับแผลหรือตุ่มน้ำของผู้ติดเชื้อ
• การจูบ ใช้ของร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ หลอด ผ้าเช็ดหน้า
• การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่มีการป้องกัน
• การคลอดจากแม่สู่ลูก

ผู้ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อได้ แม้ไม่มีอาการแสดง

อ่านเพิ่มเติม: เริมติดต่อทางไหนบ้าง? เข้าใจความเสี่ยงแบบละเอียด

อาการของโรคเริม
อ่านเพิ่มเติม: วิธีดูว่าเป็นเริมหรือไม่? สังเกตอาการตั้งแต่ระยะแรก
อาการของโรคเริมขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ติดเชื้อและร่างกายของแต่ละบุคคล:

• แสบ คัน เจ็บบริเวณที่ติดเชื้อ
• เกิดตุ่มน้ำใสเล็ก ๆ เรียงกันเป็นกลุ่ม
• ตุ่มจะแตกออกเป็นแผล และกลายเป็นสะเก็ด
• อาจมีไข้ ปวดเมื่อย ต่อมน้ำเหลืองโต

ระยะฟักตัว: ประมาณ 2–12 วัน
ภาวะกำเริบซ้ำ: พบได้เมื่อร่างกายอ่อนแอ เครียด หรือพักผ่อนไม่พอ

วิธีรักษาโรคเริม

ยาต้านไวรัสที่ใช้บ่อย ได้แก่:

• Acyclovir
• Valacyclovir
• Famciclovir

ยาเหล่านี้ไม่สามารถกำจัดไวรัสได้หมด แต่ช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส ลดระยะเวลาอาการ และลดการแพร่เชื้อ  อ่านเพิ่มเติม: ยาต้านไวรัสสำหรับโรคเริม: acyclovir, valacyclovir, famciclovir ต่างกันอย่างไร

การดูแลตนเอง:

• รักษาความสะอาดบริเวณแผล
• งดการสัมผัสหรือแกะตุ่มน้ำ
• หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างมีอาการ
• ดื่มน้ำมาก พักผ่อนเพียงพอ

อาหารเสริมที่ช่วยสนับสนุนการฟื้นตัว
อ่านเพิ่มเติม: อาหารเสริมที่ช่วยฟื้นตัวจากเริม: Lysine, Zinc, Vitamin C

• L-Lysine: มีข้อมูลว่าช่วยลดการกำเริบ
• Vitamin C, Zinc: เสริมระบบภูมิคุ้มกัน
• Probiotics: ช่วยปรับสมดุลลำไส้และภูมิคุ้มกัน

 ควรพบแพทย์เมื่อไร?

• มีอาการครั้งแรก และไม่แน่ใจว่าใช่เริมหรือไม่
• แผลรุนแรง ลุกลาม หรือเจ็บมาก
• กำเริบบ่อยในช่วงเวลาสั้น
• หญิงตั้งครรภ์ที่สงสัยว่าเป็นเริมควรพบแพทย์ทันที

ข้อมูลอ้างอิง (References):

1. CDC. Genital Herpes – STD Facts. cdc.gov
2. Mayo Clinic. Cold sores (oral herpes). mayoclinic.org
3. WHO. Herpes simplex virus. who.int
4. Healthline. Lysine for Cold Sores: Does It Work? healthline.com

เรียบเรียงข้อมูลโดย  www.chulalakpharmacy.com