โรคเริม (Herpes Simplex Virus: HSV) เป็นภาวะติดเชื้อไวรัสที่พบได้บ่อยในเด็กเล็ก แม้จะฟังดูน่ากังวล แต่หากได้รับการวินิจฉัยและดูแลอย่างถูกต้อง โรคนี้สามารถควบคุมและรักษาได้อย่างปลอดภัย
โรคเริมในเด็กคืออะไร?
โรคเริมเกิดจากเชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus (HSV) ซึ่งมี 2 ชนิดหลัก คือ
- HSV-1 มักทำให้เกิดเริมบริเวณปากและใบหน้า
- HSV-2 พบได้น้อยในเด็ก มักเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ แต่สามารถเกิดจากการถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกระหว่างคลอดได้เช่นกัน
เด็กส่วนใหญ่มักติดเชื้อ HSV-1 ผ่านการสัมผัสน้ำลายหรือผิวหนังของผู้ติดเชื้อ
สาเหตุของโรคเริมในเด็ก
โรคเริมแพร่กระจายได้ผ่าน:
- การจูบหรือใช้ภาชนะร่วมกับผู้ติดเชื้อ
- การสัมผัสของเล่นหรือของใช้ที่มีเชื้อไวรัส
- การติดเชื้อจากแม่ขณะคลอด (กรณี HSV-2)
เด็กเล็กที่ระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่เต็มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อและมีอาการรุนแรงมากกว่าผู้ใหญ่
อาการของโรคเริมในเด็ก
อาการของโรคเริมในเด็กอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ติดเชื้อ แต่โดยทั่วไปมักพบ:
- ตุ่มใสหรือแผลบริเวณริมฝีปาก แก้ม เหงือก หรือภายในปาก
- อาการเจ็บแสบหรือปวดบริเวณแผล
- มีไข้ อ่อนเพลีย หรือเบื่ออาหาร
- ต่อมน้ำเหลืองโตบริเวณคอหรือหลังใบหู
- อาจมีน้ำลายมากกว่าปกติ
อาการมักเกิดขึ้นในช่วง 2–12 วันหลังติดเชื้อ และอาจอยู่ได้นาน 1–2 สัปดาห์
การป้องกันโรคเริมในเด็ก
แม้จะไม่สามารถป้องกันได้ 100% แต่เราสามารถลดความเสี่ยงได้โดย:
- หลีกเลี่ยงการให้เด็กสัมผัสกับผู้มีแผลเริม
- ไม่ใช้ภาชนะ ผ้าเช็ดตัว หรือของใช้ส่วนตัวร่วมกัน
- สอนให้เด็กล้างมือบ่อย ๆ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหาร
- หากผู้ใหญ่มีแผลเริม ควรหลีกเลี่ยงการจูบเด็กหรือใกล้ชิดเกินไป
การรักษาโรคเริมในเด็ก
- อาการส่วนใหญ่มักหายได้เองภายใน 7–14 วัน
- แพทย์อาจให้ยาต้านไวรัส เช่น Acyclovir เพื่อลดความรุนแรงและระยะเวลาของโรค
- ยาแก้ปวดหรือยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล สามารถช่วยบรรเทาอาการไม่สบาย
- ให้เด็กดื่มน้ำมาก ๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ
- หลีกเลี่ยงการแกะแผลเริม เพราะอาจทำให้เชื้อแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ
คำแนะนำสำหรับพ่อแม่
- หากลูกมีอาการต้องสงสัยว่าเป็นเริม ควรรีบพาไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัย
- หมั่นสังเกตอาการ โดยเฉพาะหากมีไข้สูง ซึม หรือกินอาหารไม่ได้
- หลีกเลี่ยงการส่งลูกไปสถานรับเลี้ยงหรือโรงเรียนจนกว่าแผลจะหายดี เพื่อป้องกันการแพร่กระจาย
สรุป
โรคเริมในเด็กเป็นภาวะที่พบได้บ่อย และมักไม่รุนแรงหากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม การรู้เท่าทันเกี่ยวกับสาเหตุ อาการ การป้องกัน และแนวทางรักษาจะช่วยให้พ่อแม่สามารถดูแลลูกน้อยได้อย่างมั่นใจ และลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. StatPearls (ผ่าน NCBI Bookshelf)
- Herpetic Gingivostomatitis อธิบายอาการเริมในช่องปาก–เหงือกที่พบในเด็ก (6 เดือน–5 ปี) โดยเน้นอาการสำคัญ เช่น ไข้สูง แผลในปาก และแนวทางดูแล เช่น การให้การบรรเทาอาการ ปริมาณน้ำ และการประสานกับทีมแพทย์ ncbi.nlm.nih.gov+1en.wikipedia.org+1
- Congenital HSV ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการวินิจฉัยและให้ยา acyclovir เมื่อทารกติดเชื้อ HSV โดยตรงจากแม่ รวมถึงแนวทางยืดระยะการรักษาเพื่อป้องกันการกลับมา
2. Medscape / eMedicine
- บทความ “Pediatric Herpes Simplex Virus Infection” ระบุสถิติโรค เช่น การติดเชื้อ HSV-1 จากน้ำลายในเด็ก และสาเหตุร่วมถึงวิธีการแพร่เชื้อ emedicine.medscape.com
3. Boston Children’s Hospital
- ให้ข้อมูลระดับลึกเกี่ยวกับ Herpes Simplex Encephalitis (การอักเสบของสมอง) จาก HSV-1/2 ในเด็ก เน้นความสำคัญในการวินิจฉัยและการรักษาแบบฉุกเฉิน
เรียบเรียงข้อมูลโดย www.chulalakpharmacy.com