กลาก (Ringworm) เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อราในกลุ่มเดอร์มาโตไฟต์ (Dermatophytes) ซึ่งไม่ได้อันตรายถึงชีวิต แต่เป็นโรคที่รักษาได้ด้วยยาต้านเชื้อรา แต่มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้สูงหากไม่รักษาความสะอาดอย่างเคร่งครัด
คำนิยาม: กลากคือการติดเชื้อราที่ผิวหนังชั้นนอก มีลักษณะเป็นผื่นแดงขอบเขตชัดเจน ยกนูนเป็นวงคล้ายวงแหวน มีอาการคันมาก การรักษาที่ถูกต้อง คือการใช้ยาต้านเชื้อราชนิดทาต่อเนื่องอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ แม้ว่าผื่นจะหายไปแล้วก็ตาม


กลไกการออกฤทธิ์และการเกิดโรค (Mechanism of Action through Behavior)
โรคกลากเกิดจากการที่เชื้อราเจริญเติบโตในชั้นนอกของผิวหนัง โดยเชื้อราจะย่อยสลายเคราติน ซึ่งเป็นโปรตีนหลักของผิวหนัง การที่ผิวหนังมีความชื้นสูง ความอับชื้น และการสัมผัสโดยตรงกับเชื้อจากสิ่งแวดล้อมหรือผู้ติดเชื้อ จะกระตุ้นให้เชื้อราเข้าสู่ผิวหนังและเริ่มสร้างปฏิกิริยาการอักเสบ ซึ่งทำให้เกิดผื่นคันเป็นวง
5 ขั้นตอนง่าย ๆ ในการดูแลตนเองขณะรักษาโรคกลาก
- ทายาต้านเชื้อราต่อเนื่อง: ทายาให้ครอบคลุมบริเวณผื่นและขอบออกไปอีก 2-3 เซนติเมตร อย่างน้อย 2 ครั้งต่อวัน และต้องทาต่ออย่างน้อย 1-2 สัปดาห์หลังจากผื่นหายสนิทแล้ว
- รักษาความแห้งของผิว: หลังอาบน้ำหรือมีเหงื่อออก ควรสับเปลี่ยนเสื้อผ้า และเช็ดผิวบริเวณที่เป็นผื่นให้แห้งทันทีด้วยผ้าสะอาด
- แยกของใช้ส่วนตัว: ห้ามใช้ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า หรือของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่นเด็ดขาด เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
- ต้มหรือซักผ้าที่อุณหภูมิสูง: เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว และเครื่องนอนที่สัมผัสกับผื่นควรนำไปซักด้วยน้ำร้อน หรือนำไปตากแดดจัด เพื่อกำจัดสปอร์ของเชื้อรา
- หลีกเลี่ยงการเกา: การเกาจะทำให้เชื้อราแพร่กระจายไปส่วนอื่นของร่างกายได้ง่าย และทำให้ผิวหนังอักเสบจนติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้
อาหารเสริมที่ช่วยบำรุง ดูแล หรือป้องกัน
อาหารเสริมเหล่านี้มีบทบาทในการเสริมสร้างความแข็งแรงของผิวหนังและระบบภูมิคุ้มกันโดยรวม ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงในการกลับมาเป็นซ้ำได้
- โพรไบโอติก (Probiotics): ช่วยปรับสมดุลของเชื้อจุลินทรีย์ในร่างกาย ซึ่งมีส่วนช่วยสนับสนุนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และอาจลดโอกาสการเติบโตของเชื้อรา
- วิตามินซี (Vitamin C): เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง และช่วยในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อผิวหนังที่เสียหาย
- ซิงค์ (Zinc): จำเป็นต่อการฟื้นฟูผิวหนังและการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน หากร่างกายได้รับซิงค์เพียงพอ จะช่วยให้ผิวหนังแข็งแรงขึ้น
ข้อควรระวังและคำแนะนำเพิ่มเติม
- การใช้ยาแบบรับประทาน: หากผื่นกลากเป็นบริเวณกว้าง, เป็นที่หนังศีรษะ (Tinea Capitis), หรือที่เล็บ แพทย์อาจจำเป็นต้องพิจารณาให้ยาต้านเชื้อราชนิดรับประทาน ซึ่งต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
- ห้ามใช้ยาที่มีสเตียรอยด์: ผื่นกลากบางครั้งมีลักษณะคล้ายผื่นแพ้ หากใช้ยาทาสเตียรอยด์ (มักมีคำว่า ครีม/ขี้ผึ้งลดคัน) จะทำให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ดีขึ้นและทำให้อาการแย่ลง
- รักษาสัตว์เลี้ยง: หากสงสัยว่าได้รับเชื้อจากสัตว์เลี้ยง (เช่น มีขนร่วงเป็นวง) ควรรีบพาสัตว์ไปรักษาเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ

“ข้อมูลในบทความนี้เป็นเพียงความรู้เบื้องต้น ไม่สามารถใช้ทดแทนการปรึกษาและวินิจฉัยจากแพทย์หรือเภสัชได้ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเมื่อใช้ยา หรือมีปัญหาสุขภาพ”
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
- สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย: ข้อมูลการวินิจฉัยและการรักษาโรคกลาก
- แนวทางการใช้ยาต้านเชื้อราในการรักษาโรคผิวหนังทั่วไป
- การดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อรา
เรียบเรียงโดย (Compiled by) : www.chulalakpharmacy.com






