โรคข้อเข่าเสื่อม: เมื่อหัวเข่าบอกลาความยืดหยุ่น ทำความเข้าใจ สาเหตุ การรักษา และการดูแลตัวเอง

เรียนรู้เกี่ยวกับโรคข้อเข่าเสื่อมอย่างละเอียด! ทำความเข้าใจสาเหตุ, สัญญาณเตือน, แนวทางการวินิจฉัย, นวัตกรรมการรักษาด้วยยาและเทคโนโลยีทางการแพทย์ พร้อมวิธีป้องกันและดูแลตัวเอง เพื่อยืดอายุการใช้งานข้อเข่าและกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติสุข





โรคข้อเข่าเสื่อมคืออะไร? เมื่อกระดูกอ่อนสึกหรอ

โรคข้อเข่าเสื่อม คือภาวะที่กระดูกอ่อนผิวข้อ (Cartilage) ที่หุ้มปลายกระดูกบริเวณข้อเข่าเกิดการสึกหรอ เสื่อมสภาพ และบางลงตามกาลเวลา ทำให้ความสามารถในการรับแรงกระแทกของข้อเข่าลดลง เมื่อกระดูกอ่อนสึกหรอมากเข้า กระดูกใต้กระดูกอ่อนจะเสียดสีกันโดยตรง ทำให้เกิดอาการปวด บวม ข้อฝืด และข้อยึด ส่งผลให้การเคลื่อนไหวของข้อเข่าลดลงและบั่นทอนคุณภาพชีวิตอย่างมาก

ภาวะนี้พบบ่อยในผู้สูงอายุ ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก ผู้ที่ใช้งานข้อเข่าหนักๆ หรือมีประวัติการบาดเจ็บที่ข้อเข่ามาก่อน แม้จะเป็นโรคที่เกิดจากการเสื่อมสภาพตามวัย แต่ด้วยความรู้ความเข้าใจและการดูแลที่ถูกต้อง เราสามารถชะลอการเสื่อมของข้อเข่าและจัดการกับอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ




1. สัญญาณเตือนของโรคข้อเข่าเสื่อม: สังเกตอาการก่อนสายเกินไป

ในระยะแรกของโรคข้อเข่าเสื่อม อาการอาจไม่รุนแรงนัก แต่เมื่อโรคดำเนินไป อาการจะชัดเจนขึ้นและส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน ลองสังเกตสัญญาณเหล่านี้:

  • ปวดเข่า: เป็นอาการหลัก โดยเฉพาะขณะเคลื่อนไหว เช่น เดิน, ขึ้น-ลงบันได, ยืน หรือนั่งยองๆ อาการปวดมักจะดีขึ้นเมื่อพัก และเป็นมากขึ้นเมื่อใช้งานหนัก อาการอาจรุนแรงขึ้นในตอนกลางคืนหรือในสภาพอากาศหนาวเย็น
  • ข้อฝืด หรือข้อยึด: รู้สึกตึงๆ หรือฝืดบริเวณข้อเข่า โดยเฉพาะเมื่อตื่นนอนตอนเช้า หรือเมื่อนั่งอยู่นานๆ อาการมักดีขึ้นหลังจากขยับเข่าไปมาสักครู่
  • มีเสียงดังในข้อเข่า: อาจได้ยินเสียงกรอบแกรบ ก๊อกแก๊ก หรือครืดคราดขณะงอหรือเหยียดเข่า
  • ข้อเข่าบวม: อาจเกิดจากการอักเสบของเยื่อหุ้มข้อ หรือมีน้ำในข้อเข่า
  • การเคลื่อนไหวลดลง: งอหรือเหยียดเข่าได้ไม่สุดเหมือนเดิม
  • กล้ามเนื้อต้นขาอ่อนแรง: เนื่องจากการหลีกเลี่ยงการใช้งานเข่า ทำให้กล้ามเนื้อรอบๆ ข้อเข่าอ่อนแรงลง
  • หัวเข่าผิดรูป: ในระยะรุนแรง ข้อเข่าอาจโก่งเข้าด้านใน หรือโก่งออกด้านนอก

หากคุณมีอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม




2. สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคข้อเข่าเสื่อม: ทำไมข้อเข่าถึงเสื่อม?

โรคข้อเข่าเสื่อมเกิดจากการรวมกันของหลายปัจจัย:

  • อายุ: เป็นปัจจัยสำคัญที่สุด เมื่ออายุมากขึ้น กระดูกอ่อนจะเสื่อมสภาพตามธรรมชาติ
  • น้ำหนักตัวเกิน หรือโรคอ้วน: น้ำหนักตัวที่มากเกินไปจะเพิ่มภาระและแรงกดทับบนข้อเข่า ทำให้กระดูกอ่อนสึกหรอเร็วกว่าปกติ
  • การใช้งานข้อเข่าหนักเกินไป: การออกกำลังกายที่ลงน้ำหนักเข่าซ้ำๆ หรือการทำงานที่ต้องยืน ยกของหนัก นั่งยองๆ คุกเข่าบ่อยๆ
  • การบาดเจ็บของข้อเข่า: เช่น การฉีกขาดของเส้นเอ็น เอ็นไขว้หน้า ข้อเข่าเคลื่อน หรือกระดูกหักบริเวณข้อเข่า ซึ่งอาจทำให้ข้อเข่าเสื่อมก่อนวัยอันควร
  • ความผิดปกติของโครงสร้างข้อเข่า: เช่น ขาโก่ง หรือเข่าแอ่นผิดปกติ ทำให้การลงน้ำหนักไม่สมดุล
  • พันธุกรรม: มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม
  • โรคประจำตัวบางชนิด: เช่น โรคเบาหวาน, โรคเกาต์, โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพของกระดูกอ่อน
  • เพศ: ผู้หญิงมีความเสี่ยงเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะหลังวัยหมดประจำเดือน





3. การวินิจฉัยโรคข้อเข่าเสื่อม: แพทย์ตรวจอย่างไร?

แพทย์จะวินิจฉัยโรคข้อเข่าเสื่อมโดยพิจารณาร่วมกันจาก:

  • การซักประวัติ: สอบถามอาการ, ระยะเวลาที่เป็น, ปัจจัยที่กระตุ้นให้ปวด, ประวัติการบาดเจ็บ หรือโรคประจำตัว
  • การตรวจร่างกาย: ตรวจดูการบวม, การกดเจ็บ, การเคลื่อนไหวของข้อเข่า, เสียงผิดปกติในข้อ, และความมั่นคงของข้อเข่า
  • การถ่ายภาพรังสี (X-ray): เป็นการตรวจที่สำคัญที่สุดในการวินิจฉัยโรคข้อเข่าเสื่อม แพทย์จะเห็นช่องว่างระหว่างข้อเข่าที่แคบลง, การเปลี่ยนแปลงของกระดูก, หรือการเกิดหินปูน (Bone spurs)
  • การตรวจอื่นๆ (ตามความเหมาะสม):
    • การตรวจเลือด: เพื่อแยกแยะจากโรคข้ออักเสบอื่นๆ เช่น โรคเกาต์ หรือรูมาตอยด์
    • การตรวจ MRI (Magnetic Resonance Imaging): อาจพิจารณาทำในบางกรณีที่ต้องการประเมินความเสียหายของกระดูกอ่อน, เส้นเอ็น, หรือหมอนรองกระดูกอย่างละเอียด





4. เภสัชจุลศาลและนวัตกรรมการแพทย์: ความหวังใหม่ในการรักษาข้อเข่าเสื่อม

ปัจจุบันมีแนวทางการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมที่หลากหลาย ตั้งแต่การดูแลตัวเอง การใช้ยา ไปจนถึงการผ่าตัด โดยแพทย์จะพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมกับความรุนแรงของโรคและสภาพของผู้ป่วยแต่ละราย

4.1 ยาที่ใช้รักษาอาการข้อเข่าเสื่อม

การใช้ยาควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์และเภสัชกร เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

  • ยาบรรเทาอาการปวดและลดอักเสบ:
    • ยาพาราเซตามอล (Paracetamol): ใช้บรรเทาอาการปวดในระยะแรก หรืออาการไม่รุนแรง
    • ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-Steroidal Anti-Inflammatory Drugs – NSAIDs): เช่น Ibuprofen, Naproxen, Celecoxib ใช้ลดอาการปวดและอักเสบ ข้อควรระวังคืออาจมีผลข้างเคียงต่อกระเพาะอาหารและไตได้ โดยเฉพาะเมื่อใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน
      • ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: Arcoxia, Celebrex, Nurofen
    • ยาทาแก้ปวดลดอักเสบ (Topical NSAIDs): เช่น Diclofenac gel, Ketoprofen gel ใช้ทาเฉพาะที่ เพื่อลดผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหาร
      • ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: Voltaren Emulgel, Counterpain Cool/Hot

  • ยาฉีดเข้าข้อเข่า:
    • สเตียรอยด์ (Corticosteroids): ฉีดเพื่อลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวดอย่างรวดเร็ว แต่ผลมักอยู่ได้จำกัดและไม่ควรฉีดบ่อยเกินไป
    • กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid): เป็นสารหล่อลื่นและดูดซับแรงกระแทกในข้อเข่า ฉีดเพื่อช่วยเพิ่มความหนืดของน้ำไขข้อ ลดการเสียดสี และบรรเทาอาการปวด
      • ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: Synvisc, Durolane, Hyalgan

  • ยาบำรุงกระดูกอ่อน/อาหารเสริม:
    • กลูโคซามีนซัลเฟต (Glucosamine Sulfate) และ คอนดรอยตินซัลเฟต (Chondroitin Sulfate): เชื่อว่าอาจช่วยชะลอการเสื่อมของกระดูกอ่อนและลดอาการปวดได้ในบางราย แต่ผลการศึกษายังแตกต่างกัน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
      • ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: Dona, Arthroflex, Nutraceuticals

ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลยาที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างและเพื่อการศึกษาเท่านั้น การใช้ยาใดๆ ต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำและการดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรอย่างเคร่งครัด ห้ามซื้อยาหรือปรับขนาดยาเองเด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงได้

4.2 นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการแพทย์เพื่อการรักษาข้อเข่าเสื่อม

  • การฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้น (Platelet-Rich Plasma – PRP): เป็นการนำเลือดของผู้ป่วยมาปั่นแยกเอาเกล็ดเลือดที่มีปัจจัยการเติบโต (Growth Factors) สูง แล้วฉีดกลับเข้าไปในข้อเข่า เพื่อช่วยลดการอักเสบและกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
  • การฉีดสเต็มเซลล์ (Stem Cell Therapy): การใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากร่างกายของผู้ป่วยเอง (เช่น จากไขกระดูก หรือไขมัน) ฉีดเข้าไปในข้อเข่า เพื่อหวังผลในการซ่อมแซมกระดูกอ่อน แต่ยังคงเป็นการรักษาที่อยู่ในขั้นการวิจัยและไม่ได้ผลในทุกคน
  • การผ่าตัดส่องกล้องข้อเข่า (Arthroscopic Surgery): ใช้สำหรับทำความสะอาดข้อเข่า, ตัดแต่งกระดูกอ่อนที่เสียหาย, หรือซ่อมแซมหมอนรองกระดูกในกรณีที่ยังมีอาการไม่รุนแรงมาก
  • การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม (Total Knee Replacement – TKR): เป็นการรักษามาตรฐานในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมระยะรุนแรง ที่การรักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล โดยจะเปลี่ยนผิวข้อที่เสียหายด้วยข้อเข่าเทียมที่ทำจากโลหะและพลาสติก เพื่อให้ผู้ป่วยกลับมาเดินได้และลดอาการปวดได้อย่างถาวร
  • การฟื้นฟูสมรรถภาพทางกาย (Physical Therapy): เป็นหัวใจสำคัญของการรักษาและฟื้นฟู ไม่ว่าจะเป็นการบริหารกล้ามเนื้อรอบข้อเข่าให้แข็งแรง, การยืดเหยียด, การทำกายภาพบำบัดด้วยเครื่องมือต่างๆ เช่น อัลตราซาวนด์, เลเซอร์
  • อุปกรณ์ช่วยพยุงข้อเข่า (Knee Braces): ช่วยลดแรงกดบนข้อเข่าและเพิ่มความมั่นคง





5. วิธีป้องกันโรคข้อเข่าเสื่อม: ดูแลหัวเข่าให้แข็งแรงไปนานๆ

การป้องกันโรคข้อเข่าเสื่อมตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดูแลน้ำหนักและพฤติกรรมการใช้งานข้อเข่า:

  • ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม: การลดน้ำหนักเพียงเล็กน้อยก็สามารถลดภาระที่หัวเข่าได้อย่างมาก
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและเหมาะสม:
    • เน้นการออกกำลังกายที่ลงน้ำหนักน้อย (Low-impact exercise) เช่น เดิน, ว่ายน้ำ, ปั่นจักรยาน, เดินในน้ำ
    • เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบหัวเข่า โดยเฉพาะกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า (Quadriceps) และต้นขาด้านหลัง (Hamstrings)
    • ยืดเหยียดกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นรอบข้อเข่าเป็นประจำ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น
  • หลีกเลี่ยงท่าทางที่ทำให้เข่ารับภาระมาก: เช่น การนั่งยองๆ, คุกเข่า, หรือนั่งขัดสมาธิเป็นเวลานานๆ
  • หลีกเลี่ยงการยกของหนัก หรือยกของไม่ถูกวิธี
  • ระมัดระวังการบาดเจ็บที่ข้อเข่า: เช่น การเล่นกีฬาที่ต้องกระโดดหรือเปลี่ยนทิศทางบ่อยๆ ควรอบอุ่นร่างกายและใช้อุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม
  • สวมรองเท้าที่เหมาะสม: มีพื้นรองรับแรงกระแทกที่ดี
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดี เพื่อบำรุงกระดูก





6. การดูแลรักษาและใช้ชีวิตอยู่กับโรคข้อเข่าเสื่อม: คืนความสุขในการเคลื่อนไหว

เมื่อเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมแล้ว การดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญในการบรรเทาอาการและชะลอความรุนแรงของโรค:

  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด: ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยา, การทำกายภาพบำบัด, หรือการบริหารร่างกาย
  • ควบคุมน้ำหนัก: เป็นหัวใจสำคัญในการลดอาการปวดและชะลอการเสื่อมของข้อเข่า
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: เลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับสภาพข้อเข่าของคุณ เน้นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ
  • ประคบเย็นหรือประคบร้อน: เมื่อมีอาการปวดหรือบวม
  • ใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน: เช่น ไม้เท้า หรืออุปกรณ์พยุงข้อเข่า (Knee Brace) เมื่อจำเป็น
  • ปรับเปลี่ยนกิจกรรมในชีวิตประจำวัน: หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้ปวดเข่ามากขึ้น และปรับสภาพแวดล้อมให้ปลอดภัย เช่น ติดตั้งราวจับในห้องน้ำ ใช้เก้าอี้สูง
  • พบแพทย์และนักกายภาพบำบัดตามนัด: เพื่อติดตามอาการและปรับแผนการรักษา


สรุป: ข้อเข่าเสื่อมจัดการได้ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

โรคข้อเข่าเสื่อมเป็นภาวะที่หลีกเลี่ยงได้ยากเมื่ออายุมากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะหมดหวัง การมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรค การดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างเหมาะสม รวมถึงการใช้ประโยชน์จาก เภสัชจุลศาลและนวัตกรรมการแพทย์ ภายใต้การดูแลของแพทย์ จะช่วยให้คุณสามารถจัดการกับอาการปวด ลดความรุนแรงของโรค และกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุขและมีคุณภาพ




ข้อมูลอ้างอิงและข้อควรระวังสำคัญ:

  • ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลยาและหัตถการทางการแพทย์ที่กล่าวมาข้างต้นมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาและให้ข้อมูลเท่านั้น การใช้ยา การพิจารณาฉีดสารเข้าข้อ หรือการทำหัตถการใดๆ ต้องอยู่ภายใต้การวินิจฉัย การดูแล และคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัด ห้ามซื้อยาหรือพยายามทำการรักษาด้วยตนเองเด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตได้ ยาหรือหัตถการแต่ละชนิดอาจมีข้อบ่งชี้ ข้อห้ามใช้ และผลข้างเคียงที่แตกต่างกัน แพทย์จะพิจารณาความเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย โดยคำนึงถึงประโยชน์และความเสี่ยง

  • แหล่งอ้างอิง:
    • กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. (2565). แนวทางการวินิจฉัยและดูแลรักษาผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (ระบุลิงก์ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นหากมี เช่น คู่มือสำหรับประชาชนเกี่ยวกับโรคข้อเข่าเสื่อมจากหน่วยงานภาครัฐ)
    • สมาคมศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์แห่งประเทศไทย. บทความให้ความรู้เกี่ยวกับโรคข้อเข่าเสื่อม. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (ระบุลิงก์เว็บไซต์ของสมาคมฯ หรือหน้าบทความที่เกี่ยวข้อง)
    • โรงพยาบาลชั้นนำในประเทศไทย เช่น โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลรามาธิบดี, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์. บทความให้ความรู้เกี่ยวกับโรคข้อเข่าเสื่อมและการรักษา. (ยกตัวอย่างบทความจากโรงพยาบาลที่น่าเชื่อถือ)
    • สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.). ข้อมูลยาที่ได้รับอนุมัติในประเทศไทย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (ระบุลิงก์ที่เกี่ยวข้องหากต้องการ เช่น ฐานข้อมูลยา)

เรียบเรียงข้อมูลโดย  www.chulalakpharmacy.com

บทความที่คุณอาจสนใจ

  • แชร์

    ยังไม่มีบัญชี