สงสัยว่า ความดันโลหิตสูงคืออะไร หรือคุณมีความเสี่ยงหรือไม่? ทำความเข้าใจ อาการความดันโลหิตสูง ที่มักถูกมองข้าม, สาเหตุ ที่เป็นไปได้, วิธี การวินิจฉัย และแนวทาง การจัดการความดันโลหิตสูง อย่างถูกวิธีเพื่อสุขภาพหัวใจที่ดี
หัวข้อสำคัญ
Toggle
โรคความดันโลหิตสูงคืออะไร? อาการ สาเหตุ การวินิจฉัย และการจัดการที่คุณต้องรู้
คุณเคยสงสัยไหมว่าค่าตัวเลขที่วัดได้จากการวัด ความดันโลหิต นั้นสำคัญอย่างไร และทำไมผู้คนจำนวนมากจึงเป็นกังวลเมื่อรู้ว่าตนเองมีค่า ความดันโลหิตสูง? โรคความดันโลหิตสูง หรือ Hypertension ได้รับฉายาว่าเป็น “ฆาตกรเงียบ” เพราะมักไม่มีอาการแสดงที่ชัดเจนในระยะแรกเริ่ม ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากไม่รู้ตัวว่ากำลังเผชิญกับภัยเงียบนี้อยู่ กว่าจะรู้ตัวก็ต่อเมื่อเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงแล้ว บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจอย่างละเอียดว่า ความดันโลหิตสูงคืออะไร อาการ ที่ควรสังเกต สาเหตุ ที่ทำให้เกิดโรค วิธี การวินิจฉัย และแนวทาง การจัดการ ที่ถูกต้อง เพื่อให้คุณสามารถดูแลสุขภาพตัวเองและคนที่คุณรักได้อย่างทันท่วงที
ความดันโลหิตสูงคืออะไร? ทำความเข้าใจค่าตัวเลขสำคัญ
ความดันโลหิต คือแรงดันของเลือดที่กระทำต่อผนังหลอดเลือดแดงในขณะที่หัวใจบีบตัวและคลายตัว [1] เมื่อเราวัดความดันโลหิต เราจะได้ตัวเลขสองค่าเสมอ:
- ค่าความดันตัวบน (Systolic Blood Pressure): คือตัวเลขด้านบน หรือค่าที่สูงกว่า เป็นแรงดันในหลอดเลือดขณะที่หัวใจบีบตัวฉีดเลือดออกไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย
- ค่าความดันตัวล่าง (Diastolic Blood Pressure): คือตัวเลขด้านล่าง หรือค่าที่ต่ำกว่า เป็นแรงดันในหลอดเลือดขณะที่หัวใจคลายตัวและรับเลือดกลับเข้าสู่หัวใจ
โรคความดันโลหิตสูง คือภาวะที่ค่าความดันโลหิตตัวบนสูงกว่าหรือเท่ากับ 140 มิลลิเมตรปรอท (mmHg) หรือค่าความดันตัวล่างสูงกว่าหรือเท่ากับ 90 mmHg หรือทั้งสองค่า สูงกว่าเกณฑ์ดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอในการวัดหลายๆ ครั้ง [2]
ระดับความดันโลหิต (mmHg) | ค่าความดันตัวบน (Systolic) | ค่าความดันตัวล่าง (Diastolic) | ความหมาย |
ความดันโลหิตปกติ | น้อยกว่า 120 | และ น้อยกว่า 80 | |
ความดันโลหิตค่อนข้างสูง | 120-139 | หรือ 80-89 | เป็นกลุ่มเสี่ยง ควรปรับพฤติกรรม |
ความดันโลหิตสูง | 140 ขึ้นไป | หรือ 90 ขึ้นไป | ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและรักษา |
ภาวะวิกฤติความดันโลหิตสูง | 180 ขึ้นไป | หรือ 120 ขึ้นไป | ภาวะฉุกเฉิน ต้องพบแพทย์ทันที! |
อาการความดันโลหิตสูง: “ฆาตกรเงียบ” ที่ต้องระวัง
อย่างที่กล่าวไปว่า ความดันโลหิตสูง มักไม่มี อาการ แสดงที่ชัดเจนในช่วงแรกเริ่มของการเป็นโรค ผู้ป่วยหลายคนอาจใช้ชีวิตตามปกติโดยไม่รู้ตัวเป็นเวลาหลายปี [1] อย่างไรก็ตาม หากระดับความดันโลหิตสูงขึ้นมาก หรือสูงเรื้อรังเป็นเวลานาน อาจเริ่มมีอาการบางอย่างได้ เช่น:
- ปวดศีรษะ โดยเฉพาะบริเวณท้ายทอยในช่วงเช้า
- เวียนศีรษะ หรือมึนงง
- ใจสั่น หรือรู้สึกแน่นหน้าอก
- เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก
- ตาพร่ามัว
- มีเลือดกำเดาไหล
- หูอื้อ
สิ่งสำคัญคือ: หากคุณมีอาการเหล่านี้ อย่ารอช้า ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวัดความดันโลหิตและรับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง เพราะอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงแล้ว
สาเหตุความดันโลหิตสูง: ปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้
สาเหตุ ของ ความดันโลหิตสูง ส่วนใหญ่ (ประมาณ 90-95%) มักไม่สามารถระบุสาเหตุที่ชัดเจนได้ ซึ่งเรียกว่า ความดันโลหิตสูงชนิดปฐมภูมิ (Primary or Essential Hypertension) โดยเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ส่วนน้อย (5-10%) เกิดจาก ความดันโลหิตสูงชนิดทุติยภูมิ (Secondary Hypertension) ซึ่งมีสาเหตุมาจากโรคหรือยาบางชนิด [3]
ปัจจัยเสี่ยงของความดันโลหิตสูงชนิดปฐมภูมิ (ควบคุมไม่ได้):
- อายุ: ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยเฉพาะเมื่อเกิน 40-50 ปี
- กรรมพันธุ์: มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคความดันโลหิตสูง
- เพศ: เพศชายมีความเสี่ยงสูงกว่าเพศหญิงก่อนวัยหมดประจำเดือน
- เชื้อชาติ: บางเชื้อชาติมีความเสี่ยงสูงกว่า
ปัจจัยเสี่ยงของความดันโลหิตสูงชนิดปฐมภูมิ (ควบคุมได้):
- โรคอ้วน / น้ำหนักเกิน: มีความสัมพันธ์โดยตรงกับการเกิดความดันโลหิตสูง
- การกินอาหารรสเค็มจัด: โซเดียมในอาหารทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
- การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป: การดื่มหนักเป็นประจำจะเพิ่มความดันโลหิต
- การสูบบุหรี่: สารนิโคตินทำให้หลอดเลือดหดตัว และเพิ่มความเสี่ยงหลอดเลือดแข็งตัว
- การขาดการออกกำลังกาย: การไม่เคลื่อนไหวร่างกายทำให้หลอดเลือดขาดความยืดหยุ่น
- ความเครียด: ความเครียดเรื้อรังอาจส่งผลต่อการควบคุมความดันโลหิต
- โรคประจำตัวบางชนิด: เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง
สาเหตุของความดันโลหิตสูงชนิดทุติยภูมิ (มักเกิดจาก):
- โรคไตเรื้อรัง
- โรคต่อมหมวกไต เช่น เนื้องอกต่อมหมวกไต
- โรคต่อมไทรอยด์
- ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
- ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิดบางชนิด ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs บางชนิด
การวินิจฉัยความดันโลหิตสูง
การวินิจฉัย ความดันโลหิตสูง ทำได้ง่ายที่สุดและแม่นยำที่สุดคือการ วัดความดันโลหิต อย่างสม่ำเสมอ [1] แพทย์จะพิจารณาจาก:
- การวัดความดันโลหิตที่สถานพยาบาล: โดยแพทย์หรือพยาบาลจะทำการวัดความดันโลหิตหลายครั้งในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม (นั่งพักอย่างน้อย 5 นาที ไม่ดื่มชา กาแฟ หรือสูบบุหรี่ก่อนวัด)
- การวัดความดันโลหิตที่บ้าน: การวัดที่บ้านอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำยิ่งขึ้น และช่วยวินิจฉัยภาวะ “White Coat Hypertension” (ความดันสูงเมื่อเจอหมอ) ได้
- การตรวจอื่นๆ เพิ่มเติม: แพทย์อาจพิจารณาตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG/ECG) หรือตรวจอื่นๆ เพื่อประเมินภาวะแทรกซ้อนหรือหาสาเหตุของความดันโลหิตสูงชนิดทุติยภูมิ
ข้อแนะนำ: ผู้ใหญ่ทุกคนควรได้รับการตรวจวัดความดันโลหิตอย่างน้อยปีละครั้ง หรือบ่อยขึ้นหากมีปัจจัยเสี่ยง
การจัดการความดันโลหิตสูง: ควบคุมได้ด้วยยาและการปรับพฤติกรรม
เป้าหมายหลักของการ จัดการความดันโลหิตสูง คือการลดระดับความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ (โดยทั่วไปคือต่ำกว่า 140/90 mmHg หรือตามเป้าหมายที่แพทย์กำหนดสำหรับแต่ละบุคคล) เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจวาย ไตวาย และภาวะแทรกซ้อนทางตา [4] แนวทางการจัดการจะประกอบด้วย:
1. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (Lifestyle Modifications): (สำคัญที่สุด!)
- ควบคุมน้ำหนัก: หากน้ำหนักเกิน ควรลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม การลดน้ำหนักเพียงเล็กน้อยก็สามารถช่วยลดความดันโลหิตได้
- กินอาหารเพื่อสุขภาพ (DASH Diet): เน้นอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี ลดอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว คอเลสเตอรอล และโซเดียมสูง
- ลดปริมาณโซเดียม (เกลือ): จำกัดปริมาณโซเดียมที่ได้รับต่อวันไม่เกิน 2,300 มิลลิกรัม (ประมาณ 1 ช้อนชา) หรือตามคำแนะนำของแพทย์
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ (เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะๆ ปั่นจักรยาน) และลดพฤติกรรมเนือยนิ่ง
- จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์: ไม่เกิน 1 ดื่มมาตรฐานต่อวันสำหรับผู้หญิง และไม่เกิน 2 ดื่มมาตรฐานต่อวันสำหรับผู้ชาย
- งดสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่เป็นอันตรายต่อหลอดเลือดอย่างมาก
- จัดการความเครียด: ฝึกเทคนิคผ่อนคลาย เช่น โยคะ ทำสมาธิ หรือหากิจกรรมที่ช่วยลดความเครียด
2. การใช้ยา (Medication):
- หากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไม่เพียงพอในการควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเป้าหมาย แพทย์จะพิจารณาจ่าย ยาลดความดันโลหิต ซึ่งมีหลายกลุ่มและหลายชนิด ยาจะช่วยควบคุมความดันโลหิต แต่ไม่ได้รักษาให้หายขาด ผู้ป่วยต้องกินยาอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์
- ห้ามหยุดยาเอง: การหยุดยาเองอาจทำให้ความดันโลหิตพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นอันตรายถึงชีวิต
3. การตรวจติดตามที่บ้านและพบแพทย์ตามนัด:
- วัดความดันโลหิตที่บ้านสม่ำเสมอ: จดบันทึกค่าที่วัดได้ เพื่อให้แพทย์ประเมินผลการรักษา
- พบแพทย์ตามนัดอย่างเคร่งครัด: เพื่อประเมินประสิทธิภาพของยา ปรับขนาดยา และตรวจหาภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
“หากคุณสงสัยว่าตนเองมีความดันโลหิตสูง หรือต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมในการควบคุมและดูแลสุขภาพหัวใจของคุณ ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรใกล้บ้านคุณทันที เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและคำแนะนำที่ถูกต้องเหมาะสมกับสุขภาพของคุณ
ประเภทยารักษาความดันโลหิตสูงที่พบบ่อยแบ่งตามกลไกการออกฤทธิ์หลัก
1. ยาขับปัสสาวะ (Diuretics)
- กลไกหลัก: ช่วยขับเกลือและน้ำส่วนเกินออกจากร่างกาย ทำให้ปริมาตรเลือดลดลงและความดันโลหิตลดลง
- ชื่อสามัญที่พบบ่อย: Hydrochlorothiazide (HCTZ), Indapamide (อินดาพาไมด์), Furosemide (ฟูโรซีไมด์ – มักใช้ในกรณีมีอาการบวมร่วมด้วย)
- ข้อดี: ราคาไม่แพง มักใช้เป็นยาตัวแรก หรือใช้ร่วมกับยาอื่น
- ผลข้างเคียงที่พบได้: โพแทสเซียมต่ำ, ระดับน้ำตาล/กรดยูริก/คอเลสเตอรอลสูงขึ้นเล็กน้อย, เวียนศีรษะ
2. ยาปิดกั้นตัวรับเบต้า (Beta-blockers)
- กลไกหลัก: ทำให้หัวใจเต้นช้าลงและลดแรงบีบตัวของหัวใจ ทำให้ปริมาณเลือดที่สูบฉีดต่อนาทีลดลง และลดการทำงานของระบบประสาทซิมพาเทติก
- ชื่อสามัญที่พบบ่อย: Atenolol (อะทีโนลอล), Metoprolol (เมโทโพรลอล), Bisoprolol (บิโซโพรลอล), Carvedilol (คาร์เวดิลอล)
- ข้อดี: เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีหัวใจเต้นเร็ว หรือมีภาวะหัวใจขาดเลือดร่วมด้วย
- ผลข้างเคียงที่พบได้: หัวใจเต้นช้า, เหนื่อยง่าย, มือเท้าเย็น, อาจทำให้อาการหอบหืดแย่ลง (ในผู้ป่วยบางราย), อาจมีผลต่อระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวาน
3. ยายับยั้งเอ็นไซม์เอซีอี (ACE Inhibitors)
- กลไกหลัก: ขยายหลอดเลือดโดยการยับยั้งการสร้างสารที่ทำให้หลอดเลือดหดตัว และช่วยลดการคั่งของน้ำและเกลือ
- ชื่อสามัญที่พบบ่อย: Enalapril (อีนาราพริล), Captopril (คาร์โทพริล), Lisinopril (ลิซิโนพริล), Ramipril (รามิพริล), Perindopril (เพอริโดพริล)
- ข้อดี: มีประโยชน์ในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนในไตของผู้ป่วยเบาหวาน และในผู้ป่วยโรคหัวใจ
- ผลข้างเคียงที่พบได้: ไอแห้ง, โพแทสเซียมสูง, อาจมีผลต่อการทำงานของไตในผู้ป่วยบางราย
4. ยาปิดกั้นตัวรับแองจิโอเทนซิน 2 (Angiotensin II Receptor Blockers – ARBs)
- กลไกหลัก: คล้ายกับ ACE Inhibitors แต่มีกลไกที่จำเพาะเจาะจงกว่า ทำให้มีผลข้างเคียงเรื่องไอแห้งน้อยกว่า
- ชื่อสามัญที่พบบ่อย: Losartan (โลซาร์แทน), Valsartan (วาลซาร์แทน), Olmesartan (โอลเมซาร์แทน), Telmisartan (เทลมิซาร์แทน), Irbesartan (เออร์เบซาร์แทน)
- ข้อดี: เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถทนผลข้างเคียงเรื่องไอแห้งจาก ACE Inhibitors ได้ มีประโยชน์ต่อไตและหัวใจเช่นกัน
- ผลข้างเคียงที่พบได้: โพแทสเซียมสูง, เวียนศีรษะ
5. ยาปิดกั้นช่องแคลเซียม (Calcium Channel Blockers – CCBs)
- กลไกหลัก: ทำให้หลอดเลือดคลายตัวและขยายกว้างขึ้น
- ชื่อสามัญที่พบบ่อย:
- กลุ่ม Dihydropyridines (ออกฤทธิ์ที่หลอดเลือดเป็นหลัก): Amlodipine (แอมโลดิพีน), Nifedipine (ไนเฟดิพีน), Felodipine (เฟโลดิพีน)
- กลุ่ม Non-Dihydropyridines (ออกฤทธิ์ที่หัวใจและหลอดเลือด): Diltiazem (ดิลไทอะเซม), Verapamil (เวอราพามิล)
- ข้อดี: มีประสิทธิภาพในการลดความดันโลหิตสูงได้ดี
- ผลข้างเคียงที่พบได้: บวมที่ข้อเท้า (Amlodipine), ปวดศีรษะ, หัวใจเต้นเร็ว (ในบางชนิด), ท้องผูก
(Verapamil)
6. ยาอื่น ๆ ที่อาจใช้ในบางกรณี:
- Alpha-blockers: เช่น Prazosin (พราโซซิน), Doxazosin (ดอกซาโซซิน) ใช้ในกรณีที่ความดันโลหิตยังไม่ลด หรือมีภาวะต่อมลูกหมากโต
- Direct vasodilators: เช่น Hydralazine (ไฮดราลาซีน), Minoxidil (ไมนอกซิดิล) มักใช้ในกรณีที่ความดันโลหิตสูงมากและไม่ตอบสนองต่อยาอื่น หรือในภาวะฉุกเฉิน
ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง
การใช้ยารักษาความดันโลหิตสูงนั้นจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การวินิจฉัยและดูแลของแพทย์เท่านั้น เนื่องจากยาแต่ละชนิดมีกลไกการออกฤทธิ์ที่แตกต่างกัน ผลข้างเคียง ข้อห้ามใช้ และความเหมาะสมกับภาวะสุขภาพของผู้ป่วยแต่ละรายที่ไม่เหมือนกัน
ประเภทยารักษาความดันโลหิตสูงที่พบบ่อยในประเทศไทย แบ่งตามกลไกการออกฤทธิ์หลัก:
1. ยาขับปัสสาวะ (Diuretics)
- กลไกหลัก: ช่วยขับเกลือและน้ำส่วนเกินออกจากร่างกาย ทำให้ปริมาตรเลือดลดลงและความดันโลหิตลดลง
- ชื่อสามัญที่พบบ่อย: Hydrochlorothiazide (HCTZ), Indapamide (อินดาพาไมด์), Furosemide (ฟูโรซีไมด์ – มักใช้ในกรณีมีอาการบวมร่วมด้วย)
- ข้อดี: ราคาไม่แพง มักใช้เป็นยาตัวแรก หรือใช้ร่วมกับยาอื่น
- ผลข้างเคียงที่พบได้: โพแทสเซียมต่ำ, ระดับน้ำตาล/กรดยูริก/คอเลสเตอรอลสูงขึ้นเล็กน้อย, เวียนศีรษะ

2. ยาปิดกั้นตัวรับเบต้า (Beta-blockers)
- กลไกหลัก: ทำให้หัวใจเต้นช้าลงและลดแรงบีบตัวของหัวใจ ทำให้ปริมาณเลือดที่สูบฉีดต่อนาทีลดลง และลดการทำงานของระบบประสาทซิมพาเทติก
- ชื่อสามัญที่พบบ่อย: Atenolol (อะทีโนลอล), Metoprolol (เมโทโพรลอล), Bisoprolol (บิโซโพรลอล), Carvedilol (คาร์เวดิลอล)
- ข้อดี: เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีหัวใจเต้นเร็ว หรือมีภาวะหัวใจขาดเลือดร่วมด้วย
- ผลข้างเคียงที่พบได้: หัวใจเต้นช้า, เหนื่อยง่าย, มือเท้าเย็น, อาจทำให้อาการหอบหืดแย่ลง (ในผู้ป่วยบางราย), อาจมีผลต่อระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวาน

3. ยายับยั้งเอ็นไซม์เอซีอี (ACE Inhibitors)
- กลไกหลัก: ขยายหลอดเลือดโดยการยับยั้งการสร้างสารที่ทำให้หลอดเลือดหดตัว และช่วยลดการคั่งของน้ำและเกลือ
- ชื่อสามัญที่พบบ่อย: Enalapril (อีนาราพริล), Captopril (คาร์โทพริล), Lisinopril (ลิซิโนพริล), Ramipril (รามิพริล), Perindopril (เพอริโดพริล)
- ข้อดี: มีประโยชน์ในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนในไตของผู้ป่วยเบาหวาน และในผู้ป่วยโรคหัวใจ
- ผลข้างเคียงที่พบได้: ไอแห้ง, โพแทสเซียมสูง, อาจมีผลต่อการทำงานของไตในผู้ป่วยบางราย

4. ยาปิดกั้นตัวรับแองจิโอเทนซิน 2 (Angiotensin II Receptor Blockers – ARBs)
- กลไกหลัก: คล้ายกับ ACE Inhibitors แต่มีกลไกที่จำเพาะเจาะจงกว่า ทำให้มีผลข้างเคียงเรื่องไอแห้งน้อยกว่า
- ชื่อสามัญที่พบบ่อย: Losartan (โลซาร์แทน), Valsartan (วาลซาร์แทน), Olmesartan (โอลเมซาร์แทน), Telmisartan (เทลมิซาร์แทน), Irbesartan (เออร์เบซาร์แทน)
- ข้อดี: เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถทนผลข้างเคียงเรื่องไอแห้งจาก ACE Inhibitors ได้ มีประโยชน์ต่อไตและหัวใจเช่นกัน
- ผลข้างเคียงที่พบได้: โพแทสเซียมสูง, เวียนศีรษะ

5. ยาปิดกั้นช่องแคลเซียม (Calcium Channel Blockers – CCBs)
- กลไกหลัก: ทำให้หลอดเลือดคลายตัวและขยายกว้างขึ้น
- ชื่อสามัญที่พบบ่อย:
- กลุ่ม Dihydropyridines (ออกฤทธิ์ที่หลอดเลือดเป็นหลัก): Amlodipine (แอมโลดิพีน), Nifedipine (ไนเฟดิพีน), Felodipine (เฟโลดิพีน)

- กลุ่ม Non-Dihydropyridines (ออกฤทธิ์ที่หัวใจและหลอดเลือด): Diltiazem (ดิลไทอะเซม), Verapamil (เวอราพามิล)

- ข้อดี: มีประสิทธิภาพในการลดความดันโลหิตสูงได้ดี
- ผลข้างเคียงที่พบได้: บวมที่ข้อเท้า (Amlodipine), ปวดศีรษะ, หัวใจเต้นเร็ว (ในบางชนิด), ท้องผูก (Verapamil)
6. ยาอื่น ๆ ที่อาจใช้ในบางกรณี:
- Alpha-blockers: เช่น Prazosin (พราโซซิน), Doxazosin (ดอกซาโซซิน) ใช้ในกรณีที่ความดันโลหิตยังไม่ลด หรือมีภาวะต่อมลูกหมากโต
- Direct vasodilators: เช่น Hydralazine (ไฮดราลาซีน), Minoxidil (ไมนอกซิดิล) มักใช้ในกรณีที่ความดันโลหิตสูงมากและไม่ตอบสนองต่อยาอื่น หรือในภาวะฉุกเฉิน
สิ่งสำคัญที่สุด:
- แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาเลือกชนิดยา ขนาด และการใช้ยาแบบเดี่ยวหรือแบบผสม (Combined drug) ให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย โดยพิจารณาจากระดับความดันโลหิต, โรคประจำตัว, ภาวะแทรกซ้อน, ยาอื่น ๆ ที่ใช้อยู่, อายุ, และเพศ
- การปรับเปลี่ยนยาหรือขนาดยาต้องทำภายใต้คำแนะนำของแพทย์เท่านั้น ห้ามหยุดยาเองหรือปรับยาเองโดยเด็ดขาด เพราะอาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นอันตราย
สรุป: ความดันโลหิตสูง ป้องกันได้ จัดการได้ ถ้าใส่ใจ
โรคความดันโลหิตสูง เป็นภาวะที่สำคัญที่ต้องได้รับการใส่ใจ เพราะแม้จะไม่มี อาการ ที่ชัดเจนในระยะแรกเริ่ม แต่หากปล่อยปะละเลยไป จะเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง และโรคไตเรื้อรัง การทำความเข้าใจว่า ความดันโลหิตสูงคืออะไร รู้จัก สาเหตุ และ สัญญาณเตือน รวมถึงการเริ่มต้น การจัดการ ด้วยการปรับพฤติกรรมและใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์ จะช่วยให้คุณสามารถควบคุมโรคนี้ได้ และมีชีวิตที่มีสุขภาพดี ห่างไกลจากภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงครับ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
- American Heart Association. (n.d.). What is High Blood Pressure? Retrieved from https://www.heart.org/en/health-topics/high-blood-pressure/what-is-high-blood-pressure
- สมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย. (2562). แนวทางการรักษาภาวะความดันโลหิตสูงในผู้ใหญ่. เข้าถึงได้จาก: https://www.thaihypertension.org/files/HT_CPG2019.pdf (อ้างอิงเกณฑ์การวินิจฉัย)
- Mayo Clinic. (2024, May 09). High blood pressure (hypertension). Retrieved from https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/high-blood-pressure/symptoms-causes/syc-20373410
- Centers for Disease Control and Prevention (CDC). (2024, January 10). High Blood Pressure: Managing and Treating. Retrieved from https://www.cdc.gov/bloodpressure/managing_treating.htm
- National Heart, Lung, and Blood Institute (NHLBI). (n.d.). High Blood Pressure. Retrieved from https://www.nhlbi.nih.gov/health/high-blood-pressure
เรียบเรียงข้อมูลโดย www.chulalakpharmacy.com