ทำความเข้าใจโรคตับอักเสบเรื้อรังอย่างลึกซึ้ง! เรียนรู้สาเหตุหลัก (ไวรัสตับอักเสบ B/C, ไขมันพอกตับ), สัญญาณอันตราย, แนวทางการวินิจฉัย, นวัตกรรมการรักษาด้วยยาต้านไวรัส และการดูแลตัวเอง เพื่อป้องกันตับแข็งและมะเร็งตับ
หัวข้อสำคัญ
Toggle
โรคตับอักเสบเรื้อรัง (Chronic Hepatitis) คืออะไร?
โรคตับอักเสบเรื้อรัง (Chronic Hepatitis) คือภาวะที่ตับเกิดการอักเสบต่อเนื่องยาวนานเกิน 6 เดือน สาเหตุหลักที่พบบ่อยที่สุดในประเทศไทยคือ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B Virus – HBV) และ ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C Virus – HCV) นอกจากนี้ ภาวะไขมันพอกตับที่ไม่มีแอลกอฮอล์เป็นสาเหตุ (Non-Alcoholic Fatty Liver Disease – NAFLD) ซึ่งอาจนำไปสู่ ไขมันพอกตับอักเสบ (Non-Alcoholic Steatohepatitis – NASH) ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ตับเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่หลายอย่าง เช่น กำจัดสารพิษ สร้างโปรตีน สร้างน้ำดี และเก็บสะสมพลังงาน เมื่อตับเกิดการอักเสบเรื้อรัง เซลล์ตับจะถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง และเกิดการสร้างพังผืด (Fibrosis) ขึ้นมาทดแทน หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา พังผืดเหล่านี้จะสะสมมากขึ้นจนกลายเป็น โรคตับแข็ง (Cirrhosis) และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิด โรคมะเร็งตับ (Hepatocellular Carcinoma – HCC) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิต
โรคตับอักเสบเรื้อรังมักเป็น “ภัยเงียบ” เพราะในระยะแรกผู้ป่วยอาจไม่มีอาการใดๆ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย ทำให้การวินิจฉัยล่าช้า การทำความเข้าใจสาเหตุ สัญญาณเตือน และการตรวจคัดกรองจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
1. สาเหตุหลักของโรคตับอักเสบเรื้อรัง: ภัยร้ายที่ต้องเฝ้าระวัง
สาเหตุที่พบบ่อยและมีความสำคัญของโรคตับอักเสบเรื้อรัง ได้แก่:
- 1.1 การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (Chronic Hepatitis B):
- การติดต่อ: ส่วนใหญ่ติดต่อจากแม่สู่ลูกขณะคลอด, การสัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ, การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน, การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
- ลักษณะโรค: ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีส่วนใหญ่จะไม่มีอาการในระยะแรก แต่ไวรัสจะอยู่ในร่างกายและทำลายตับอย่างช้าๆ ซึ่งอาจนำไปสู่ตับแข็งและมะเร็งตับในระยะยาว
- 1.2 การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี (Chronic Hepatitis C):
- การติดต่อ: ส่วนใหญ่ติดต่อทางเลือด เช่น การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน (โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติด), การรับเลือดที่ไม่ผ่านการคัดกรอง (ในอดีต), การใช้ของมีคมร่วมกัน, การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน (พบน้อยกว่า)
- ลักษณะโรค: เป็นสาเหตุสำคัญของโรคตับแข็งและมะเร็งตับทั่วโลก ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่มีอาการชัดเจนเป็นระยะเวลานานหลายสิบปี กว่าจะแสดงอาการก็มักเป็นเมื่อตับถูกทำลายไปมากแล้ว
- 1.3 ภาวะไขมันพอกตับที่ไม่มีแอลกอฮอล์เป็นสาเหตุ (Non-Alcoholic Fatty Liver Disease – NAFLD) และไขมันพอกตับอักเสบ (NASH):
- สาเหตุ: ไม่ได้เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ แต่เกี่ยวข้องกับภาวะอ้วน (Obesity), โรคเบาหวาน (Diabetes), ไขมันในเลือดสูง (Dyslipidemia), และภาวะดื้อต่ออินซูลิน (Insulin Resistance)
- ลักษณะโรค: เป็นภาวะที่มีไขมันสะสมในตับมากผิดปกติ ซึ่งอาจนำไปสู่การอักเสบ (NASH) และพัฒนาเป็นพังผืดในตับ ตับแข็ง และมะเร็งตับได้
- 1.4 สาเหตุอื่นๆ:
- ตับอักเสบจากแอลกอฮอล์ (Alcoholic Hepatitis): เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเป็นเวลานาน
- ตับอักเสบจากยาหรือสารเคมี (Drug-Induced Hepatitis): ยาบางชนิด หรือสารพิษบางอย่าง
- ตับอักเสบจากภูมิคุ้มกันตัวเอง (Autoimmune Hepatitis): ระบบภูมิคุ้มกันโจมตีเซลล์ตับของตัวเอง
- โรคทางพันธุกรรมบางชนิด: เช่น โรควิลสัน (Wilson’s Disease), ภาวะเหล็กเกิน (Hemochromatosis)
2. สัญญาณเตือนและภาวะแทรกซ้อน: เมื่อตับเริ่มส่งสัญญาณอันตราย
ในระยะแรกของโรคตับอักเสบเรื้อรัง ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อยและไม่เฉพาะเจาะจง ทำให้วินิจฉัยได้ยาก สัญญาณที่อาจพบได้แก่:
- อ่อนเพลีย (Fatigue): เหนื่อยง่าย อ่อนแรงผิดปกติ
- คลื่นไส้ (Nausea), เบื่ออาหาร (Loss of Appetite): หรือน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ปวดท้องบริเวณชายโครงขวา: อาจรู้สึกตื้อๆ หรือแน่นๆ บริเวณตับ
- ดีซ่าน (Jaundice): ตาเหลือง ตัวเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม อุจจาระสีซีด (เป็นอาการที่บ่งบอกว่าตับเริ่มทำงานผิดปกติมากแล้ว)
- คันตามผิวหนัง: เนื่องจากมีสารคั่งค้างในร่างกาย
- มีภาวะเลือดออกง่ายผิดปกติ (Easy Bruising/Bleeding): เช่น เลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดาไหล
- มีอาการของตับแข็ง (Cirrhosis) ในระยะท้าย: เช่น ท้องมาน (Ascites), บวมตามตัว, เส้นเลือดฝอยแตกที่ผิวหนัง (Spider Angioma), สับสน มึนงง (Hepatic Encephalopathy)
หากคุณมีปัจจัยเสี่ยงหรือสังเกตเห็นอาการเหล่านี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยโดยเร็วที่สุด
3. การวินิจฉัยโรคตับอักเสบเรื้อรัง: ตรวจอย่างไรให้รู้ทันโรค?
การวินิจฉัยโรคตับอักเสบเรื้อรังต้องอาศัยการตรวจหลายอย่างร่วมกัน:
- การซักประวัติและตรวจร่างกาย (Clinical History and Physical Exam): สอบถามประวัติการเจ็บป่วย, การดื่มแอลกอฮอล์, การใช้ยา, และปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ
- การตรวจเลือด (Blood Tests):
- การตรวจการทำงานของตับ (Liver Function Tests – LFTs): เช่น ระดับ AST, ALT, ALP, Bilirubin, Albumin เพื่อประเมินว่าตับมีการอักเสบหรือทำงานผิดปกติหรือไม่
- การตรวจหาไวรัสตับอักเสบ (Viral Hepatitis Serology): ตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBsAg, Anti-HBs, Anti-HBc) และไวรัสตับอักเสบซี (Anti-HCV, HCV RNA)
- การตรวจอื่นๆ: เช่น ระดับน้ำตาลในเลือด, ไขมันในเลือด (สำหรับไขมันพอกตับ), หรือตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อตับตัวเอง (Autoantibodies) ในกรณีสงสัยภาวะ Autoimmune Hepatitis
- การตรวจภาพทางรังสีวิทยา (Imaging Studies):
- อัลตราซาวด์ช่องท้อง (Abdominal Ultrasound): เพื่อดูขนาด รูปร่าง และลักษณะของตับ ตรวจหาไขมันพอกตับ หรือภาวะตับแข็ง
- ไฟโบรสแกน (Fibroscan หรือ Transient Elastography): เป็นการตรวจวัดความแข็งของตับ (Liver Stiffness) โดยไม่รุกราน ซึ่งสามารถบอกระดับพังผืดในตับ (Fibrosis) และไขมันพอกตับ (Steatosis) ได้อย่างแม่นยำ
- CT Scan หรือ MRI: ใช้ในบางกรณีเพื่อประเมินตับอย่างละเอียด หรือตรวจหามะเร็งตับ
- การตัดชิ้นเนื้อตับไปตรวจ (Liver Biopsy): เป็นวิธีมาตรฐานในการประเมินระดับการอักเสบและพังผืดในตับได้อย่างแม่นยำ และช่วยในการวินิจฉัยสาเหตุ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันการทำ Liver Biopsy ลดลงเมื่อมี Fibroscan ที่สามารถให้ข้อมูลที่ใกล้เคียงกัน

4. เภสัชจุลศาลและนวัตกรรมการแพทย์: ความหวังใหม่ในการรักษาโรคตับ
การรักษาโรคตับอักเสบเรื้อรังขึ้นอยู่กับสาเหตุ ความรุนแรงของโรค และสภาวะของผู้ป่วย การรักษาที่ทันสมัยมุ่งเน้นการยับยั้งการทำลายตับ ลดการอักเสบ และป้องกันการเกิดตับแข็งและมะเร็งตับ
4.1 ยาที่ใช้รักษาโรคตับอักเสบเรื้อรัง
การใช้ยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เฉพาะทางโรคระบบทางเดินอาหารและตับ (Gastroenterologist/Hepatologist) อย่างเคร่งครัด
- สำหรับไวรัสตับอักเสบบี (Chronic Hepatitis B – HBV):
- ยาต้านไวรัส (Antiviral Drugs): ยาหลักในปัจจุบันคือกลุ่ม Nucleos(t)ide Analogs ซึ่งช่วยยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัส ลดการอักเสบ และชะลอการเกิดตับแข็ง ยาเหล่านี้มักต้องรับประทานต่อเนื่องเป็นเวลานาน หรือตลอดชีวิต
- ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: Tenofovir disoproxil fumarate (TDF) (เช่น Viread), Tenofovir alafenamide (TAF) (เช่น Vemlidy), Entecavir (เช่น Baraclude)
- ยาต้านไวรัส (Antiviral Drugs): ยาหลักในปัจจุบันคือกลุ่ม Nucleos(t)ide Analogs ซึ่งช่วยยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัส ลดการอักเสบ และชะลอการเกิดตับแข็ง ยาเหล่านี้มักต้องรับประทานต่อเนื่องเป็นเวลานาน หรือตลอดชีวิต
- สำหรับไวรัสตับอักเสบซี (Chronic Hepatitis C – HCV):
- ยาต้านไวรัสออกฤทธิ์ตรง (Direct-Acting Antivirals – DAAs): เป็นการปฏิวัติการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบซี ทำให้สามารถรักษาให้หายขาดจากเชื้อไวรัสได้ในอัตราที่สูงมาก (มากกว่า 95%) โดยมีผลข้างเคียงน้อยและใช้ระยะเวลาการรักษาสั้น (8-12 สัปดาห์)
- ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: ยาผสมที่มีส่วนประกอบของ Sofosbuvir, Ledipasvir, Velpatasvir, Daclatasvir, Glecaprevir, Pibrentasvir (เช่น Harvoni, Epclusa, Mavyret)
- ยาต้านไวรัสออกฤทธิ์ตรง (Direct-Acting Antivirals – DAAs): เป็นการปฏิวัติการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบซี ทำให้สามารถรักษาให้หายขาดจากเชื้อไวรัสได้ในอัตราที่สูงมาก (มากกว่า 95%) โดยมีผลข้างเคียงน้อยและใช้ระยะเวลาการรักษาสั้น (8-12 สัปดาห์)
- สำหรับไขมันพอกตับอักเสบ (NASH):
- ยังไม่มียาเฉพาะเจาะจงที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ แต่มีแนวโน้มการรักษาด้วยยาที่ช่วยลดไขมันและการอักเสบในตับ รวมถึงการจัดการกับปัจจัยเสี่ยง เช่น
- ยาควบคุมเบาหวาน: กลุ่ม SGLT2 inhibitors หรือ GLP-1 receptor agonists
- ยาควบคุมไขมันในเลือด: กลุ่ม Statin
- วิตามินอี (Vitamin E): อาจพิจารณาในผู้ป่วยบางราย
- ยา Pioglitazone: สำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่มี NASH
- ยังไม่มียาเฉพาะเจาะจงที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ แต่มีแนวโน้มการรักษาด้วยยาที่ช่วยลดไขมันและการอักเสบในตับ รวมถึงการจัดการกับปัจจัยเสี่ยง เช่น
- สำหรับตับอักเสบจากภูมิคุ้มกันตัวเอง (Autoimmune Hepatitis):
- ยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressants): เช่น สเตียรอยด์ (Prednisolone) และ Azathioprine เพื่อลดการอักเสบและควบคุมระบบภูมิคุ้มกัน
ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลยาที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างและเพื่อการศึกษาเท่านั้น การใช้ยาใดๆ ต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำและการดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรอย่างเคร่งครัด ห้ามซื้อยาหรือปรับขนาดยาเองเด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงได้
4.2 นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการแพทย์เพื่อการดูแลตับ
- การปลูกถ่ายตับ (Liver Transplantation): เป็นการรักษาขั้นสุดท้ายสำหรับผู้ป่วยตับแข็งระยะสุดท้ายหรือมะเร็งตับที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น โดยเปลี่ยนตับที่เสียหายด้วยตับจากผู้บริจาค
- การรักษาโรคมะเร็งตับ (Hepatocellular Carcinoma – HCC):
- การผ่าตัด (Surgical Resection): ตัดก้อนมะเร็งออก
- การจี้ทำลายก้อนมะเร็ง (Ablation Therapies): เช่น Radiofrequency Ablation (RFA) หรือ Microwave Ablation (MWA)
- การให้ยาเคมีบำบัดเฉพาะที่ (Transarterial Chemoembolization – TACE): ฉีดสารเคมีบำบัดผ่านหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงก้อนมะเร็ง
- ยารักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy) และภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy): สำหรับผู้ป่วยมะเร็งตับระยะลุกลาม
5. การดูแลตัวเองและแนวทางการป้องกัน: สร้างเกราะป้องกันตับของคุณ
การดูแลตัวเองและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันและจัดการโรคตับอักเสบเรื้อรัง:
- ป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ:
- ฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B Vaccine): เป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงและเป็นส่วนหนึ่งของวัคซีนพื้นฐานในเด็กไทย
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสเลือดและสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ: ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน, ระมัดระวังการทำหัตถการที่อาจมีการปนเปื้อนเลือด (เช่น สัก, เจาะ), มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย
- งดการใช้สารเสพติดชนิดฉีด
- ควบคุมน้ำหนักและดูแลสุขภาพเมตาบอลิซึม:
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี ลดอาหารหวาน มัน เค็ม และอาหารแปรรูป
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
- ควบคุมโรคประจำตัว: เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง อย่างเคร่งครัด
- งดหรือลดการดื่มแอลกอฮอล์: เพื่อลดภาระการทำงานของตับ
- หลีกเลี่ยงยาที่ไม่จำเป็นหรือยาที่อาจเป็นอันตรายต่อตับ: ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาใดๆ เสมอ รวมถึงสมุนไพรและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
- ตรวจสุขภาพประจำปี: โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง ควรตรวจการทำงานของตับและคัดกรองไวรัสตับอักเสบอย่างสม่ำเสมอ
6. การดูแลรักษาและใช้ชีวิตอยู่กับโรคตับอักเสบเรื้อรัง: เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี
เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังแล้ว การดูแลอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญ:
- ปฏิบัติตามแผนการรักษาของแพทย์อย่างเคร่งครัด: รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง ไม่หยุดยาเอง และไปพบแพทย์ตามนัดเสมอ
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต: ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย งดแอลกอฮอล์ บุหรี่ และสารเสพติดอื่นๆ
- ปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการ: เพื่อวางแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยโรคตับ
- หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น: เช่น การติดเชื้อ, ยาบางชนิด
- เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน: โดยเฉพาะโรคมะเร็งตับ ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งตับตามคำแนะนำของแพทย์ (เช่น อัลตราซาวด์ตับและตรวจเลือดหา AFP ทุก 6 เดือน)
สรุป: ตับอักเสบเรื้อรังจัดการได้ ด้วยความรู้และการดูแลที่ถูกต้อง
โรคตับอักเสบเรื้อรังเป็นภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพตับอย่างต่อเนื่อง แต่สามารถป้องกันและจัดการได้ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง การตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบและการฉีดวัคซีน การดูแลสุขภาพให้ห่างไกลจากภาวะไขมันพอกตับ การหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และยาที่เป็นพิษต่อตับ รวมถึงการใช้ประโยชน์จาก เภสัชจุลศาลและนวัตกรรมการแพทย์ ภายใต้การดูแลของแพทย์ จะช่วยให้คุณมีตับที่แข็งแรง ป้องกันการลุกลามของโรคไปสู่ตับแข็งและมะเร็งตับ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีและยืนยาว
ข้อมูลอ้างอิงและข้อควรระวังสำคัญ:
- ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลยาและนวัตกรรมทางการแพทย์ที่กล่าวมาข้างต้นมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาและให้ข้อมูลเท่านั้น การวินิจฉัยโรค การเลือกวิธีการรักษา หรือการใช้ยาใดๆ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหารและตับอย่างเคร่งครัด ห้ามวินิจฉัยโรคด้วยตนเอง หรือซื้อยาและเลือกการรักษาโดยไม่ปรึกษาแพทย์เด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงได้ แพทย์จะพิจารณาความเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย โดยคำนึงถึงประโยชน์และความเสี่ยง
แหล่งอ้างอิง:
- สมาคมโรคตับแห่งประเทศไทย. (2565). แนวทางการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคตับอักเสบ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์เว็บไซต์ของสมาคมฯ หรือหน้าคู่มือที่เกี่ยวข้อง)
- กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. (2565). โรคไวรัสตับอักเสบ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นหากมี)
- โรงพยาบาลชั้นนำในประเทศไทย (เช่น โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, โรงพยาบาลรามาธิบดี). บทความให้ความรู้เกี่ยวกับโรคตับอักเสบเรื้อรัง. (ยกตัวอย่างบทความจากโรงพยาบาลที่น่าเชื่อถือ)
- สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.). ข้อมูลยาที่ได้รับอนุมัติในประเทศไทย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์ที่เกี่ยวข้องหากต้องการ เช่น ฐานข้อมูลยา)
เรียบเรียงข้อมูลโดย www.chulalakpharmacy.com