โรคตับไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (Non-Alcoholic Fatty Liver Disease – NAFLD): ภัยเงียบทำลายตับ สัญญาณเตือน การวินิจฉัย และแนวทางการดูแลเพื่อสุขภาพตับที่ดี

ทำความเข้าใจโรคตับไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (NAFLD) อย่างละเอียด! เรียนรู้สาเหตุหลัก (อ้วน, เบาหวาน), สัญญาณเตือนที่มักไม่แสดงอาการ, แนวทางการวินิจฉัย, นวัตกรรมการรักษาและปรับพฤติกรรม พร้อมวิธีป้องกันเพื่อปกป้องตับของคุณจากภาวะตับอักเสบและตับแข็ง



โรคตับไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (Non-Alcoholic Fatty Liver Disease – NAFLD) คืออะไร?

โรคตับไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (Non-Alcoholic Fatty Liver Disease – NAFLD) คือภาวะที่มีไขมันสะสมอยู่ในเซลล์ตับมากเกินไป โดยไม่เกี่ยวข้องกับการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก ซึ่งแตกต่างจากโรคตับจากแอลกอฮอล์ (Alcoholic Liver Disease)

ตับเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่หลากหลาย ตั้งแต่การย่อยอาหาร, การกำจัดสารพิษ, การสร้างโปรตีน, ไปจนถึงการเก็บสะสมพลังงาน หากมีไขมันสะสมในตับมากเกินไป จะทำให้ตับทำงานได้ไม่เต็มที่ และอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรงขึ้น


NAFLD มีหลายระดับความรุนแรง:

  • ตับไขมันพอกตับธรรมดา (Simple Fatty Liver หรือ Steatosis): เป็นภาวะที่มีไขมันสะสมในตับ แต่ไม่มีการอักเสบ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักอยู่ในระยะนี้และมักไม่มีอาการ
  • ตับอักเสบจากไขมันพอกตับ (Non-Alcoholic Steatohepatitis – NASH): เป็นภาวะที่รุนแรงขึ้น คือมีทั้งไขมันสะสมและการอักเสบของเซลล์ตับร่วมด้วย ซึ่งการอักเสบเรื้อรังนี้เองที่อาจนำไปสู่ภาวะ ตับแข็ง (Cirrhosis) และ มะเร็งตับ (Hepatocellular Carcinoma) ได้ในอนาคต

NAFLD ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ภัยเงียบ” เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ หรือมีอาการที่ไม่จำเพาะเจาะจงในระยะแรก กว่าจะทราบว่าเป็นโรคก็ต่อเมื่อตรวจพบจากภาพถ่ายรังสีหรือมีภาวะแทรกซ้อนแล้ว



1. สัญญาณเตือนของ NAFLD: เมื่อตับเริ่มส่งสัญญาณ?

ในระยะเริ่มต้นของโรคตับไขมันพอกตับ มักไม่มีอาการใดๆ ที่ชัดเจน ผู้ป่วยจำนวนมากทราบว่าตนเองเป็นโรคนี้จากการตรวจสุขภาพประจำปี หรือตรวจพบโดยบังเอิญจากภาพถ่ายรังสีช่องท้อง หากอาการเริ่มปรากฏ มักเป็นสัญญาณว่าโรคดำเนินไปในระยะที่รุนแรงขึ้น เช่น มีภาวะตับอักเสบหรือตับแข็งแล้ว สัญญาณที่อาจสังเกตได้ ได้แก่:

  • อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย (Fatigue and Weakness): เป็นอาการที่ไม่จำเพาะเจาะจง แต่พบบ่อย
  • รู้สึกไม่สบายท้อง หรือปวดตื้อๆ บริเวณชายโครงด้านขวาบน (Right Upper Quadrant Abdominal Pain or Discomfort) ซึ่งเป็นตำแหน่งของตับ
  • คลื่นไส้ เบื่ออาหาร (Nausea and Loss of Appetite)
  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • ผิวหนังคัน (Itching)
  • ตาเหลือง ตัวเหลือง (Jaundice): เป็นสัญญาณของภาวะตับวายที่รุนแรง
  • ท้องมาน (Ascites): มีน้ำในช่องท้อง ทำให้ท้องบวมโต
  • เส้นเลือดฝอยขยายเป็นรูปใยแมงมุม (Spider Angiomas) บนผิวหนัง
  • ฝ่ามือแดง (Palmar Erythema)
  • สับสน หรือมีปัญหาในการคิด (Hepatic Encephalopathy): เมื่อของเสียสะสมในสมองจากการทำงานของตับที่แย่ลง

หากคุณมีปัจจัยเสี่ยงหรือสังเกตเห็นอาการเหล่านี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยโดยเร็วที่สุด



2. สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของ NAFLD: ทำไมไขมันถึงไปพอกตับ?

NAFLD ไม่ได้เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ แต่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับภาวะทางเมตาบอลิซึม (Metabolic Syndrome) ซึ่งเป็นกลุ่มอาการที่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เบาหวาน และ NAFLD ปัจจัยเสี่ยงหลัก ได้แก่:

  • 2.1 โรคอ้วน (Obesity): เป็นสาเหตุหลักและสำคัญที่สุด โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะอ้วนลงพุง (Central Obesity) ไขมันในช่องท้องจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิด NAFLD
  • 2.2 โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes Mellitus): ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี มักมีความผิดปกติของการเผาผลาญไขมันและอินซูลิน ทำให้ไขมันสะสมในตับ
  • 2.3 ภาวะไขมันในเลือดสูง (Dyslipidemia): โดยเฉพาะภาวะไตรกลีเซอไรด์สูง และ/หรือ HDL-C ต่ำ
  • 2.4 ภาวะดื้อต่ออินซูลิน (Insulin Resistance): ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้ไม่ดี ทำให้ระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดสูงขึ้น ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการเกิด NAFLD
  • 2.5 โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension): มักพบร่วมกับภาวะทางเมตาบอลิซึมอื่นๆ
  • 2.6 น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว (Rapid Weight Loss): ในบางกรณี อาจกระตุ้นให้เกิดภาวะไขมันพอกตับได้ชั่วคราว
  • 2.7 ยาบางชนิด: เช่น ยาสเตียรอยด์, ยา Tamoxifen, ยา Methotrexate, ยา Amiodarone
  • 2.8 โรคอื่นๆ: เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (OSA), ภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ (Hypothyroidism), ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovary Syndrome – PCOS)



3. การวินิจฉัยโรค NAFLD: ตรวจอย่างไรให้รู้ทันตับคุณ?

การวินิจฉัยโรคตับไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ทำได้โดยแพทย์ โดยอาศัยการตรวจหลายอย่างร่วมกัน:

  • การซักประวัติและตรวจร่างกาย (Clinical History and Physical Exam): สอบถามประวัติการดื่มแอลกอฮอล์, โรคประจำตัว, ยาที่ใช้, พฤติกรรมการกิน, และตรวจร่างกาย

  • การตรวจเลือด (Blood Tests):
    • การทำงานของตับ (Liver Function Tests – LFTs): ตรวจหาค่าเอนไซม์ตับ เช่น AST (SGOT) และ ALT (SGPT) หากมีค่าสูง อาจบ่งชี้ถึงภาวะตับอักเสบ
    • การตรวจระดับไขมันในเลือด (Lipid Profile): คอเลสเตอรอล, ไตรกลีเซอไรด์
    • ระดับน้ำตาลในเลือด (Blood Glucose): ทั้ง Fasting Plasma Glucose และ HbA1c เพื่อประเมินภาวะเบาหวานหรือภาวะดื้อต่ออินซูลิน
    • ตรวจหาไวรัสตับอักเสบ (Hepatitis Viruses): เพื่อแยกสาเหตุอื่นๆ ของตับอักเสบ
    • ตรวจคัดกรองโรคตับอื่นๆ: เช่น โรคตับจากภูมิต้านตนเอง, โรคตับจากเหล็กเกิน (Hemochromatosis), โรควิลสัน (Wilson’s Disease)

  • การตรวจภาพทางรังสีวิทยา (Imaging Studies):
    • อัลตราซาวด์ช่องท้อง (Abdominal Ultrasound): เป็นการตรวจเบื้องต้นที่นิยมใช้มากที่สุด สามารถตรวจพบไขมันพอกตับได้ แต่ไม่สามารถบอกระดับการอักเสบหรือพังผืดได้
    • CT Scan หรือ MRI ตับ: มีความละเอียดสูงกว่าอัลตราซาวด์ในการประเมินปริมาณไขมันและพยาธิสภาพของตับ
    • การตรวจ FibroScan (Transient Elastography): เป็นเครื่องมือที่ไม่ต้องเจ็บตัว ใช้คลื่นเสียงเพื่อวัดความแข็งของตับ (Liver Stiffness) ซึ่งบ่งบอกถึงปริมาณพังผืดในตับ (Fibrosis) ยิ่งตับแข็งมากยิ่งมีพังผืดมาก อาจบ่งบอกถึงภาวะ NASH หรือตับแข็งแล้ว

  • การตัดชิ้นเนื้อตับไปตรวจ (Liver Biopsy):
    • เป็นการตรวจที่แม่นยำที่สุดในการวินิจฉัย NAFLD และแยก NASH ออกจากตับไขมันธรรมดา รวมถึงประเมินระดับการอักเสบและปริมาณพังผืดในตับ แพทย์จะพิจารณาทำในบางกรณีที่จำเป็น เช่น สงสัย NASH หรือตับแข็ง



4. เภสัชจุลศาลและนวัตกรรมการแพทย์: แนวทางการดูแลรักษา NAFLD

เนื่องจาก NAFLD ไม่มี ยา เฉพาะเจาะจงที่ได้รับการอนุมัติให้รักษาโดยตรง การรักษาหลักจึงเน้นที่ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต และการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่างๆ หากมีภาวะตับอักเสบ (NASH) หรือตับแข็ง แพทย์อาจพิจารณาวิธีการรักษาเพิ่มเติม

4.1 การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต (Lifestyle Modification): หัวใจของการรักษา

  • ลดน้ำหนัก (Weight Loss): เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการลดไขมันในตับและลดการอักเสบ การลดน้ำหนัก 3-5% ของน้ำหนักตัวเริ่มต้น อาจช่วยลดไขมันในตับได้ และการลดน้ำหนัก 7-10% อาจช่วยลดการอักเสบและพังผืดในตับได้
    • การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ (Healthy Diet):
      • ลดพลังงานรวม: ควบคุมปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับ
      • ลดไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์: หลีกเลี่ยงอาหารทอด, อาหารแปรรูป, เนื้อสัตว์ติดมัน, หนังสัตว์
      • ลดน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตขัดสี: โดยเฉพาะน้ำหวาน, น้ำอัดลม, ขนมหวาน, ขนมปังขาว
      • เพิ่มใยอาหาร: เน้นผัก, ผลไม้, ธัญพืชไม่ขัดสี
      • ลดการดื่มแอลกอฮอล์: แม้จะไม่ใช่สาเหตุหลัก แต่แอลกอฮอล์สามารถทำลายตับและทำให้อาการแย่ลงได้

    • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ (Regular Exercise): อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ในระดับความเข้มข้นปานกลาง หรือ 75 นาทีในระดับความเข้มข้นสูง ช่วยลดไขมันในตับและปรับปรุงภาวะดื้อต่ออินซูลิน

  • ควบคุมโรคประจำตัว (Manage Underlying Conditions):
    • ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ในผู้ป่วยเบาหวานให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    • ควบคุมระดับไขมันในเลือด โดยเฉพาะไตรกลีเซอไรด์
    • ควบคุมความดันโลหิต


4.2 ยาและนวัตกรรมการแพทย์ที่อาจพิจารณาใช้

การใช้ยาใดๆ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เฉพาะทางด้านโรคตับ (Hepatologist) หรือแพทย์ผู้ดูแลอย่างเคร่งครัด

  • ยาที่อาจช่วยลดการอักเสบและพังผืดในตับ (สำหรับ NASH):
    • วิตามินอี (Vitamin E): อาจพิจารณาใช้ในผู้ป่วย NASH ที่ไม่เป็นเบาหวาน แต่มีข้อจำกัดและผลข้างเคียงที่ต้องระวัง
    • ยา Pioglitazone: เป็นยาที่ใช้รักษาเบาหวาน แต่ก็มีบทบาทในการลดไขมันและลดการอักเสบในตับในผู้ป่วย NASH ทั้งที่เป็นเบาหวานและไม่เป็นเบาหวาน
    • ยา Obeticholic Acid (OCA): เป็นยาที่ได้รับการอนุมัติในบางประเทศสำหรับรักษา NASH ที่มีพังผืดระดับปานกลางถึงรุนแรง แต่มีข้อจำกัดและผลข้างเคียง

  • ยาควบคุมโรคประจำตัว: แพทย์จะให้ยาเพื่อควบคุมเบาหวาน, ไขมันในเลือดสูง, และความดันโลหิตสูง เพื่อลดความเสี่ยงของ NAFLD และภาวะแทรกซ้อน

  • นวัตกรรมการผ่าตัดลดน้ำหนัก (Bariatric Surgery):
    • เป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วยโรคอ้วนรุนแรงที่มี NAFLD หรือ NASH ซึ่งการผ่าตัดสามารถช่วยลดน้ำหนักได้อย่างมีนัยสำคัญ และนำไปสู่การลดไขมันและการอักเสบในตับได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลยาและวิธีการรักษาที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างและเพื่อการศึกษาเท่านั้น การใช้ยาหรือการเลือกวิธีการรักษาใดๆ ต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำและการดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรอย่างเคร่งครัด ห้ามซื้อยาหรือปรับขนาดยาเองเด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงหรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้



5. การดูแลตัวเองและแนวทางการป้องกัน NAFLD: ปกป้องตับของคุณ

การป้องกันและจัดการ NAFLD เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะตับอักเสบและตับแข็ง:

  • รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม: เป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นผัก, ผลไม้, ธัญพืชไม่ขัดสี, ลดอาหารหวาน, มัน, ทอด, และแปรรูป
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: เป็นประจำทุกวันหรืออย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์
  • จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์: แม้จะไม่ใช่สาเหตุหลัก แต่การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำจะเพิ่มภาระให้ตับ
  • ควบคุมโรคประจำตัว: เบาหวาน, ความดันโลหิตสูง, ไขมันในเลือดสูง ให้ได้ตามเป้าหมาย
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาหรือสมุนไพรที่ไม่จำเป็น: โดยเฉพาะยาที่อาจมีผลข้างเคียงต่อตับ
  • ตรวจสุขภาพประจำปี: โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เพื่อคัดกรองภาวะไขมันพอกตับและติดตามการทำงานของตับ



6. การดูแลรักษาและใช้ชีวิตอยู่กับ NAFLD: เพื่อสุขภาพตับที่ยั่งยืน

เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น NAFLD แล้ว การดูแลอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญ:

  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด: ทั้งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการใช้ยาควบคุมโรคประจำตัว
  • ติดตามผลการทำงานของตับและการตรวจภาพถ่ายรังสีเป็นระยะ: ตามที่แพทย์นัดหมาย
  • ปรึกษานักโภชนาการ: เพื่อวางแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสมและยั่งยืน
  • เข้าร่วมโปรแกรมลดน้ำหนักหรือออกกำลังกาย: หากจำเป็น
  • เฝ้าระวังอาการผิดปกติ: เช่น ตาเหลือง, ท้องมาน, สับสน และรีบปรึกษาแพทย์ทันที

สรุป: ตับไขมันพอกตับป้องกันและดูแลได้ ด้วยวิถีชีวิตที่ใส่ใจ

โรคตับไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (NAFLD) เป็นภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพตับและสามารถนำไปสู่ภาวะตับอักเสบและตับแข็งได้ในที่สุด การตระหนักรู้ถึงปัจจัยเสี่ยง การตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้เหมาะสม โดยเฉพาะการควบคุมน้ำหนัก การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ถือเป็นหัวใจสำคัญในการป้องกันและดูแลโรคนี้ การทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์อย่างใกล้ชิด จะช่วยให้คุณมีตับที่แข็งแรงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้



ข้อมูลอ้างอิงและข้อควรระวังสำคัญ:

  • ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลยาและนวัตกรรมทางการแพทย์ที่กล่าวมาข้างต้นมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาและให้ข้อมูลเท่านั้น การวินิจฉัยโรค การเลือกวิธีการรักษา หรือการใช้ยาใดๆ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคตับ (Hepatologist) หรือแพทย์ผู้ดูแลอย่างเคร่งครัด ห้ามวินิจฉัยโรคด้วยตนเอง หรือซื้อยาและเลือกการรักษาโดยไม่ปรึกษาแพทย์เด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงได้ แพทย์จะพิจารณาความเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย โดยคำนึงถึงประโยชน์และความเสี่ยง

  • แหล่งอ้างอิง:
    • สมาคมโรคตับแห่งประเทศไทย. (2565). แนวทางการวินิจฉัยและรักษาโรคตับไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์เว็บไซต์ของสมาคมฯ หรือหน้าคู่มือที่เกี่ยวข้อง)
    • กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. (2565). โรคตับไขมันพอกตับ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นหากมี)
    • โรงพยาบาลชั้นนำในประเทศไทย (เช่น โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, โรงพยาบาลรามาธิบดี). บทความให้ความรู้เกี่ยวกับโรคตับไขมันพอกตับ. (ยกตัวอย่างบทความจากโรงพยาบาลที่น่าเชื่อถือ)
    • สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.). ข้อมูลยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ได้รับอนุมัติในประเทศไทย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์ที่เกี่ยวข้องหากต้องการ เช่น ฐานข้อมูลยา)

เรียบเรียงข้อมูลโดย  www.chulalakpharmacy.com

บทความที่คุณอาจสนใจ

  • แชร์

    ยังไม่มีบัญชี