หลายคนอาจเคยรู้สึกว่า “ทำไมเรานอนไม่หลับตอนกลางคืน และทำไมต้องตื่นกลางวันอย่างอ่อนล้า?” หากการนอนไม่เป็นไปตามเวลาปกติ และคุณต้องเผชิญกับปัญหานอนดึกบ่อยครั้ง จนส่งผลกระทบต่อการทำงานหรือกิจวัตรประจำวัน อาจเป็นไปได้ว่าคุณกำลังประสบกับ โรคนอนผิดเวลา หรือ Delayed Sleep Phase Disorder (DSPD)
DSPD คืออะไร?
Delayed Sleep Phase Disorder (DSPD) หรือที่เรียกกันว่า “โรคนอนผิดเวลา” เป็นภาวะที่คนไข้มีวงจรการนอนหลับที่ไม่ตรงกับเวลาปกติของสังคม คนที่เป็น DSPD มักจะหลับในช่วงดึกมาก เช่น ตี 2 หรือ 3 แล้วตื่นประมาณกลางวันหรือบ่าย ซึ่งทำให้พวกเขาประสบปัญหากับการตื่นขึ้นมาในตอนเช้าและการทำกิจกรรมในระหว่างวันได้อย่างปกติ
อาการของโรคนอนผิดเวลา
ผู้ที่เป็นโรค DSPD อาจมีอาการดังนี้
- หลับยากในเวลากลางคืน: คนที่เป็น DSPD มักจะรู้สึกว่าไม่สามารถหลับได้จนกว่าจะถึงเวลาที่ตนเองรู้สึกพร้อม ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเวลาค่อนข้างดึก
- ตื่นสาย: ผู้ป่วยจะตื่นในช่วงเวลาบ่าย หรือบ่ายแก่ๆ เนื่องจากหลับในช่วงกลางคืนไม่ทัน
- รู้สึกไม่สดชื่นในตอนเช้า: แม้จะนอนหลายชั่วโมงแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกเหนื่อยล้าหรือไม่สดชื่นเมื่อเริ่มต้นวันใหม่
- ความยากลำบากในการทำกิจวัตรประจำวัน: การไปทำงานหรือเรียนหนังสือในตอนเช้ามักเป็นเรื่องยาก เพราะร่างกายไม่พร้อมตื่นในเวลาเช้า
สาเหตุของ DSPD
โรคนอนผิดเวลา (DSPD) เกิดจากหลายปัจจัยที่อาจมีผลร่วมกัน เช่น:
- พันธุกรรม: การศึกษาพบว่ามีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมในครอบครัวที่มีประวัติเป็น DSPD
- ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม: การใช้เทคโนโลยี เช่น สมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์ ก่อนนอน หรือการสัมผัสแสงจากหน้าจออาจส่งผลต่อการผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินที่ช่วยในการนอนหลับ
- ลักษณะการใช้ชีวิต: คนที่ทำงานในเวลาค่ำ หรือทำงานกะกลางคืน อาจทำให้ระบบการนอนของร่างกายได้รับผลกระทบ
- ความผิดปกติทางฮอร์โมน: ผู้ที่มีปัญหาผิดปกติในวงจรการผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินอาจประสบกับการนอนผิดเวลา
วิธีการจัดการกับ DSPD
หากคุณมีอาการของ DSPD ต่อไปนี้คือแนวทางที่อาจช่วยให้คุณปรับปรุงการนอนหลับและปรับวงจรการนอนได้
1. สร้างตารางเวลานอนที่สม่ำเสมอ
พยายามนอนและตื่นในเวลาเดียวกันทุกวัน แม้ว่าคุณจะรู้สึกว่าไม่ง่วงในตอนที่ต้องนอนก็ตาม การทำเช่นนี้จะช่วยปรับนาฬิกาชีวภาพของร่างกายให้กลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. หลีกเลี่ยงการใช้หน้าจอในช่วงก่อนนอน
แสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนสามารถยับยั้งการผลิตเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยในการนอน ควรหลีกเลี่ยงการใช้หน้าจอก่อนนอนอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
3. เพิ่มแสงในช่วงเช้า
การได้รับแสงแดดในช่วงเช้าจะช่วยปรับนาฬิกาชีวภาพให้กับเวลาที่เหมาะสม ควรเดินออกไปในที่ที่มีแสงแดดหรือเปิดหน้าต่างให้แสงธรรมชาติส่องเข้ามา
4. หลีกเลี่ยงคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ในตอนเย็น
คาเฟอีนและแอลกอฮอล์สามารถส่งผลให้การนอนหลับไม่ลึกหรือหลับยากขึ้น ควรหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ในช่วง 4-6 ชั่วโมงก่อนเข้านอน
5. พิจารณาการบำบัดด้วยแสง
ในบางกรณี การบำบัดด้วยแสงสามารถช่วยให้ปรับวงจรการนอนได้ โดยเฉพาะการได้รับแสงในช่วงเช้าอย่างสม่ำเสมอ
6. ปรึกษาแพทย์หรือนักจิตวิทยา
หากมีอาการรุนแรงและไม่สามารถปรับตัวได้ การปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับอาจจำเป็นในการวินิจฉัยและจัดการกับปัญหานี้
หากท่านมีปัญหาสุขภาพ หรือต้องการปรึกษาการใช้ผลิตภัณฑ์และการใช้ยาอย่างถูกวิธี สามารถเข้ามาปรึกษาได้ที่หน้าร้านขายยาจุฬาลักษณ์เภสัชทุกสาขา หรือใช้บริการให้คำปรึกษา ช่องทางออนไลน์ได้ทุกช่องทางของเรานะคะ
ข้อมูลอ้างอิง (References):
- ศูนย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลกรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนล
- ศูนย์อายุรกรรม โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์
เรียบเรียงข้อมูลโดย : www.chulalakpharmacy.com