โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s Disease): เมื่อการเคลื่อนไหวไม่เป็นใจ สัญญาณเตือน การวินิจฉัย และแนวทางการดูแลเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ทำความเข้าใจโรคพาร์กินสันอย่างละเอียด! เรียนรู้สาเหตุ, สัญญาณเตือน (สั่น, เคลื่อนไหวช้า, ทรงตัวลำบาก), แนวทางการวินิจฉัย, นวัตกรรมการรักษาด้วยยา ผ่าตัด และกายภาพบำบัด พร้อมวิธีดูแลผู้ป่วยและใช้ชีวิตอยู่กับโรคอย่างมีคุณภาพ





โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s Disease) คืออะไร?

โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s Disease) คือโรคความเสื่อมของระบบประสาทส่วนกลางแบบเรื้อรังที่ดำเนินไปอย่างช้าๆ เกิดจากการที่เซลล์สมองส่วนที่สร้างสารสื่อประสาท โดปามีน (Dopamine) ในบริเวณสมองส่วนที่เรียกว่า ซับสแตนเชีย ไนกรา (Substantia Nigra) เกิดการเสื่อมและตายลง ทำให้สมองผลิตโดปามีนได้ไม่เพียงพอ โดปามีนมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย เมื่อขาดโดปามีน ผู้ป่วยจึงมีปัญหาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวเป็น


โรคพาร์กินสันเป็นโรคที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ มักเริ่มมีอาการเมื่ออายุ 60 ปีขึ้นไป แต่ก็สามารถพบได้ในผู้ที่อายุน้อยกว่านั้นได้เช่นกัน (Young-onset Parkinson’s Disease) โรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้ แต่การรักษาในปัจจุบันมุ่งเน้นไปที่การควบคุมอาการ, ชะลอการดำเนินของโรค, และเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้ดีที่สุด



1. สัญญาณเตือนของโรคพาร์กินสัน: เมื่อร่างกายเริ่มส่งสัญญาณ

อาการของโรคพาร์กินสันมักจะค่อยๆ เกิดขึ้นและแย่ลงเรื่อยๆ ตามกาลเวลา อาการหลักของโรคแบ่งออกเป็น อาการเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว (Motor Symptoms) และ อาการที่ไม่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว (Non-Motor Symptoms)

1.1 อาการเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว (Motor Symptoms):

  • อาการสั่น (Tremor):
    • มักเริ่มที่มือหรือนิ้วมือข้างใดข้างหนึ่งขณะพัก (Resting Tremor)
    • อาการสั่นจะลดลงหรือหายไปเมื่อเคลื่อนไหวหรือตั้งใจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
    • อาจสั่นที่ขา หรือคางได้

  • การเคลื่อนไหวช้า (Bradykinesia/Akinesia):
    • เป็นอาการที่สำคัญที่สุด ทำให้การทำกิจกรรมต่างๆ ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด
    • ทำกิจวัตรประจำวันช้าลง เช่น แต่งตัว, กินข้าว
    • เดินช้า, ลากเท้า, ก้าวสั้นๆ
    • การแสดงสีหน้าลดลง (Masked Face)
    • เขียนหนังสือตัวเล็กลงเรื่อยๆ (Micrographia)

  • กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง (Rigidity):
    • กล้ามเนื้อแข็งตึง ทำให้เคลื่อนไหวไม่คล่องตัว รู้สึกเหมือนมีอะไรติดขัด
    • เมื่อแพทย์ตรวจจะรู้สึกเหมือนฟันเฟือง (Cogwheel Rigidity)

  • การทรงตัวและการเดินผิดปกติ (Postural Instability/Gait Impairment):
    • เดินลำบาก, เสียการทรงตัวง่าย, ล้มบ่อย
    • หลังงอ, แขนไม่แกว่งขณะเดิน
    • มีภาวะ “ก้าวขาไม่ออก” (Freezing of Gait) โดยเฉพาะเมื่อจะเริ่มเดิน หรือผ่านประตู

1.2 อาการที่ไม่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว (Non-Motor Symptoms):

อาการเหล่านี้สามารถเกิดก่อนอาการเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวได้หลายปี และส่งผลต่อคุณภาพชีวิตผู้ป่วยอย่างมาก:

  • ท้องผูก (Constipation):
  • การสูญเสียการรับรู้กลิ่น (Loss of Sense of Smell – Anosmia):
  • ความผิดปกติของการนอนหลับ (Sleep Disorders): เช่น นอนไม่หลับ, ฝันร้าย, มีพฤติกรรมผิดปกติขณะหลับ (REM Sleep Behavior Disorder – RBD)
  • ภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล (Depression and Anxiety):
  • ความบกพร่องทางสติปัญญา (Cognitive Impairment) หรือภาวะสมองเสื่อม (Dementia) ในระยะท้าย:
  • ความผิดปกติของความดันโลหิต (Orthostatic Hypotension): ความดันตกเมื่อเปลี่ยนท่า
  • ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ:
  • ปวดเมื่อย หรือเจ็บแปลบตามร่างกาย:

หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีอาการเหล่านี้ โดยเฉพาะอาการเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว ควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาท เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยโดยละเอียด



2. สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคพาร์กินสัน: ทำไมเซลล์สมองถึงเสื่อม?

สาเหตุที่แท้จริงของโรคพาร์กินสันส่วนใหญ่ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าเป็นผลจากหลายปัจจัยร่วมกัน:

  • 2.1 พันธุกรรม (Genetics):
    • ในผู้ป่วยส่วนน้อย (ประมาณ 10-15%) อาจพบว่ามีปัจจัยทางพันธุกรรมที่ชัดเจน โดยมียีนที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคพาร์กินสัน แต่ในผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่พบความผิดปกติทางพันธุกรรม
  • 2.2 อายุที่เพิ่มขึ้น (Aging):
    • เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุด ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้น
  • 2.3 ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม (Environmental Factors):
    • การสัมผัสสารพิษบางชนิดในระยะยาว เช่น สารกำจัดศัตรูพืช, โลหะหนัก
    • การได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างรุนแรงซ้ำๆ
  • 2.4 เพศ (Gender):
    • เพศชายมีความเสี่ยงสูงกว่าเพศหญิงเล็กน้อย
  • 2.5 การอักเสบและภาวะเครียดออกซิเดชัน (Inflammation and Oxidative Stress):
    • เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำลายเซลล์ประสาท



3. การวินิจฉัยโรคพาร์กินสัน: ตรวจอย่างไรให้แม่นยำ?

การวินิจฉัยโรคพาร์กินสันเป็นการวินิจฉัยทางคลินิกโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาท (Neurologist) โดยอาศัยการซักประวัติและตรวจร่างกายเป็นหลัก ยังไม่มีการตรวจเลือดหรือภาพถ่ายทางรังสีที่สามารถวินิจฉัยโรคพาร์กินสันได้อย่างชัดเจนในระยะแรก

  • การซักประวัติ (Clinical History):
    • แพทย์จะซักถามอาการอย่างละเอียด, ระยะเวลาที่เป็น, การดำเนินของอาการ, และประวัติการใช้ยาต่างๆ
  • การตรวจร่างกายและระบบประสาท (Physical and Neurological Examination):
    • แพทย์จะประเมินอาการเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวหลัก 4 อย่าง (Tremor, Bradykinesia, Rigidity, Postural Instability)
    • สังเกตท่าทาง, การเดิน, การแสดงออกทางสีหน้า, ความคล่องตัวในการทำกิจกรรมต่างๆ
  • การตอบสนองต่อยาโดปามีน (Response to Levodopa):
    • ในบางกรณี แพทย์อาจให้ยา Levodopa (ยาหลักในการรักษา) เพื่อดูว่าอาการของผู้ป่วยดีขึ้นหรือไม่ หากอาการดีขึ้นอย่างชัดเจนหลังได้รับยา จะช่วยสนับสนุนการวินิจฉัยโรคพาร์กินสัน
  • การตรวจทางภาพถ่ายสมอง (Brain Imaging):
    • MRI Brain: ไม่ได้ใช้เพื่อวินิจฉัยโรคพาร์กินสันโดยตรง แต่ใช้เพื่อแยกแยะภาวะอื่นๆ ที่มีอาการคล้ายกัน (เช่น เนื้องอกสมอง, หลอดเลือดสมองตีบ)

DATSCAN (Dopamine Transporter Scan): เป็นการตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ที่สามารถช่วยยืนยันการลดลงของเซลล์ประสาทที่สร้างโดปามีนในสมอง ซึ่งช่วยแยกโรคพาร์กินสันออกจากภาวะที่มีอาการคล้ายกันแต่ไม่ใช่พาร์กินสัน (เช่น Essential Tremor) แต่ไม่จำเป็นต้องทำในผู้ป่วยทุกราย



4. เภสัชจุลศาลและนวัตกรรมการแพทย์: แนวทางการดูแลรักษาโรคพาร์กินสัน

การรักษาโรคพาร์กินสันมีเป้าหมายเพื่อควบคุมอาการ, ชะลอการดำเนินของโรค (ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด), และเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ซึ่งจะประกอบด้วยการใช้ยา, กายภาพบำบัด, และการรักษาอื่นๆ

4.1 ยาที่ใช้รักษาโรคพาร์กินสัน (Parkinson’s Disease Medications)

การใช้ยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัด

  • ยา Levodopa/Carbidopa (เช่น , Madopar, Sinemet 200/250, Sinemet 10mg/100mg):
    • เป็นยาที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดในการบรรเทาอาการของโรคพาร์กินสัน โดยเฉพาะอาการเคลื่อนไหวช้าและกล้ามเนื้อแข็งเกร็ง
    • Levodopa จะถูกเปลี่ยนเป็นโดปามีนในสมอง ส่วน Carbidopa ช่วยป้องกันไม่ให้ Levodopa ถูกทำลายก่อนที่จะเข้าสู่สมอง
    • ข้อควรพิจารณา: การใช้ยาในระยะยาวอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ยา (Motor Fluctuations, Dyskinesia)

ตัวอย่างยา Levodopa/Carbidopa

 

อ่านต่อ : ข้อมูลการใช้ยาLevodopa

อ่านต่อ : ข้อมูลการใช้ยาCarbidopa

  • ยากลุ่ม Dopamine Agonists (เช่น Pramipexole, Ropinirole, Rotigotine):
    • ออกฤทธิ์กระตุ้นตัวรับโดปามีนในสมองโดยตรง มีผลข้างเคียงน้อยกว่า Levodopa ในระยะเริ่มต้น แต่อาจมีผลข้างเคียงอื่นๆ เช่น คลื่นไส้, ง่วงนอน, พฤติกรรม compulsive

  

ตัวอย่างยา  Dopamine Agonists 

  • อ่านต่อ : ข้อมูลการใช้ยาPramipexole
  • อ่านต่อ : ข้อมูลการใช้ยาRotigotine
  • ยากลุ่ม MAO-B Inhibitors (เช่น Selegiline, Rasagiline, Safinamide):
    • ช่วยป้องกันการสลายตัวของโดปามีนในสมอง ทำให้โดปามีนออกฤทธิ์ได้นานขึ้น มักใช้ในระยะเริ่มต้น หรือใช้ร่วมกับ Levodopa

ตัวอย่างยากลุ่ม MAO-B Inhibitors 

  • อ่านต่อ : ข้อมูลการใช้ยาRasagiline 
  • ยากลุ่ม COMT Inhibitors (เช่น Entacapone):
    • ใช้ร่วมกับ Levodopa เพื่อช่วยยืดระยะเวลาออกฤทธิ์ของ Levodopa

ตัวอย่างยากลุ่ม COMT Inhibitors

  • อ่านต่อ : ข้อมูลการใช้ยาEntacapone 
  • ยากลุ่ม Amantadine:
    • ใช้บรรเทาอาการ Dyskinesia (การเคลื่อนไหวผิดปกติที่เกิดจากผลข้างเคียงของยา Levodopa)

ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลยาที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างและเพื่อการศึกษาเท่านั้น การใช้ยาใดๆ ต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำและการดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรอย่างเคร่งครัด ห้ามซื้อยาหรือปรับขนาดยาเองเด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงหรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้

4.2 นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการแพทย์ในการรักษาโรคพาร์กินสัน

  • การผ่าตัดฝังเครื่องกระตุ้นสมองส่วนลึก (Deep Brain Stimulation – DBS):
    • เป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วยโรคพาร์กินสันระยะก้าวหน้า ที่มีอาการเคลื่อนไหวรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา หรือมีผลข้างเคียงจากยามาก
    • เป็นการผ่าตัดฝังขั้วไฟฟ้าขนาดเล็กในสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว และเชื่อมต่อกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่ฝังอยู่ใต้ผิวหนังที่หน้าอก เครื่องจะส่งกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ไปกระตุ้นสมองเพื่อช่วยควบคุมอาการ

  • การให้ยา Levodopa แบบต่อเนื่องผ่านทางทวารหนัก (Duopa Pump):
    • เป็นการให้ยา Levodopa ในรูปแบบเจลอย่างต่อเนื่องผ่านสายที่ใส่เข้าไปในลำไส้เล็ก เพื่อควบคุมระดับยาในเลือดให้คงที่ ลดภาวะ Motor Fluctuations

  • การวิจัยและพัฒนายาใหม่ๆ (Novel Drug Development):
    • มุ่งเป้าไปที่การชะลอการดำเนินของโรค (Neuroprotective Therapies) และการรักษาอาการที่ไม่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว

  • การบำบัดฟื้นฟู (Rehabilitation):
    • กายภาพบำบัด (Physical Therapy): ช่วยปรับปรุงการทรงตัว, การเดิน, ความยืดหยุ่น, และความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ

    • กิจกรรมบำบัด (Occupational Therapy): ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ง่ายขึ้น โดยแนะนำอุปกรณ์ช่วยหรือปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อม

  • อรรถบำบัด (Speech Therapy): ช่วยปรับปรุงปัญหาการพูด (Dysarthria) และปัญหาการกลืน (Dysphagia)



5. อาหารเสริมที่ช่วยบำรุง ดูแล หรือป้องกัน โรคพาร์กินสัน

การใช้อาหารเสริมเพื่อบำรุง ดูแล หรืออาจมีส่วนช่วยในการป้องกันโรคพาร์กินสัน ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกรเสมอ เนื่องจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับประสิทธิภาพและความปลอดภัยของอาหารเสริมบางชนิดยังอยู่ในระหว่างการศึกษา และอาจมีปฏิกิริยากับยาที่ใช้อยู่ได้

อาหารเสริมบางชนิดที่อาจมีการกล่าวถึงหรือมีการศึกษาเบื้องต้นว่าอาจมีบทบาทในการดูแลสุขภาพสมองและระบบประสาทในบริบทของโรคพาร์กินสัน ได้แก่:

  • โคเอนไซม์คิวเทน (Coenzyme Q10 – CoQ10):
    • เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญต่อการสร้างพลังงานในเซลล์ มีการศึกษาบางชิ้นที่ชี้ให้เห็นว่า CoQ10 อาจมีบทบาทในการปกป้องเซลล์ประสาท แต่ผลการศึกษาขนาดใหญ่ยังไม่ชัดเจนในการชะลอการดำเนินของโรค
    • ข้อควรพิจารณา: ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ โดยเฉพาะหากกำลังรับประทานยาอื่นๆ

  • กรดไขมันโอเมก้า-3 (Omega-3 Fatty Acids):
    • พบในน้ำมันปลา มีคุณสมบัติลดการอักเสบและอาจมีบทบาทในการบำรุงสุขภาพสมองโดยรวม
    • ข้อควรพิจารณา: แม้จะมีประโยชน์ต่อสุขภาพโดยรวม แต่หลักฐานโดยตรงในการป้องกันหรือรักษาพาร์กินสันยังไม่ชัดเจน

  • วิตามินดี (Vitamin D):
    • มีการศึกษาที่พบความสัมพันธ์ระหว่างระดับวิตามินดีที่ต่ำกับความเสี่ยงของโรคพาร์กินสัน และวิตามินดีมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพกระดูกและภูมิคุ้มกัน
    • ข้อควรพิจารณา: การเสริมวิตามินดีควรทำเมื่อมีภาวะขาด และอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์

  • ครีเอทีน (Creatine):
    • เป็นสารที่ช่วยในการสร้างพลังงานในเซลล์กล้ามเนื้อและสมอง มีการศึกษาในระยะแรกที่พิจารณาบทบาทในการปกป้องเซลล์ประสาท แต่การศึกษาขนาดใหญ่ยังไม่พบประโยชน์ในการชะลอการดำเนินของโรคพาร์กินสัน

  • สารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ:
    • เช่น วิตามินซี, วิตามินอี, กลูตาไธโอน (Glutathione), และสารสกัดจากพืชต่างๆ ที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเชื่อว่าอาจช่วยลดความเสียหายของเซลล์ประสาท

ข้อควรระวังสำคัญ: อาหารเสริมไม่ใช่ยาและไม่สามารถใช้รักษาโรคพาร์กินสันได้ การรับประทานอาหารเสริมใดๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีโรคประจำตัว, กำลังรับประทานยาอื่นๆ อยู่, หรืออยู่ในช่วงฟื้นฟูจากโรคพาร์กินสัน การพึ่งพาอาหารเสริมเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้รับการรักษาทางการแพทย์ที่เหมาะสม อาจทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง



6. การดูแลตัวเองและแนวทางการป้องกัน: ก้าวเดินอย่างมั่นคงกับพาร์กินสัน

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีป้องกันโรคพาร์กินสันได้อย่างสมบูรณ์ แต่การดูแลสุขภาพทั่วไปอาจช่วยลดความเสี่ยงหรือชะลอการดำเนินของโรคได้:

  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: โดยเฉพาะการออกกำลังกายที่เน้นการทรงตัวและความยืดหยุ่น เช่น โยคะ, ไทเก๊ก, เดิน, เต้นรำ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นผัก, ผลไม้, ธัญพืชไม่ขัดสี, และหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป
  • ดื่มกาแฟหรือชา (ในปริมาณที่เหมาะสม): บางงานวิจัยชี้ว่าคาเฟอีนอาจลดความเสี่ยงได้
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารพิษ: เช่น ยาฆ่าแมลง, สารเคมีบางชนิด
  • ดูแลสุขภาพจิต: จัดการความเครียด และรักษาสุขภาพจิตให้ดี



7. การดูแลรักษาและใช้ชีวิตอยู่กับโรคพาร์กินสัน: เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด

การดูแลผู้ป่วยโรคพาร์กินสันต้องอาศัยความร่วมมือจากทีมแพทย์และคนในครอบครัว:

  • ปฏิบัติตามแผนการรักษาของแพทย์อย่างเคร่งครัด: ทั้งการรับประทานยาตามเวลาที่กำหนด และการทำกายภาพบำบัด
  • มาพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ: เพื่อประเมินอาการและปรับยา
  • ปรับสภาพแวดล้อมในบ้าน: เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงการล้ม เช่น ติดตั้งราวจับ, จัดเก็บของให้เป็นระเบียบ, ใช้พื้นกันลื่น
  • ส่งเสริมการเคลื่อนไหวและทำกิจกรรม: เพื่อรักษาความสามารถในการเคลื่อนไหวและลดความซึมเศร้า
  • ดูแลโภชนาการ: เลือกอาหารที่ย่อยง่าย, ดื่มน้ำให้เพียงพอ, ระวังภาวะท้องผูก
  • จัดการอาการที่ไม่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว: เช่น อาการซึมเศร้า, ปัญหาการนอนหลับ โดยปรึกษาแพทย์
  • ให้กำลังใจและทำความเข้าใจผู้ป่วย: การสนับสนุนทางจิตใจเป็นสิ่งสำคัญมาก

สรุป: พาร์กินสันจัดการได้ ด้วยความเข้าใจและการดูแลที่ถูกต้อง

โรคพาร์กินสันเป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอย่างมาก แม้จะยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้ แต่การวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่นๆ การรักษาด้วยยาที่เหมาะสม การทำกายภาพบำบัดอย่างสม่ำเสมอ และการดูแลจากครอบครัวและทีมแพทย์อย่างใกล้ชิด จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการ ชะลอการดำเนินของโรค และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างยั่งยืน


ข้อมูลอ้างอิงและข้อควรระวังสำคัญ:

  • ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลยาและนวัตกรรมทางการแพทย์ที่กล่าวมาข้างต้นมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาและให้ข้อมูลเท่านั้น การวินิจฉัยโรค การเลือกวิธีการรักษา การใช้ยา หรือการผ่าตัดใดๆ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาท (Neurologist) อย่างเคร่งครัด ห้ามวินิจฉัยโรคด้วยตนเอง หรือซื้อยาและเลือกการรักษาโดยไม่ปรึกษาแพทย์เด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงหรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้ แพทย์จะพิจารณาความเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย โดยคำนึงถึงประโยชน์และความเสี่ยง

แหล่งอ้างอิง:

  • ราชวิทยาลัยประสาทวิทยาแห่งประเทศไทย. (2565). แนวทางการวินิจฉัยและรักษาโรคพาร์กินสัน. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์เว็บไซต์ของราชวิทยาลัยฯ หรือหน้าคู่มือที่เกี่ยวข้อง)
  • กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. (2565). โรคพาร์กินสัน. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นหากมี)
  • โรงพยาบาลชั้นนำในประเทศไทย (เช่น โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, โรงพยาบาลรามาธิบดี). บทความให้ความรู้เกี่ยวกับโรคพาร์กินสัน. (ยกตัวอย่างบทความจากโรงพยาบาลที่น่าเชื่อถือ)
  • สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.). ข้อมูลยาที่ได้รับอนุมัติในประเทศไทย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์ที่เกี่ยวข้องหากต้องการ เช่น ฐานข้อมูลยา)

เรียบเรียงข้อมูลโดย  www.chulalakpharmacy.com

บทความที่คุณอาจสนใจ

  • แชร์

    สินค้าที่เกี่ยวข้อง

    No results found.

    ยังไม่มีบัญชี