โรคหอบหืด (Asthma): เมื่อหลอดลมตีบแคบ หายใจลำบาก สัญญาณเตือน การวินิจฉัย และแนวทางการดูแลเพื่อชีวิตที่ไร้ข้อจำกัด

ทำความเข้าใจโรคหอบหืดอย่างละเอียด! เรียนรู้สาเหตุ, สัญญาณเตือน (หายใจมีเสียงหวีด, แน่นหน้าอก, ไอ), แนวทางการวินิจฉัยด้วยการทดสอบการทำงานของปอด, นวัตกรรมการรักษาด้วยยาพ่นและยาชนิดอื่นๆ พร้อมวิธีป้องกันและใช้ชีวิตอยู่กับโรคหอบหืดอย่างมีคุณภาพ



โรคหอบหืด (Asthma) คืออะไร?

โรคหอบหืด (Asthma) คือภาวะอักเสบเรื้อรังของหลอดลม ทำให้หลอดลมของผู้ป่วยมีความไวผิดปกติและตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นต่างๆ มากกว่าคนทั่วไป เมื่อสัมผัสกับสิ่งกระตุ้น หลอดลมจะเกิดการหดเกร็ง บวม และมีการสร้างเสมหะมากขึ้น ส่งผลให้ทางเดินหายใจตีบแคบลง ทำให้เกิดอาการหายใจลำบาก หอบเหนื่อย หายใจมีเสียงหวีด ไอ และแน่นหน้าอก

โรคหอบหืดเป็นโรคเรื้อรังที่ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมอาการและป้องกันการกำเริบของโรคได้ด้วยการดูแลที่เหมาะสม ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีและใช้ชีวิตได้ตามปกติหากได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง รวมถึงหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการ



1. สัญญาณเตือนของโรคหอบหืด: เมื่อการหายใจเริ่มมีปัญหา

อาการของโรคหอบหืดสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง และความรุนแรงของอาการอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล อาการที่พบบ่อย ได้แก่:

  • หายใจมีเสียงหวีด (Wheezing): เป็นเสียงคล้ายผิวปาก หรือเสียงวี้ดๆ ขณะหายใจออก เกิดจากอากาศผ่านหลอดลมที่ตีบแคบ
  • ไอเรื้อรัง (Chronic Cough): มักไอแห้งๆ โดยเฉพาะตอนกลางคืน หรือเมื่อสัมผัสกับสิ่งกระตุ้น
  • แน่นหน้าอก (Chest Tightness): รู้สึกเหมือนมีอะไรมารัดหรือบีบรัดบริเวณหน้าอก
  • หายใจลำบาก หรือหอบเหนื่อย (Shortness of Breath): โดยเฉพาะเมื่อออกแรง หรือมีอาการกำเริบ
  • อาการแย่ลงในเวลากลางคืน หรือตอนเช้าตรู่: เป็นลักษณะเฉพาะของโรคหอบหืด
  • อาการแย่ลงเมื่อเจอสิ่งกระตุ้น: เช่น ฝุ่น, ควัน, อากาศเย็น, สารก่อภูมิแพ้, การออกกำลังกาย, การติดเชื้อทางเดินหายใจ

หากคุณมีอาการเหล่านี้บ่อยครั้ง หรืออาการรุนแรงขึ้น ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษา



2. สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคหอบหืด: ทำไมหลอดลมถึงไวเกิน?

โรคหอบหืดเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งปัจจัยทางพันธุกรรมและปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม:

  • 2.1 พันธุกรรม (Genetics):
    • หากมีคนในครอบครัว (พ่อแม่, พี่น้อง) เป็นโรคหอบหืด หรือโรคภูมิแพ้อื่นๆ (เช่น ภูมิแพ้จมูก, ผื่นแพ้ผิวหนัง) จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น
  • 2.2 ภาวะภูมิแพ้ (Allergies/Atopy):
    • ผู้ป่วยหอบหืดส่วนใหญ่มักมีประวัติภูมิแพ้ร่วมด้วย โดยหลอดลมจะไวต่อสารก่อภูมิแพ้ต่างๆ
  • 2.3 สารก่อภูมิแพ้ (Allergens):
    • ไรฝุ่น (Dust Mites): เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด
    • ขนสัตว์ (Pet Dander): จากสุนัข, แมว
    • ละอองเกสรดอกไม้ (Pollen):
    • เชื้อรา (Mold):
    • แมลงสาบ (Cockroach Allergens):
  • 2.4 สารระคายเคือง (Irritants):
    • ควันบุหรี่ (Tobacco Smoke): ทั้งผู้สูบเองและควันบุหรี่มือสอง
    • มลพิษทางอากาศ (Air Pollution): ฝุ่น PM2.5, ควันพิษจากท่อไอเสียรถยนต์, โรงงาน
    • สารเคมีในสถานที่ทำงาน (Occupational Exposures): เช่น สารเคมีบางชนิด, ฝุ่นจากไม้, แป้ง, ยาง
    • กลิ่นฉุนต่างๆ: น้ำหอม, สเปรย์, น้ำยาทำความสะอาด
    • อากาศเย็นและแห้ง:
  • 2.5 การติดเชื้อทางเดินหายใจ (Respiratory Infections):
    • ไข้หวัด, ไข้หวัดใหญ่, หลอดลมอักเสบ สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการหอบหืดกำเริบได้
  • 2.6 การออกกำลังกาย (Exercise-Induced Asthma):
    • บางคนมีอาการหอบหืดกำเริบเมื่อออกกำลังกายหนักๆ โดยเฉพาะในสภาพอากาศเย็นหรือแห้ง
  • 2.7 โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease – GERD):
    • กรดที่ไหลย้อนขึ้นมาอาจระคายเคืองหลอดลมและกระตุ้นอาการหอบหืด
  • 2.8 ยาบางชนิด:
    • ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น Aspirin, Ibuprofen
    • ยาปิดกั้นเบต้า (Beta-blockers)
  • 2.9 โรคอ้วน (Obesity):
    • อาจเพิ่มความเสี่ยงและความรุนแรงของโรคหอบหืด



3. การวินิจฉัยโรคหอบหืด: ตรวจอย่างไรให้รู้ทันภาวะหลอดลม?

การวินิจฉัยโรคหอบหืดทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ (แพทย์อายุรแพทย์โรคปอดและทางเดินหายใจ หรือกุมารแพทย์โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน) โดยอาศัยการตรวจหลายอย่างร่วมกัน:

  • การซักประวัติ (Clinical History):
    • แพทย์จะซักถามอาการอย่างละเอียด, ความถี่และความรุนแรงของอาการ, สิ่งกระตุ้น, ประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว, และประวัติการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้หรือสารระคายเคือง

  • การตรวจร่างกาย (Physical Examination):
    • ฟังเสียงปอด โดยเฉพาะเสียงหวีด (Wheezing)

  • การทดสอบสมรรถภาพปอด (Pulmonary Function Tests – PFTs) หรือ Spirometry:
    • เป็นการตรวจมาตรฐานที่สำคัญที่สุด ในการวินิจฉัยโรคหอบหืด
    • ผู้ป่วยจะถูกขอให้หายใจเข้าลึกๆ แล้วเป่าลมออกให้แรงและเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ผ่านเครื่องมือ
    • ค่าที่สำคัญคือ FEV1 (Forced Expiratory Volume in 1 second) ซึ่งวัดปริมาณลมที่เป่าออกได้ใน 1 วินาทีแรก และ FVC (Forced Vital Capacity) ซึ่งวัดปริมาณลมทั้งหมดที่เป่าออกได้
    • แพทย์จะทำการทดสอบซ้ำหลังจากให้ยาขยายหลอดลม (Bronchodilator) เพื่อดูว่าค่าสมรรถภาพปอดดีขึ้นหรือไม่ ซึ่งเป็นลักษณะจำเพาะของโรคหอบหืด

  • การทดสอบความไวของหลอดลม (Bronchial Provocation Test/Methacholine Challenge Test):
    • ใช้ในกรณีที่สมรรถภาพปอดปกติ แต่อาการยังบ่งชี้ถึงโรคหอบหืด โดยให้ผู้ป่วยสูดดมสารกระตุ้น (เช่น Methacholine) ในปริมาณน้อยๆ แล้ววัดสมรรถภาพปอด เพื่อดูว่าหลอดลมไวผิดปกติหรือไม่

  • การตรวจหาปริมาณสารก่อภูมิแพ้ (Allergy Testing):
    • เช่น การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง (Skin Prick Test) หรือการตรวจเลือดหา IgE เฉพาะเจาะจง เพื่อระบุสารก่อภูมิแพ้ที่ผู้ป่วยแพ้

  • การตรวจ Peak Expiratory Flow (PEF) ด้วยเครื่อง Peak Flow Meter:
    • ผู้ป่วยสามารถใช้เครื่องมือนี้ที่บ้านเพื่อวัดปริมาณลมที่เป่าออกได้สูงสุด เพื่อติดตามอาการและประเมินความรุนแรงของการกำเริบของโรค



4. เภสัชจุลศาลและนวัตกรรมการแพทย์: แนวทางการดูแลรักษาโรคหอบหืด

การรักษาโรคหอบหืดมีเป้าหมายเพื่อควบคุมอาการ, ป้องกันการกำเริบของโรค, ลดความจำเป็นในการใช้ยาฉุกเฉิน, และช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งจะประกอบด้วยการหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นและการใช้ยา

4.1 ยาที่ใช้รักษาโรคหอบหืด (Asthma Medications)

การใช้ยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรอย่างเคร่งครัด ยาสำหรับโรคหอบหืดแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก คือ ยาควบคุมอาการ (Controller Medications) และยาบรรเทาอาการเฉียบพลัน (Reliever Medications)

  • 4.1.1 ยาควบคุมอาการ หรือยาป้องกัน (Controller Medications):
    • เป็นยาที่ใช้เป็นประจำทุกวัน เพื่อลดการอักเสบเรื้อรังของหลอดลม และป้องกันอาการกำเริบ แม้ไม่มีอาการก็ต้องใช้ต่อเนื่อง
    • ยากลุ่มสเตียรอยด์ชนิดพ่น (Inhaled Corticosteroids – ICS):
      • เป็นยาหลักในการควบคุมโรคหอบหืด ออกฤทธิ์ลดการอักเสบในหลอดลมโดยตรง
      • ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: Budesonide (เช่น Pulmicort), Fluticasone (เช่น Flovent, Flixotide)
      • ข้อควรพิจารณา: ควรพ่นยาให้ถูกวิธี และบ้วนปากหลังพ่นยาเสมอ เพื่อลดผลข้างเคียง เช่น เชื้อราในช่องปาก

    • ยาขยายหลอดลมชนิดออกฤทธิ์นาน (Long-Acting Beta Agonists – LABA):
      • ช่วยขยายหลอดลม ออกฤทธิ์ได้นาน มักใช้ร่วมกับ ICS ในยาพ่นชนิดรวม (Combination Inhalers)
      • ตัวอย่างยาพ่นชนิดรวม: Seretide (Fluticasone + Salmeterol), Symbicort (Budesonide + Formoterol), Relvar Ellipta (Fluticasone Furoate + Vilanterol)

    • ยาปฏิชีวนะชนิดเม็ด (Leukotriene Receptor Antagonists – LTRAs):
      • ช่วยลดการอักเสบและลดการตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้ เหมาะสำหรับผู้ป่วยบางรายที่ควบคุมอาการไม่ได้ด้วย ICS หรือมีโรคภูมิแพ้อื่นๆ ร่วมด้วย
      • ตัวอย่างยี่ห้อ: Montelukast (เช่น Singulair)

    • ยาชีววัตถุ (Biologics):
      • เป็นยาฉีดสำหรับผู้ป่วยหอบหืดชนิดรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาอื่นๆ ออกฤทธิ์ยับยั้งกลไกเฉพาะเจาะจงของภูมิคุ้มกันที่ทำให้เกิดการอักเสบของหลอดลม
      • ตัวอย่างยี่ห้อ: Omalizumab (เช่น Xolair), Mepolizumab (เช่น Nucala), Benralizumab (เช่น Fasenra), Dupilumab (เช่น Dupixent)

  • 4.1.2 ยาบรรเทาอาการเฉียบพลัน หรือยาฉุกเฉิน (Reliever Medications):
    • เป็นยาที่ใช้เมื่อมีอาการหอบหืดกำเริบอย่างเฉียบพลัน เพื่อช่วยขยายหลอดลมอย่างรวดเร็ว
    • ยาขยายหลอดลมชนิดออกฤทธิ์เร็ว (Short-Acting Beta Agonists – SABA):
      • ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: Salbutamol (เช่น Ventolin)
      • ข้อควรพิจารณา: หากต้องใช้ยา SABA บ่อยๆ (มากกว่า 2 ครั้งต่อสัปดาห์ ไม่รวมก่อนออกกำลังกาย) แสดงว่าโรคยังควบคุมได้ไม่ดี ควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับแผนการรักษา

ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลยาที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างและเพื่อการศึกษาเท่านั้น การใช้ยาใดๆ ต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำและการดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรอย่างเคร่งครัด ห้ามซื้อยาหรือปรับขนาดยาเองเด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงหรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้



4.2 นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการแพทย์ในการรักษาและป้องกันโรคหอบหืด

  • เครื่องพ่นยาที่พัฒนาขึ้น: เช่น Nebulizer แบบพกพา, เครื่องพ่นยาแบบผงแห้ง (DPI), หรือเครื่องพ่นยาแบบมีโดส (MDI) ที่ใช้งานง่ายและมีประสิทธิภาพ
  • แอปพลิเคชันสำหรับผู้ป่วยหอบหืด: ช่วยในการติดตามอาการ, บันทึกการใช้ยา, ตั้งเตือนการพ่นยา, และให้ข้อมูลความรู้
  • เทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยที่แม่นยำขึ้น: เพื่อระบุสารก่อภูมิแพ้หรือสิ่งกระตุ้นได้อย่างเฉพาะเจาะจง
  • การศึกษาและวิจัยยาชีววัตถุใหม่ๆ: ที่มีเป้าหมายเฉพาะเจาะจงมากขึ้นและมีประสิทธิภาพในการควบคุมโรคหอบหืดชนิดรุนแรง
  • การให้ความรู้ผู้ป่วย (Asthma Education): การสร้างแผนปฏิบัติการสำหรับโรคหอบหืด (Asthma Action Plan) ร่วมกับแพทย์ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถจัดการอาการได้เองเมื่อมีอาการกำเริบ



5. การดูแลตัวเองและแนวทางการป้องกัน: จัดการสิ่งแวดล้อมเพื่อปอดที่ดี

การป้องกันอาการกำเริบของโรคหอบหืดทำได้โดยการหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นและการดูแลสุขภาพปอด:

  • หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น (Avoid Triggers):
    • ทำความสะอาดบ้านบ่อยๆ เพื่อลดไรฝุ่น (โดยเฉพาะห้องนอน, ที่นอน, หมอน)
    • ใช้ผ้าปูที่นอนกันไรฝุ่น
    • หลีกเลี่ยงการเลี้ยงสัตว์เลี้ยง หากแพ้ขนสัตว์
    • หลีกเลี่ยงควันบุหรี่, มลพิษทางอากาศ, กลิ่นฉุนต่างๆ
    • สวมหน้ากากอนามัยเมื่อต้องอยู่ในบริเวณที่มีฝุ่นหรือมลพิษ

  • ดูแลสุขภาพทั่วไป:
    • ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี
    • รักษาสุขอนามัยที่ดี เพื่อป้องกันการติดเชื้อทางเดินหายใจ
    • ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม: ปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกรูปแบบการออกกำลังกายที่ไม่กระตุ้นอาการหอบหืด
    • ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม

  • จัดการโรคที่เกี่ยวข้อง:
    • รักษาโรคภูมิแพ้จมูกอักเสบ (Allergic Rhinitis) หรือโรคกรดไหลย้อน (GERD) ที่อาจกระตุ้นอาการหอบหืด



6. การดูแลรักษาและใช้ชีวิตอยู่กับโรคหอบหืด: หายใจได้อย่างเต็มปอด

เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคหอบหืดแล้ว การดูแลอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญ:

  • ใช้ยาควบคุมอาการอย่างสม่ำเสมอ: ตามที่แพทย์สั่ง แม้ไม่มีอาการก็ตาม
  • พกพายาบรรเทาอาการฉุกเฉินเสมอ: และเรียนรู้วิธีใช้ที่ถูกต้อง
  • มาพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามอาการ: และปรับแผนการรักษาหากจำเป็น
  • เรียนรู้และทำความเข้าใจ Asthma Action Plan: ที่ทำร่วมกับแพทย์ เพื่อจัดการอาการกำเริบได้ด้วยตนเอง
  • หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นให้มากที่สุด:
  • สังเกตอาการของตนเอง: และบันทึกอาการหรือการใช้ยาฉุกเฉิน เพื่อให้แพทย์ประเมินการควบคุมโรค
  • ไม่ควรหยุดยาเอง: หากสงสัยว่ายาไม่ได้ผลหรือมีผลข้างเคียง ควรปรึกษาแพทย์
  • ให้ความรู้คนรอบข้าง: เช่น สมาชิกในครอบครัว, เพื่อน, ครู เกี่ยวกับโรคหอบหืดและการช่วยเหลือเมื่อมีอาการกำเริบ

สรุป: โรคหอบหืดควบคุมได้ ด้วยความรู้และการดูแลที่ใส่ใจ

โรคหอบหืดเป็นภาวะเรื้อรังของระบบทางเดินหายใจที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย แต่สามารถควบคุมและจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ การตระหนักรู้ถึงอาการ การวินิจฉัยที่ถูกต้อง การใช้ยาควบคุมอาการอย่างสม่ำเสมอ การหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น และการเรียนรู้ที่จะจัดการกับอาการกำเริบด้วยตนเอง คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยโรคหอบหืดสามารถหายใจได้อย่างอิสระ มีคุณภาพชีวิตที่ดี และใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่


ข้อมูลอ้างอิงและข้อควรระวังสำคัญ:

  • ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลยาและนวัตกรรมทางการแพทย์ที่กล่าวมาข้างต้นมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาและให้ข้อมูลเท่านั้น การวินิจฉัยโรค การเลือกวิธีการรักษา หรือการใช้ยาใดๆ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ (เช่น แพทย์อายุรแพทย์โรคปอดและทางเดินหายใจ, กุมารแพทย์โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน) อย่างเคร่งครัด ห้ามวินิจฉัยโรคด้วยตนเอง หรือซื้อยาและปรับขนาดยาเองเด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงหรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้ แพทย์จะพิจารณาความเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย โดยคำนึงถึงประโยชน์และความเสี่ยง

  • แหล่งอ้างอิง:
    • ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย. (2565). แนวทางการวินิจฉัยและรักษาโรคหอบหืด. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์เว็บไซต์ของราชวิทยาลัยฯ หรือหน้าคู่มือที่เกี่ยวข้อง)
    • สมาคมโรคภูมิแพ้ โรคหืด และวิทยาภูมิคุ้มกันแห่งประเทศไทย. (2565). โรคหอบหืด. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นหากมี)
    • โรงพยาบาลชั้นนำในประเทศไทย (เช่น โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, โรงพยาบาลรามาธิบดี). บทความให้ความรู้เกี่ยวกับโรคหอบหืด. (ยกตัวอย่างบทความจากโรงพยาบาลที่น่าเชื่อถือ)
    • สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.). ข้อมูลยาที่ได้รับอนุมัติในประเทศไทย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์ที่เกี่ยวข้องหากต้องการ เช่น ฐานข้อมูลยา)

เรียบเรียงข้อมูลโดย ( Compiled by): www.chulalakpharmacy.com


บทความที่คุณอาจสนใจ

  • แชร์

    สินค้าที่เกี่ยวข้อง

    No results found.

    ยังไม่มีบัญชี