ทำความเข้าใจโรคอ้วนอย่างลึกซึ้ง! รู้จักดัชนีมวลกาย, สาเหตุ, ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง, นวัตกรรมการรักษาทางการแพทย์, พร้อมแนวทางการลดน้ำหนักอย่างปลอดภัยและยั่งยืน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า
หัวข้อสำคัญ
Toggle
โรคอ้วนคืออะไร? เมื่อร่างกายมีไขมันสะสมมากเกินไป
โรคอ้วนไม่ใช่แค่เรื่องของรูปร่าง แต่คือภาวะที่ร่างกายมีการสะสมไขมันมากเกินปกติ จนอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ มากมาย เป็นภาวะเรื้อรังที่ซับซ้อนและมีสาเหตุหลายปัจจัย โดยทั่วไปเราจะประเมินภาวะอ้วนจาก ดัชนีมวลกาย (Body Mass Index – BMI) ซึ่งคำนวณจากน้ำหนักตัว (กิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (เมตร) ยกกำลังสอง:
- น้ำหนักปกติ: BMI 18.5 – 22.9 กก./ตร.ม.
- น้ำหนักเกิน: BMI 23.0 – 24.9 กก./ตร.ม.
- โรคอ้วนระดับ 1: BMI 25.0 – 29.9 กก./ตร.ม.
- โรคอ้วนระดับ 2: BMI ≥ 30.0 กก./ตร.ม.
ในปัจจุบัน โรคอ้วนกำลังเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยด้วย เนื่องจากเป็นประตูสู่โรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่นๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคมะเร็งบางชนิด
1. สาเหตุของโรคอ้วน: อะไรที่ทำให้คุณมีน้ำหนักเกิน?
โรคอ้วนมักเกิดจากความไม่สมดุลระหว่างพลังงานที่ได้รับกับพลังงานที่ใช้ไป โดยมีปัจจัยส่งเสริมหลายอย่าง:
- พฤติกรรมการกิน:
- การบริโภคพลังงานเกิน: กินอาหารที่มีพลังงานสูง (High Calories) มากกว่าที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน
- อาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ: การกินอาหารที่มีไขมันสูง, น้ำตาลสูง, แป้งขัดขาว, และอาหารแปรรูป
- กินจุบจิบ หรือกินดึก: ทำให้ร่างกายสะสมพลังงานส่วนเกิน
- การขาดการออกกำลังกาย: ใช้ชีวิตแบบนั่งๆ นอนๆ (Sedentary Lifestyle) ขาดกิจกรรมทางกาย ทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้น้อยลง
- พันธุกรรม: บางคนอาจมีปัจจัยทางพันธุกรรมที่ส่งผลต่อการเผาผลาญพลังงาน การสะสมไขมัน หรือความอยากอาหาร
- ปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจ: การเข้าถึงอาหารสุขภาพที่จำกัด, วิถีชีวิตที่เร่งรีบ, หรือสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการออกกำลังกาย
- ปัญหาทางการแพทย์:
- โรคทางฮอร์โมน: เช่น ภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ (Hypothyroidism), กลุ่มอาการคุชชิง (Cushing’s Syndrome)
- ยาบางชนิด: เช่น ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์, ยาแก้ซึมเศร้าบางชนิด, ยาเบาหวานบางชนิด อาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น
- การนอนหลับไม่เพียงพอ: ส่งผลกระทบต่อฮอร์โมนที่ควบคุมความอยากอาหารและการเผาผลาญ
- ความเครียด: บางคนอาจกินอาหารมากขึ้นเพื่อรับมือกับความเครียด
2. ภาวะแทรกซ้อนของโรคอ้วน: ภัยร้ายที่ซ่อนอยู่
โรคอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่นำไปสู่ปัญหาสุขภาพเรื้อรังและภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงมากมาย:
- โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs):
- โรคเบาหวานชนิดที่ 2: ภาวะดื้อต่ออินซูลินมักพบในผู้ป่วยโรคอ้วน
- โรคความดันโลหิตสูง: หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นในการสูบฉีดเลือด
- ไขมันในเลือดสูง: ทั้ง LDL-C (ไขมันไม่ดี) และไตรกลีเซอไรด์สูง
- โรคหัวใจและหลอดเลือด: เพิ่มความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ, หัวใจวาย, และโรคหลอดเลือดสมอง
- ปัญหาระบบทางเดินหายใจ:
- ภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (Obstructive Sleep Apnea – OSA): ทำให้คุณภาพการนอนแย่ลงและเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ
- หอบหืด: อาการอาจแย่ลงในผู้ป่วยโรคอ้วน
- ปัญหาทางเดินอาหาร:
- ภาวะกรดไหลย้อน (GERD): ไขมันสะสมบริเวณหน้าท้องเพิ่มแรงดันในช่องท้อง
- นิ่วในถุงน้ำดี: การเปลี่ยนแปลงของโคเลสเตอรอลในน้ำดี
- ไขมันพอกตับ (Non-alcoholic Fatty Liver Disease – NAFLD): อาจนำไปสู่ตับแข็งและมะเร็งตับ
- ปัญหากระดูกและข้อ:
- โรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis): โดยเฉพาะที่เข่าและสะโพก เนื่องจากน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นสร้างภาระให้กับข้อต่อ
- โรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis): โดยเฉพาะที่เข่าและสะโพก เนื่องจากน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นสร้างภาระให้กับข้อต่อ
- โรคมะเร็งบางชนิด: เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่, มะเร็งเต้านม (ในหญิงวัยหมดประจำเดือน), มะเร็งรังไข่, มะเร็งตับ
- ปัญหาด้านจิตใจและสังคม: ความนับถือในตนเองต่ำ, ภาวะซึมเศร้า, การถูกตีตราทางสังคม
3. การวินิจฉัยโรคอ้วน: วัดค่า BMI ของคุณได้ง่ายๆ
การวินิจฉัยโรคอ้วนทำได้โดยการคำนวณ ดัชนีมวลกาย (BMI) และการวัดรอบเอว เพื่อประเมินปริมาณไขมันในช่องท้อง ซึ่งเป็นไขมันอันตรายที่สัมพันธ์กับความเสี่ยงของโรคต่างๆ:
- การคำนวณ BMI:
- BMI = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) / [ส่วนสูง (เมตร) x ส่วนสูง (เมตร)]
- การวัดรอบเอว:
- ผู้ชาย: รอบเอวไม่ควรเกิน 90 เซนติเมตร (36 นิ้ว)
- ผู้หญิง: รอบเอวไม่ควรเกิน 80 เซนติเมตร (32 นิ้ว)
- การประเมินองค์ประกอบร่างกาย (Body Composition Analysis): บางครั้งอาจมีการตรวจเพิ่มเติม เช่น การใช้เครื่องวิเคราะห์องค์ประกอบร่างกาย (Body Composition Analyzer) หรือการวัดไขมันใต้ผิวหนัง เพื่อประเมินปริมาณไขมันและกล้ามเนื้อในร่างกาย
SEO Tip: การใช้คำว่า “คำนวณ BMI”, “BMI เท่าไหร่ถึงอ้วน”, “วัดรอบเอว” จะช่วยให้ผู้ที่กำลังค้นหาวิธีประเมินภาวะอ้วนพบข้อมูลของคุณ

4. เภสัชจุลศาลและนวัตกรรมการแพทย์: ทางเลือกใหม่ในการจัดการโรคอ้วน
นอกเหนือจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการลดน้ำหนักแล้ว วิทยาการทางการแพทย์ในปัจจุบันยังได้พัฒนายาและนวัตกรรมต่างๆ เพื่อช่วยให้การลดน้ำหนักเป็นไปได้ง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นสำหรับผู้ป่วยบางราย
4.1 ยาลดน้ำหนักที่ได้รับการรับรองในไทย
การใช้ยาลดน้ำหนักควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น และใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะอ้วนหรือน้ำหนักเกินร่วมกับโรคแทรกซ้อน โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมยังคงเป็นสิ่งจำเป็นควบคู่กันไป
- กลุ่มยาที่ออกฤทธิ์ลดความอยากอาหาร/เพิ่มการอิ่ม:
- Liraglutide (ลิรากลูไทด์): เป็นยาฉีดที่ออกฤทธิ์เลียนแบบฮอร์โมน GLP-1 (Glucagon-Like Peptide-1) ซึ่งช่วยควบคุมความอยากอาหาร เพิ่มความรู้สึกอิ่ม และชะลอการบีบตัวของกระเพาะอาหาร ทำให้ทานอาหารได้น้อยลง มักใช้ในผู้ป่วยโรคอ้วนที่ไม่มีเบาหวานร่วมด้วย (โดย Liraglutide ในขนาดต่ำใช้รักษาเบาหวาน)
- ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: Saxenda
- ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: Saxenda
- Semaglutide (เซมากลูไทด์): เป็นยาฉีดที่ออกฤทธิ์คล้าย Liraglutide แต่มีประสิทธิภาพในการลดน้ำหนักและควบคุมน้ำตาลได้ดีกว่า และฉีดเพียงสัปดาห์ละครั้ง ปัจจุบันมีทั้งรูปแบบยาฉีดและชนิดรับประทาน (สำหรับเบาหวาน)
- ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: Wegovy (สำหรับลดน้ำหนักโดยตรง, อาจยังไม่แพร่หลายในไทยเท่า Ozempic ที่ใช้สำหรับเบาหวานและมีผลลดน้ำหนัก), Ozempic (ใช้สำหรับเบาหวานแต่มีผลลดน้ำหนัก)
- ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: Wegovy (สำหรับลดน้ำหนักโดยตรง, อาจยังไม่แพร่หลายในไทยเท่า Ozempic ที่ใช้สำหรับเบาหวานและมีผลลดน้ำหนัก), Ozempic (ใช้สำหรับเบาหวานแต่มีผลลดน้ำหนัก)
- Phentermine (เฟนเทอร์มีน) / Topiramate (โทพิราเมท) combination: เป็นยาที่ต้องควบคุมอย่างเข้มงวด ออกฤทธิ์ลดความอยากอาหารและควบคุมการเผาผลาญ
- ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: ยาเม็ดผสมตามใบสั่งแพทย์
- ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: ยาเม็ดผสมตามใบสั่งแพทย์
- Liraglutide (ลิรากลูไทด์): เป็นยาฉีดที่ออกฤทธิ์เลียนแบบฮอร์โมน GLP-1 (Glucagon-Like Peptide-1) ซึ่งช่วยควบคุมความอยากอาหาร เพิ่มความรู้สึกอิ่ม และชะลอการบีบตัวของกระเพาะอาหาร ทำให้ทานอาหารได้น้อยลง มักใช้ในผู้ป่วยโรคอ้วนที่ไม่มีเบาหวานร่วมด้วย (โดย Liraglutide ในขนาดต่ำใช้รักษาเบาหวาน)
- กลุ่มยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการดูดซึมไขมัน:
- Orlistat (ออร์ลิสแตท): ยับยั้งเอนไซม์ไลเปสในทางเดินอาหาร ทำให้ร่างกายดูดซึมไขมันจากอาหารได้น้อยลง ไขมันส่วนเกินจะถูกขับออกทางอุจจาระ
- ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: Xenical
- ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: Xenical
- Orlistat (ออร์ลิสแตท): ยับยั้งเอนไซม์ไลเปสในทางเดินอาหาร ทำให้ร่างกายดูดซึมไขมันจากอาหารได้น้อยลง ไขมันส่วนเกินจะถูกขับออกทางอุจจาระ
ข้อควรระวังสำคัญ: ยาลดน้ำหนักที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง และต้องใช้ภายใต้การวินิจฉัยและคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น การซื้อยาหรือใช้ยาโดยไม่ปรึกษาแพทย์อาจเป็นอันตรายร้ายแรง และยาเหล่านี้อาจมีผลข้างเคียงที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
4.2 นวัตกรรมและหัตถการทางการแพทย์เพื่อการรักษาโรคอ้วน
- การผ่าตัดลดน้ำหนัก (Bariatric Surgery): เป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วยโรคอ้วนขั้นรุนแรง (BMI ≥ 35-40 กก./ตร.ม. หรือ BMI ≥ 30 กก./ตร.ม. ร่วมกับโรคร่วมที่รุนแรง) ที่ไม่สามารถลดน้ำหนักด้วยวิธีอื่นได้ผล เช่น การผ่าตัดกระเพาะอาหารแบบสลีฟ (Sleeve Gastrectomy) หรือการผ่าตัดบายพาสกระเพาะอาหาร (Roux-en-Y Gastric Bypass) การผ่าตัดเหล่านี้ช่วยจำกัดปริมาณอาหารที่รับประทานและ/หรือลดการดูดซึมสารอาหาร
- บอลลูนลดน้ำหนัก (Intragastric Balloon): เป็นหัตถการที่ไม่ต้องผ่าตัด โดยการสอดบอลลูนเข้าไปในกระเพาะอาหารเพื่อลดพื้นที่ในกระเพาะ ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้นและรับประทานอาหารได้น้อยลง บอลลูนจะถูกนำออกหลังจากระยะเวลาหนึ่ง
- การให้คำปรึกษาทางโภชนาการและการปรับพฤติกรรม (Medical Nutrition Therapy & Behavioral Therapy): แม้ไม่ใช่ยาหรือหัตถการโดยตรง แต่เป็นการรักษาที่สำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งมักทำควบคู่ไปกับการรักษาอื่นๆ โดยนักโภชนาการและนักจิตวิทยาจะช่วยออกแบบแผนการกินและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างยั่งยืน
5. แนวทางการลดน้ำหนักอย่างยั่งยืน: เริ่มต้นวันนี้เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น
การลดน้ำหนักที่ยั่งยืนและปลอดภัยต้องอาศัยความมุ่งมั่นและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างรอบด้าน:
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน:
- เลือกกินให้หลากหลายและสมดุล: เน้นผัก, ผลไม้, ธัญพืชไม่ขัดสี, โปรตีนไม่ติดมัน และไขมันดี
- ลดพลังงานจากอาหาร: ลดอาหารที่มีไขมันสูง, น้ำตาลสูง, เครื่องดื่มรสหวาน
- ควบคุมปริมาณ: กินให้พออิ่ม ไม่มากเกินไป ค่อยๆ ลดปริมาณอาหารในแต่ละมื้อ
- งดกินจุกจิก และกินดึก: กำหนดเวลาในการกินให้ชัดเจน
- จดบันทึกอาหาร: เพื่อติดตามปริมาณและชนิดของอาหารที่กิน
- เพิ่มการออกกำลังกาย:
- ออกกำลังกายแบบแอโรบิก: เช่น เดินเร็ว, วิ่ง, ว่ายน้ำ, ปั่นจักรยาน อย่างน้อย 150-300 นาทีต่อสัปดาห์
- ออกกำลังกายแบบสร้างกล้ามเนื้อ: อย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพราะกล้ามเนื้อช่วยเผาผลาญพลังงานได้ดี
- ลดพฤติกรรมเนือยนิ่ง: ลุกขึ้นเดิน ยืดเส้นยืดสายบ่อยๆ
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ: อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อให้ฮอร์โมนที่ควบคุมความอยากอาหารทำงานได้เป็นปกติ
- จัดการความเครียด: หาวิธีผ่อนคลายความเครียดที่เหมาะสม เช่น โยคะ, การทำสมาธิ, งานอดิเรก
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: การได้รับคำแนะนำจากแพทย์, นักโภชนาการ, หรือนักกายภาพบำบัด จะช่วยให้การลดน้ำหนักเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
6. การดูแลรักษาและใช้ชีวิตอยู่กับโรคอ้วน: การเดินทางสู่สุขภาพที่ดี
การจัดการโรคอ้วนเป็นการเดินทางระยะยาวที่ต้องอาศัยวินัยและความสม่ำเสมอ:
- กำหนดเป้าหมายที่สมจริง: การลดน้ำหนัก 5-10% ของน้ำหนักตัวก็สามารถเห็นผลดีต่อสุขภาพได้อย่างชัดเจนแล้ว
- ติดตามความคืบหน้า: ชั่งน้ำหนัก, วัดรอบเอว, และบันทึกพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกาย
- สร้างเครือข่ายสนับสนุน: พูดคุยกับครอบครัว เพื่อน หรือเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนผู้ลดน้ำหนัก
- อดทนและไม่ท้อแท้: การลดน้ำหนักอาจมีขึ้นมีลงเป็นเรื่องปกติ สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้จากความผิดพลาดและเริ่มต้นใหม่เสมอ
- ปรึกษาแพทย์อย่างสม่ำเสมอ: โดยเฉพาะหากมีการใช้ยาลดน้ำหนัก หรือมีภาวะแทรกซ้อน
สรุป: โรคอ้วนควบคุมได้ ด้วยความเข้าใจและวิถีชีวิตที่สมดุล
โรคอ้วนเป็นภาวะสุขภาพที่ซับซ้อน แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ ด้วยความรู้ที่ถูกต้อง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกายอย่างยั่งยืน การใช้ประโยชน์จาก เภสัชจุลศาลและนวัตกรรมการแพทย์ ภายใต้การดูแลของแพทย์ จะช่วยให้คุณสามารถลดน้ำหนักและรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมได้ เพื่อลดความเสี่ยงของโรคร้ายแรงต่างๆ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง เริ่มต้นดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้ เพื่อสุขภาพที่สมดุลและชีวิตที่ยืนยาว
ข้อมูลอ้างอิงและข้อควรระวังสำคัญ:
- ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลยาและหัตถการทางการแพทย์ที่กล่าวมาข้างต้นมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาและให้ข้อมูลเท่านั้น การใช้ยาหรือการพิจารณาทำหัตถการใดๆ ต้องอยู่ภายใต้การวินิจฉัย การดูแล และคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัด ห้ามซื้อยาหรือพยายามทำการรักษาด้วยตนเองเด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตได้ ยาหรือหัตถการแต่ละชนิดอาจมีข้อบ่งชี้ ข้อห้ามใช้ และผลข้างเคียงที่แตกต่างกัน แพทย์จะพิจารณาความเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย โดยคำนึงถึงประโยชน์และความเสี่ยง
แหล่งอ้างอิง:
- กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. (2565). โรคอ้วนลงพุง: คู่มือประชาชน. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: https://anamai.moph.go.th/th/health-info/157777 (คุณสามารถแทนที่ด้วยลิงก์ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นหากมี)
- สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับโรคอ้วน. (เนื่องจากโรคอ้วนเชื่อมโยงกับเบาหวาน อาจมีแนวทางจากสมาคมฯ นี้ หรือสมาคมโภชนาการฯ) [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (ระบุลิงก์เว็บไซต์ของสมาคมฯ หรือหน้าคู่มือที่เกี่ยวข้อง)
- โรงพยาบาลต่างๆ ในประเทศไทย เช่น โรงพยาบาลรามาธิบดี, โรงพยาบาลศิริราช. บทความให้ความรู้เกี่ยวกับโรคอ้วนและการจัดการน้ำหนัก. (ยกตัวอย่างบทความจากโรงพยาบาลที่น่าเชื่อถือ)
- สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.). ข้อมูลยาที่ได้รับอนุมัติในประเทศไทย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (ระบุลิงก์ที่เกี่ยวข้องหากต้องการ เช่น ฐานข้อมูลยา)
เรียบเรียงข้อมูลโดย www.chulalakpharmacy.com