กำลังสงสัยว่า เบาหวานคืออะไร หรือคุณเสี่ยงหรือไม่? ทำความเข้าใจ อาการเบาหวาน ที่สังเกตได้ สาเหตุ ที่แท้จริง พร้อมแนวทาง การรักษา และ การป้องกันเบาหวาน แบบครบวงจรเพื่อสุขภาพที่ดีของคุณ
คุณอาจเคยได้ยินคำว่า “เบาหวาน” บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นจากข่าวสาร คนรอบข้าง หรือแม้แต่ในชีวิตประจำวัน แต่คุณเข้าใจอย่างถ่องแท้หรือไม่ว่า เบาหวานคืออะไร กันแน่? โรคเบาหวาน หรือ Diabetes Mellitus ไม่ใช่แค่การมี น้ำตาลในเลือดสูง เท่านั้น แต่เป็นภาวะเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่ออวัยวะสำคัญทั่วร่างกาย หากไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้อง อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกทุกแง่มุมของโรคเบาหวาน ตั้งแต่ความหมาย อาการ สาเหตุ การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการป้องกัน เพื่อให้คุณมีความรู้ความเข้าใจ และสามารถดูแลตัวเองหรือคนที่คุณรักให้ห่างไกลจากโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หัวข้อสำคัญ
Toggle
เบาหวานคืออะไร?
โรคเบาหวาน คือภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาล (กลูโคส) ในเลือดสูงกว่าปกติอย่างเรื้อรัง [1] โดยปกติแล้ว ร่างกายจะใช้น้ำตาลกลูโคสที่ได้จากการกินอาหารเป็นแหล่งพลังงานหลัก ซึ่งฮอร์โมน อินซูลิน (Insulin) ที่ผลิตจากตับอ่อน มีหน้าที่สำคัญในการนำน้ำตาลจากกระแสเลือดเข้าสู่เซลล์ต่างๆ เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงาน
ในผู้ป่วยเบาหวาน กลไกนี้จะบกพร่องไป ซึ่งอาจเกิดจาก:
- ตับอ่อนผลิตอินซูลินไม่เพียงพอ: ทำให้มีอินซูลินไม่พอที่จะพาน้ำตาลเข้าสู่เซลล์
- เซลล์ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน (Insulin Resistance): แม้มีอินซูลินเพียงพอ แต่เซลล์ไม่ตอบสนองต่ออินซูลิน ทำให้ไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้ได้
- ทั้งสองสาเหตุร่วมกัน: เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด
เมื่อน้ำตาลไม่สามารถเข้าสู่เซลล์ได้ ก็จะคั่งอยู่ในกระแสเลือด ส่งผลให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรัง และหากปล่อยไว้นานๆ จะนำไปสู่ความเสียหายต่อหลอดเลือดและอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย
ประเภทของโรคเบาหวาน: คุณเป็นเบาหวานชนิดไหน?
เบาหวานแบ่งออกเป็นหลายชนิดหลักๆ ดังนี้ [1, 2]:
- 1. เบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes):
- เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไปทำลายเซลล์ที่ผลิตอินซูลินในตับอ่อน ทำให้ร่างกายผลิตอินซูลินได้น้อยมากหรือไม่ผลิตเลย
- มักพบในเด็กและวัยรุ่น แต่ก็สามารถเกิดในผู้ใหญ่ได้
- ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการฉีดอินซูลินเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลไปตลอดชีวิต
- 2. เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes):
- เป็นชนิดที่พบมากที่สุด (ประมาณ 90-95% ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด)
- เกิดจากการที่ร่างกายผลิตอินซูลินได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการ หรือเซลล์ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน หรือทั้งสองอย่างรวมกัน
- มักเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม น้ำหนักเกิน/อ้วน การขาดการออกกำลังกาย และการกินอาหารที่ไม่เหมาะสม
- มักพบในผู้ใหญ่ แต่ปัจจุบันพบมากขึ้นในเด็กและวัยรุ่น
- การรักษาเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อาจใช้ยารับประทาน และอาจต้องฉีดอินซูลินในระยะยาว
- 3. เบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes Mellitus – GDM):
- เป็นภาวะที่ตรวจพบว่ามีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นครั้งแรกขณะตั้งครรภ์
- เกิดจากฮอร์โมนการตั้งครรภ์ไปรบกวนการทำงานของอินซูลิน
- มักจะหายไปเองหลังคลอด แต่คุณแม่กลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคต
- มีความสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องควบคุมน้ำตาลให้ดีระหว่างตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่อทั้งแม่และทารก
- 4. เบาหวานชนิดอื่นๆ: เช่น เบาหวานที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม, โรคของตับอ่อน, การใช้ยาบางชนิด

อาการโรคเบาหวาน: สัญญาณเตือนที่คุณไม่ควรมองข้าม
อาการของโรคเบาหวานอาจค่อยๆ เกิดขึ้นอย่างช้าๆ หรือบางคนอาจไม่มีอาการใดๆ เลยในช่วงแรก ทำให้กว่าจะตรวจพบก็อาจมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นแล้ว [1, 3] อย่างไรก็ตาม สัญญาณเตือนที่พบบ่อย (มักเรียกว่า “4 P’s”) ได้แก่:
- ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ (Polyuria): โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนกลางคืน เนื่องจากร่างกายพยายามขับน้ำตาลส่วนเกินออกทางปัสสาวะ
- กระหายน้ำบ่อยและดื่มน้ำมากผิดปกติ (Polydipsia): เป็นผลมาจากการปัสสาวะบ่อย ทำให้ร่างกายขาดน้ำ
- หิวบ่อย กินจุ แต่น้ำหนักลดลง (Polyphagia + Weight Loss): แม้จะกินเยอะ แต่เซลล์นำน้ำตาลไปใช้ไม่ได้ ทำให้ร่างกายขาดพลังงาน และมีการเผาผลาญไขมัน/กล้ามเนื้อมาใช้แทน จึงทำให้น้ำหนักลดลงผิดปกติ
- อ่อนเพลีย ไม่มีแรง (Fatigue): ร่างกายได้รับพลังงานจากน้ำตาลไม่เพียงพอ
อาการอื่นๆ ที่อาจพบได้:
- ผิวหนังแห้ง คัน
- ตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัด
- ชาตามปลายมือปลายเท้า
- เป็นแผลแล้วหายยาก
- ติดเชื้อบ่อย เช่น เชื้อราในช่องคลอด หรือตามผิวหนัง
- อารมณ์หงุดหงิดง่าย
หากคุณมีอาการเหล่านี้ หรือสงสัยว่าตนเองอาจมีความเสี่ยง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองเบาหวานทันที
สาเหตุโรคเบาหวาน
สาเหตุของเบาหวานแต่ละชนิดจะแตกต่างกันไป แต่สำหรับเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งเป็นชนิดที่พบมากที่สุด ปัจจัยเสี่ยงหลักๆ ได้แก่ [1, 4]:
- พันธุกรรม: มีประวัติคนในครอบครัว (พ่อ แม่ พี่ น้อง) เป็นเบาหวาน
- น้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน: โดยเฉพาะผู้ที่มีไขมันสะสมบริเวณช่องท้องมาก
- ขาดการออกกำลังกาย: การใช้ชีวิตแบบนั่งๆ นอนๆ ทำให้ร่างกายไม่ไวต่ออินซูลิน
- การกินอาหารที่ไม่เหมาะสม: เช่น กินอาหารรสหวานจัด มันจัด เค็มจัด ขาดผักผลไม้และใยอาหาร
- อายุ: ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น (โดยเฉพาะตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป)
- ประวัติเบาหวานขณะตั้งครรภ์: คุณแม่ที่เคยเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคต
- มีภาวะความดันโลหิตสูงหรือไขมันในเลือดสูงร่วมด้วย
- ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) ในผู้หญิง
การวินิจฉัยเบาหวาน
การวินิจฉัยโรคเบาหวานทำได้โดยการตรวจเลือดเพื่อวัดระดับน้ำตาล ซึ่งมีเกณฑ์ดังนี้ [1, 5]:
- ระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร (Fasting Plasma Glucose – FPG):
- ปกติ: น้อยกว่า 100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร (mg/dL)
- เสี่ยงเบาหวาน (Prediabetes): 100-125 mg/dL
- เป็นเบาหวาน: 126 mg/dL ขึ้นไป (ต้องตรวจซ้ำ 2 ครั้ง หรือตรวจวิธีอื่นร่วม)
- ระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม (HbA1c หรือ A1C):
- เป็นค่าที่แสดงระดับน้ำตาลเฉลี่ยในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา
- ปกติ: น้อยกว่า 5.7%
- เสี่ยงเบาหวาน (Prediabetes): 5.7-6.4%
- เป็นเบาหวาน: 6.5% ขึ้นไป
- การทดสอบความทนทานต่อน้ำตาลกลูโคส (Oral Glucose Tolerance Test – OGTT):
- วัดระดับน้ำตาลในเลือด 2 ชั่วโมงหลังดื่มน้ำตาลกลูโคส 75 กรัม
- ปกติ: น้อยกว่า 140 mg/dL
- เสี่ยงเบาหวาน (Prediabetes): 140-199 mg/dL
- เป็นเบาหวาน: 200 mg/dL ขึ้นไป
- ระดับน้ำตาลในเลือด ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง (Random Plasma Glucose – RPG):
- ตรวจได้ทุกเวลา ไม่ต้องอดอาหาร
- เป็นเบาหวาน: 200 mg/dL ขึ้นไป ร่วมกับมีอาการของเบาหวาน
การรักษาโรคเบาหวาน ควบคุมน้ำตาลและป้องกันภาวะแทรกซ้อน
เป้าหมายหลักในการรักษาเบาหวานคือการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติหรือใกล้เคียงปกติมากที่สุด เพื่อป้องกันหรือชะลอการเกิดภาวะแทรกซ้อน [1, 6] แนวทางการรักษาประกอบด้วย:
- การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (Lifestyle Modification):
- โภชนาการที่เหมาะสม: กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นอาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น ผัก ผลไม้ไม่หวานจัด ธัญพืชไม่ขัดสี ลดอาหารหวาน มัน เค็ม ปรึกษานักโภชนาการเพื่อวางแผนการกิน
- การออกกำลังกายสม่ำเสมอ: ออกกำลังกายแบบแอโรบิกปานกลาง อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะๆ ว่ายน้ำ
- ควบคุมน้ำหนัก: ลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
- การใช้ยา (Medication):
- ยารับประทานลดระดับน้ำตาล: มีหลายชนิด ออกฤทธิ์แตกต่างกัน เช่น กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน, เพิ่มความไวของเซลล์ต่ออินซูลิน, ชะลอการดูดซึมน้ำตาล, หรือขับน้ำตาลออกทางปัสสาวะ
- ยาฉีดอินซูลิน: ใช้ในกรณีที่ยารับประทานไม่สามารถควบคุมน้ำตาลได้ดีพอ หรือในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1
- ยาฉีดลดระดับน้ำตาลชนิดอื่นๆ: เช่น ยาฉีดกลุ่ม GLP-1 Receptor Agonists ซึ่งช่วยควบคุมน้ำตาลและอาจช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย
- การตรวจติดตามระดับน้ำตาลด้วยตนเอง: ผู้ป่วยควรตรวจน้ำตาลปลายนิ้วตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อดูผลการควบคุมน้ำตาลและปรับยา/อาหารได้ทันท่วงที
- การตรวจสุขภาพตามนัดอย่างสม่ำเสมอ: พบแพทย์เพื่อตรวจระดับน้ำตาล ตรวจค่าน้ำตาลสะสม (HbA1c) และตรวจหาภาวะแทรกซ้อนที่ตา ไต เท้า และหัวใจ

การป้องกันโรคเบาหวาน
สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงเบาหวาน (Prediabetes) หรือผู้ที่ต้องการป้องกันโรคเบาหวานชนิดที่ 2 การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมคือหัวใจสำคัญ [1, 7]:
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ: หากคุณมีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน การลดน้ำหนักเพียง 5-7% ของน้ำหนักตัว ก็สามารถลดความเสี่ยงเบาหวานได้
- กินอาหารที่มีประโยชน์และสมดุล: เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี ลดปริมาณน้ำตาล ไขมัน และโซเดียม
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ และลดพฤติกรรมเนือยนิ่ง
- งดสูบบุหรี่และจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์: การสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงเบาหวานและภาวะแทรกซ้อน
- ตรวจสุขภาพและคัดกรองเบาหวานเป็นประจำ: โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง
ยารักษาโรคเบาหวานที่พบบ่อย
แบ่งตามกลไกการออกฤทธิ์หลัก:
1. กลุ่มยาที่ช่วยลดการสร้างน้ำตาลจากตับและเพิ่มความไวของอินซูลิน (Biguanides)
- ชื่อสามัญ: Metformin (เมทฟอร์มิน)
- เป็นยาเบาหวานชนิดเม็ดที่ใช้เป็นอันดับแรกในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ทั่วไป
- กลไกหลัก: ลดการสร้างน้ำตาลจากตับ และช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้ดีขึ้น
- ข้อดี: ลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี ไม่ทำให้น้ำตาลตก (หากใช้เป็นยาเดี่ยว) อาจช่วยลดน้ำหนักได้เล็กน้อย และมีราคาไม่แพง
- ผลข้างเคียงที่พบได้: ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง (มักเกิดในช่วงแรกและดีขึ้นเมื่อรับประทานยาไประยะหนึ่ง)
2. กลุ่มยาที่กระตุ้นการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อน (Sulfonylureas)
- ชื่อสามัญ: Glipizide (ไกลพิไซด์), Glibenclamide (ไกลเบนคลาไมด์), Gliclazide (ไกลคลาไซด์), Glimepiride (ไกลมีพิไรด์)
- กลไกหลัก: กระตุ้นให้ตับอ่อนหลั่งอินซูลินมากขึ้น
- ข้อดี: ลดระดับน้ำตาลในเลือดได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
- ผลข้างเคียงที่พบได้: น้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia), น้ำหนักเพิ่มขึ้น, ผื่นแพ้ยา
3. กลุ่มยาที่ช่วยเพิ่มการหลั่งอินซูลินแบบรวดเร็วและออกฤทธิ์สั้น (Meglitinides/Glinides)
- ชื่อสามัญ: Repaglinide (เรพากลินายด์), Nateglinide (นาเทกลินายด์)
- กลไกหลัก: คล้าย Sulfonylureas แต่มีฤทธิ์สั้นกว่าและออกฤทธิ์เร็ว เหมาะสำหรับควบคุมน้ำตาลหลังอาหาร
- ข้อดี: ลดน้ำตาลหลังอาหารได้ดี ลดความเสี่ยงน้ำตาลตกได้น้อยกว่า Sulfonylureas เมื่อรับประทานไม่ตรงมื้ออาหาร
- ผลข้างเคียงที่พบได้: น้ำตาลในเลือดต่ำ, น้ำหนักเพิ่มขึ้น
4. กลุ่มยาที่ออกฤทธิ์ที่ไตเพื่อขับน้ำตาลออกทางปัสสาวะ (SGLT2 Inhibitors)
- ชื่อสามัญ: Dapagliflozin (ดาพากลิโฟลซิน), Empagliflozin (เอมพากลิโฟลซิน), Canagliflozin (คานากลิโฟลซิน)
- กลไกหลัก: ยับยั้งการดูดกลับน้ำตาลที่ไต ทำให้น้ำตาลถูกขับออกทางปัสสาวะมากขึ้น
- ข้อดี: ช่วยลดน้ำตาล ลดน้ำหนัก ลดความดันโลหิต มีประโยชน์ต่อไตและหัวใจในผู้ป่วยบางราย
- ผลข้างเคียงที่พบได้: การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะหรือช่องคลอด (ยีสต์), ภาวะขาดน้ำ
5. กลุ่มยาที่ออกฤทธิ์เลียนแบบฮอร์โมน GLP-1 (GLP-1 Receptor Agonists)
- ชื่อสามัญ: Liraglutide (ลิรากลูไทด์), Semaglutide (เซมากลูไทด์) (มีทั้งรูปแบบฉีดและเม็ด)
- กลไกหลัก: กระตุ้นการหลั่งอินซูลินเมื่อมีระดับน้ำตาลสูง ลดการหลั่งกลูคากอน ชะลอการบีบตัวของกระเพาะอาหาร ทำให้รู้สึกอิ่ม
- ข้อดี: ลดระดับน้ำตาลได้ดี ลดน้ำหนักได้มาก มีประโยชน์ต่อหัวใจและหลอดเลือด
- ผลข้างเคียงที่พบได้: คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ท้องผูก
6. กลุ่มยาที่ยับยั้งเอนไซม์ DPP-4 (DPP-4 Inhibitors หรือ Gliptins)
- ชื่อสามัญ: Sitagliptin (ซิทากลิปติน), Vildagliptin (วิลยากลิปติน), Saxagliptin (แซคซากลิปติน), Linagliptin (ลินากลิปติน)
- กลไกหลัก: ยับยั้งเอนไซม์ที่ทำลายฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมน้ำตาล (Incretin hormone) ทำให้ฮอร์โมนเหล่านี้ทำงานได้นานขึ้น
- ข้อดี: ลดระดับน้ำตาลได้ดี ไม่ทำให้น้ำตาลตก (หากใช้เป็นยาเดี่ยว) ไม่มีผลต่อน้ำหนัก
- ผลข้างเคียงที่พบได้: ปวดศีรษะ, ติดเชื้อในทางเดินหายใจส่วนบน, ข้ออักเสบ (พบได้น้อย)
7. อินซูลิน (Insulin)
- รูปแบบ: ยาฉีด
- กลไกหลัก: เป็นฮอร์โมนอินซูลินที่สังเคราะห์ขึ้นมา เพื่อทดแทนอินซูลินที่ร่างกายสร้างไม่ได้หรือสร้างไม่เพียงพอ
- มีหลายชนิด: ออกฤทธิ์เร็ว ออกฤทธิ์ปานกลาง ออกฤทธิ์นาน หรือผสมกัน
- ข้อดี: ลดระดับน้ำตาลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
- ผลข้างเคียงที่พบได้: น้ำตาลในเลือดต่ำ, น้ำหนักเพิ่มขึ้น, ปฏิกิริยาบริเวณที่ฉีด
ตัวอย่างยี่ห้อยากินแก้โรคเบาหวานที่พบบ่อย
นี่คือตัวอย่างชื่อยาทางการค้าของยารักษาเบาหวานชนิดรับประทานที่พบบ่อยในประเทศไทย โดยแบ่งตามกลุ่มยาครับ:
- กลุ่มยาที่ช่วยลดการสร้างน้ำตาลจากตับและเพิ่มความไวของอินซูลิน (Biguanides)
- ชื่อสามัญ: Metformin
- ตัวอย่างชื่อการค้า: Glucophage (กลูโคฟาจ), Metforin (เมทฟอริน), Metformin Taisho (เมทฟอร์มิน ไทโช่)
- กลุ่มยาที่กระตุ้นการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อน (Sulfonylureas)
- ชื่อสามัญ: Gliclazide, Glimepiride, Glyburide
- ตัวอย่างชื่อการค้า: Diamicron (ไดอะไมครอน – Gliclazide), Amaryl (อะมาริล – Glimepiride), Daonil (ดาว์นิล – Glibenclamide/Glyburide)

- กลุ่มยาที่ช่วยเพิ่มการหลั่งอินซูลินแบบรวดเร็วและออกฤทธิ์สั้น (Meglitinides)
- ชื่อสามัญ: Repaglinide, Nateglinide (Nateglinide อาจไม่มีจำหน่ายในไทยแล้วบางแหล่งข้อมูลระบุ)
- ตัวอย่างชื่อการค้า: Prandin (แพรนดิน – Repaglinide), Prandimet (แพรนดิเมท – Repaglinide), Glufast (กลูฟาส – Mitiglinide), Starlix (สตาร์ลิกซ์ – Nateglinide)
- กลุ่มยาที่ออกฤทธิ์ที่ไตเพื่อขับน้ำตาลออกทางปัสสาวะ (SGLT2 Inhibitors)
- ชื่อสามัญ: Dapagliflozin, Empagliflozin, Canagliflozin, Ipragliflozin
- ตัวอย่างชื่อการค้า: Farxiga/Forxiga (ฟอร์ซิก้า – Dapagliflozin), Jardiance (จาร์เดียนซ์ – Empagliflozin), Invokana (อินโวคาน่า – Canagliflozin), Canaglu (คานากลู – Canagliflozin), Suglat (ซูแกลท – Ipragliflozin)

- กลุ่มยาที่ยับยั้งเอนไซม์ DPP-4 (DPP-4 Inhibitors หรือ Gliptins)
- ชื่อสามัญ: Sitagliptin, Vildagliptin, Saxagliptin, Linagliptin, Alogliptin, Teneligliptin
- ตัวอย่างชื่อการค้า: Januvia (จานูเวีย – Sitagliptin), Galvus (กัลวัส – Vildagliptin), Onglyza (อองไกลซ่า – Saxagliptin), Tradjenta (ทราจเดนต้า – Linagliptin), Vipidia/Nesina (วิพิดี/เนซิน่า – Alogliptin), Tenelia (เทเนเลีย – Teneligliptin)

- กลุ่มยาที่ออกฤทธิ์เลียนแบบฮอร์โมน GLP-1 (GLP-1 Receptor Agonists)
- ชื่อสามัญ: Semaglutide (รูปแบบรับประทาน)
- ตัวอย่างชื่อการค้า (ชนิดรับประทาน): Rybelsus (ไรเบลซัส – Semaglutide)
- (ส่วนใหญ่กลุ่มนี้จะเป็นยาฉีด เช่น Ozempic, Victoza, Trulicity)
ข้อแนะนำสำคัญ:
- ข้อมูลยาและยี่ห้ออาจมีการเปลี่ยนแปลงตามข้อกำหนดของ อย. และการนำเข้าของบริษัทต่างๆ
- ชื่อยาทางการค้าอาจแตกต่างกันไปตามบริษัทยาที่ผลิตยาชื่อสามัญเดียวกัน
- ยาบางตัวอาจเป็นยาเดี่ยว หรือเป็นยาผสม (Fixed-dose combination) ที่รวมยา 2 ชนิดเข้าด้วยกันในเม็ดเดียว (เช่น Janumet ที่รวม Sitagliptin + Metformin)
สรุป: เบาหวานไม่ใช่เรื่องน่ากลัว หากเราเข้าใจและดูแลตัวเอง
โรคเบาหวาน เป็นโรคเรื้อรังที่ต้องอาศัยการดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่อง แต่หากคุณมีความเข้าใจใน อาการ สาเหตุ การรักษา และการป้องกัน ที่ถูกต้อง คุณก็จะสามารถควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน และใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข การดูแลสุขภาพที่ดีเริ่มต้นจากการให้ความสำคัญกับตัวเอง และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพอยู่เสมอ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
- of Diabetes. Retrieved from https://www.cdc.gov/diabetes/basics/type1type2.html
- National Institute of Diabetes and Digestive and Kidney Diseases (NIDDK). (n.d.). Symptoms of Diabetes. Retrieved from https://www.niddk.nih.gov/health-information/diabetes/overview/symptoms-causes
- Mayo Clinic. (2024, May 09). Type 2 diabetes. Retrieved from https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/type-2-diabetes/symptoms-causes/syc-20351193
- สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ. (2566). แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับโรคเบาหวาน พ.ศ. 2566. เข้าถึงได้จาก:(ใช้สำหรับการอ้างอิงเกณฑ์การวินิจฉัย)
- American Diabetes Association. (n.d.). Standard of Care in Diabetes. Retrieved from https://diabetesjournals.org/care/issue/47/Supplement_1
- Centers for Disease Control and Prevention (CDC). (2023, April 20). Preventing Type 2 Diabetes. Retrieved from https://www.cdc.gov/diabetes/basics/prediabetes.html
เรียบเรียงข้อมูลโดย www.chulalakpharmacy.com