โรคไมเกรน (Migraine): เมื่ออาการปวดศีรษะไม่ใช่เรื่องธรรมดา ทำความเข้าใจ สัญญาณเตือน และแนวทางการรักษาเพื่อชีวิตที่ไร้อาการปวด

ทำความเข้าใจโรคไมเกรนอย่างลึกซึ้ง! เรียนรู้สาเหตุ, ประเภทของไมเกรน, สัญญาณเตือน, แนวทางการวินิจฉัย, นวัตกรรมการรักษาด้วยยาเฉพาะทางและเทคนิคใหม่ๆ พร้อมวิธีป้องกันและจัดการอาการปวด เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น.




โรคไมเกรน (Migraine) คืออะไร?

โรคไมเกรน (Migraine) คือภาวะปวดศีรษะชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเฉพาะ โดยมักจะมีอาการปวดศีรษะข้างเดียว หรือปวดทั่วศีรษะก็ได้ เป็นลักษณะปวดตุบๆ ปานกลางถึงรุนแรง และมักมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน (Nausea and Vomiting), ไวต่อแสง (Photophobia) และไวต่อเสียง (Phonophobia) ไมเกรนไม่ใช่เพียงอาการปวดศีรษะธรรมดา แต่เป็นความผิดปกติของระบบประสาทที่ซับซ้อน ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน การทำงาน และคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย

แม้สาเหตุที่แท้จริงของไมเกรนยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของสารเคมีในสมอง (Neurotransmitters) เช่น เซโรโทนิน (Serotonin) และเปปไทด์ที่เกี่ยวข้องกับแคลซิโทนิน (Calcitonin Gene-Related Peptide – CGRP) รวมถึงบทบาทของหลอดเลือดในสมอง และปัจจัยทางพันธุกรรม



1. ประเภทของไมเกรนและอาการ: ความแตกต่างที่สำคัญ

ไมเกรนสามารถแบ่งออกได้เป็นสองประเภทหลักๆ และมีอาการที่แตกต่างกันในแต่ละระยะ:

  • 1.1 ไมเกรนชนิดไม่มีออร่า (Migraine without Aura): เป็นไมเกรนที่พบได้บ่อยที่สุด ผู้ป่วยจะไม่มีอาการเตือนนำมาก่อนเกิดอาการปวดศีรษะ
  • 1.2 ไมเกรนชนิดมีออร่า (Migraine with Aura): ผู้ป่วยจะมีอาการเตือนนำ (Aura) เกิดขึ้นก่อนหรือพร้อมกับอาการปวดศีรษะ อาการออร่ามักจะเป็นความผิดปกติทางสายตา (Visual Aura) เช่น เห็นแสงระยิบระยับ แสงซิกแซก จุดบอด หรือภาพบิดเบี้ยว นอกจากนี้ยังอาจมีอาการชาตามตัว แขน ขา หรือมีปัญหาในการพูด
    • อาการออร่า มักจะเกิดขึ้นภายใน 5-60 นาที และหายไปเองก่อนอาการปวดศีรษะจะเริ่มขึ้น หรือเกิดขึ้นพร้อมกับอาการปวดศีรษะ

โดยทั่วไปแล้ว อาการของไมเกรนสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระยะ แม้ว่าผู้ป่วยบางรายอาจไม่พบทุกระยะ:

  • 1. ระยะเตือนนำ (Prodrome Phase): เกิดก่อนอาการปวดศีรษะประมาณ 1-2 วัน ผู้ป่วยอาจมีอาการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เช่น อ่อนเพลีย หงุดหงิด คอแข็ง หาวบ่อย มีความอยากอาหารบางอย่าง หรืออารมณ์เปลี่ยน
  • 2. ระยะออร่า (Aura Phase): เกิดก่อนหรือพร้อมกับอาการปวดศีรษะ มักเป็นความผิดปกติทางสายตา (Visual Aura) หรืออาจมีอาการผิดปกติทางการรับรู้ การสัมผัส การเคลื่อนไหว หรือการพูด
  • 3. ระยะปวดศีรษะ (Headache Phase): เป็นระยะที่มีอาการปวดศีรษะลักษณะปวดตุบๆ ปานกลางถึงรุนแรง มักปวดข้างเดียว หรือปวดทั่วศีรษะ อาการปวดจะแย่ลงเมื่อทำกิจกรรม หรือเคลื่อนไหว และมักมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ไวต่อแสงและเสียงร่วมด้วย ระยะนี้อาจกินเวลานาน 4-72 ชั่วโมง หากไม่ได้รับการรักษา
  • 4. ระยะฟื้นตัว (Postdrome Phase): เป็นระยะหลังจากอาการปวดศีรษะทุเลาลง ผู้ป่วยอาจรู้สึกอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว ไม่มีแรง สับสน หรืออารมณ์ไม่ดี บางรายอาจรู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษ



2. สาเหตุและปัจจัยกระตุ้นของโรคไมเกรน: อะไรคือตัวจุดชนวน?

สาเหตุของไมเกรนยังไม่เป็นที่เข้าใจทั้งหมด แต่เชื่อว่าเป็นผลจากความผิดปกติของสมองที่มีปัจจัยทางพันธุกรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้สมองของผู้ป่วยไมเกรนมีความไวต่อสิ่งกระตุ้นมากกว่าคนทั่วไป ปัจจัยกระตุ้น (Triggers) ที่พบบ่อย ได้แก่:

  • ความเครียด (Stress): เป็นปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญที่สุด ทั้งความเครียดทางกายและทางใจ
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน (Hormonal Changes): โดยเฉพาะในผู้หญิงที่เกี่ยวข้องกับรอบเดือน, การตั้งครรภ์, หรือวัยหมดประจำเดือน
  • การนอนหลับไม่เพียงพอ (Lack of Sleep) หรือการนอนมากเกินไป: การเปลี่ยนแปลงของวงจรการนอนหลับ
  • อาหารและเครื่องดื่มบางชนิด: เช่น ชีสหมัก, เนื้อสัตว์แปรรูป, ช็อกโกแลต, คาเฟอีน (ทั้งการบริโภคมากเกินไปหรือการหยุดคาเฟอีน), แอลกอฮอล์ (โดยเฉพาะไวน์แดง)
  • สิ่งกระตุ้นทางประสาทสัมผัส (Sensory Stimuli): แสงจ้า (Bright Lights), เสียงดัง (Loud Noises), กลิ่นฉุน (Strong Smells) เช่น น้ำหอม, ควันบุหรี่
  • การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ (Weather Changes): การเปลี่ยนแปลงความกดอากาศ, อุณหภูมิ
  • การออกกำลังกายหักโหม: ในบางราย
  • การอดอาหาร หรือรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา: ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง
  • การใช้ยาบางชนิด: เช่น ยาคุมกำเนิด หรือยาขยายหลอดเลือด

การระบุและหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นเป็นส่วนสำคัญในการจัดการโรคไมเกรน



3. การวินิจฉัยโรคไมเกรน: เมื่อไรที่ควรปรึกษาแพทย์?

การวินิจฉัยโรคไมเกรนส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับการซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียด แพทย์จะซักถามเกี่ยวกับลักษณะอาการปวดศีรษะ, ความถี่, ความรุนแรง, อาการร่วม, และปัจจัยกระตุ้น:

  • การซักประวัติ (Clinical History): เป็นหัวใจสำคัญในการวินิจฉัยไมเกรน
  • การตรวจร่างกายและระบบประสาท (Physical and Neurological Examination): เพื่อแยกแยะสาเหตุอื่นๆ ของอาการปวดศีรษะ
  • การตรวจเพิ่มเติม (Additional Tests): ในบางกรณีที่สงสัยว่าอาจมีสาเหตุอื่นที่ร้ายแรงกว่าไมเกรน แพทย์อาจพิจารณาตรวจเพิ่มเติม เช่น
    • CT Scan หรือ MRI สมอง (Brain CT/MRI Scan): เพื่อตรวจหาสาเหตุที่รุนแรงอื่นๆ เช่น เนื้องอกในสมอง, เลือดออกในสมอง, หรือหลอดเลือดผิดปกติ
    • การเจาะน้ำไขสันหลัง (Lumbar Puncture): ในกรณีที่สงสัยภาวะติดเชื้อหรือการอักเสบของเยื่อหุ้มสมอง

ผู้ป่วยควรบันทึกอาการปวดศีรษะ (Headache Diary) โดยจดรายละเอียดของอาการ, ความรุนแรง, ระยะเวลา, ปัจจัยกระตุ้น, และยาที่ใช้ เพื่อช่วยให้แพทย์วินิจฉัยและวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม



4. เภสัชจุลศาลและนวัตกรรมการแพทย์: แนวทางการรักษาโรคไมเกรน

การรักษาไมเกรนมีเป้าหมายหลัก 2 ประการ คือ การบรรเทาอาการปวดเฉียบพลัน (Acute Treatment) และ การป้องกันการเกิดอาการ (Preventive Treatment) ซึ่งต้องทำควบคู่กันไป

4.1 ยาที่ใช้รักษาไมเกรน (Migraine Medications)

การใช้ยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เฉพาะทางด้านสมองและระบบประสาท (Neurologist) หรือแพทย์ผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด

  • ยาบรรเทาอาการปวดเฉียบพลัน (Acute/Abortive Medications): ใช้เมื่อเริ่มมีอาการปวดศีรษะเพื่อหยุดหรือลดความรุนแรงของอาการ
    • ยาแก้ปวดทั่วไป (Over-the-Counter Pain Relievers): เช่น Ibuprofen, Naproxen, Acetaminophen (Paracetamol) ใช้ในกรณีที่อาการไม่รุนแรง
    • ยากลุ่ม Triptans: เป็นยาเฉพาะสำหรับไมเกรน ออกฤทธิ์ต่อสารเซโรโทนินในสมอง ทำให้หลอดเลือดหดตัวและยับยั้งการหลั่งสารที่ทำให้ปวด มีประสิทธิภาพสูงในการบรรเทาอาการปวดไมเกรน และอาการร่วมอื่นๆ
      • ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: Sumatriptan (เช่น Imigran), Zolmitriptan (เช่น Zomig), Naratriptan (เช่น Naramig)

    • ยากลุ่ม CGRP Receptor Antagonists (Gepants): เป็นยาชนิดใหม่ที่ออกฤทธิ์ยับยั้งตัวรับ CGRP ซึ่งเป็นสารสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการปวดไมเกรน สามารถใช้บรรเทาอาการปวดเฉียบพลันได้
      • ตัวอย่างยี่ห้อที่กำลังเข้าสู่ตลาด/มีใช้ในบางประเทศ: Rimegepant (เช่น Nurtec ODT), Ubrogepant (เช่น Ubrelvy)

    • ยา Ergot Alkaloids: เช่น Ergotamine ใช้ในกรณีที่ Triptans ไม่ได้ผล หรือมีข้อห้ามใช้
    • ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน (Anti-emetics): เช่น Domperidone, Metoclopramide ใช้บรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียนที่เกิดร่วมกับไมเกรน

  • ยาป้องกันไมเกรน (Preventive Medications): ใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดไมเกรนบ่อยครั้ง (มากกว่า 4 ครั้งต่อเดือน) หรือมีอาการรุนแรง เพื่อลดความถี่และความรุนแรงของการปวด
    • ยากลุ่ม Beta-blockers: เช่น Propranolol
    • ยากันชัก (Anticonvulsants): เช่น Topiramate, Valproate
    • ยาต้านซึมเศร้ากลุ่ม Tricyclic Antidepressants (TCAs): เช่น Amitriptyline
    • ยากลุ่ม CGRP Monoclonal Antibodies (mAb): เป็นยาฉีดสำหรับป้องกันไมเกรนเรื้อรัง ออกฤทธิ์ยับยั้ง CGRP โดยตรง เป็นนวัตกรรมใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูง
      • ตัวอย่างยี่ห้อที่กำลังเข้าสู่ตลาด/มีใช้ในบางประเทศ: Erenumab (เช่น Aimovig), Fremanezumab (เช่น Ajovy), Galcanezumab (เช่น Emgality)

ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลยาที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างและเพื่อการศึกษาเท่านั้น การใช้ยาใดๆ ต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำและการดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรอย่างเคร่งครัด ห้ามซื้อยาหรือปรับขนาดยาเองเด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงได้

4.2 นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการแพทย์เพื่อการรักษาไมเกรน

  • อุปกรณ์กระตุ้นระบบประสาท (Neuromodulation Devices):
    • Transcutaneous Supraorbital Nerve Stimulation (tSNS): อุปกรณ์ Cefaly ใช้กระตุ้นเส้นประสาท Supraorbital เพื่อลดความถี่และความรุนแรงของไมเกรน
    • Single-Pulse Transcranial Magnetic Stimulation (sTMS): อุปกรณ์ชนิดพกพา ใช้ปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ากระตุ้นสมอง เพื่อบรรเทาอาการปวดเฉียบพลันและป้องกันไมเกรน
    • Non-Invasive Vagus Nerve Stimulation (nVNS): อุปกรณ์ GammaCore ใช้กระตุ้นเส้นประสาท Vagus ที่คอ

  • การฉีดโบทูลินัม ท็อกซิน (Botulinum Toxin – Botox): สำหรับผู้ป่วยไมเกรนเรื้อรัง (Chronic Migraine) ที่มีอาการปวดมากกว่า 15 วันต่อเดือน โดยฉีดเข้าที่กล้ามเนื้อศีรษะและลำคอหลายจุด เพื่อลดความถี่และความรุนแรงของการปวด

  • การฝังเข็ม (Acupuncture): เป็นการแพทย์ทางเลือกที่บางการศึกษาพบว่าอาจช่วยลดความถี่ของไมเกรนได้ในบางราย

  • การบำบัดด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ (Biologic Therapies): ยาในกลุ่ม CGRP Monoclonal Antibodies ที่กล่าวไปข้างต้น ถือเป็นนวัตกรรมสำคัญที่ช่วยปรับเปลี่ยนกลไกการเกิดไมเกรน



5. การดูแลตัวเองและแนวทางการป้องกัน: ก้าวสำคัญสู่ชีวิตไร้ไมเกรน

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและวิถีชีวิตเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการจัดการและป้องกันไมเกรน:

  • ระบุและหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น (Identify and Avoid Triggers): บันทึกอาการปวดศีรษะเพื่อค้นหาปัจจัยกระตุ้นของตนเอง และพยายามหลีกเลี่ยง
  • จัดการความเครียด (Stress Management): ฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิ (Meditation), โยคะ (Yoga), การหายใจลึกๆ, การออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอและเป็นเวลา (Consistent Sleep Schedule): เข้านอนและตื่นนอนในเวลาใกล้เคียงกันทุกวัน แม้ในวันหยุด
  • รับประทานอาหารให้ตรงเวลา (Regular Meals): ไม่ควรอดยาหาร และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ (Stay Hydrated): การขาดน้ำอาจเป็นปัจจัยกระตุ้น
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ (Regular Exercise): แต่ไม่หักโหม
  • จำกัดการบริโภคคาเฟอีนและแอลกอฮอล์: หรือลดปริมาณลงอย่างช้าๆ หากต้องการเลิก
  • เลี่ยงสิ่งกระตุ้นทางประสาทสัมผัสที่รุนแรง: เช่น แสงจ้า, เสียงดัง, กลิ่นฉุน
  • ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ: หากอาการรุนแรงขึ้น หรือไม่ตอบสนองต่อการรักษา



6. การดูแลรักษาและใช้ชีวิตอยู่กับโรคไมเกรน: เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

การอยู่ร่วมกับโรคไมเกรนต้องอาศัยความเข้าใจและการดูแลอย่างต่อเนื่อง:

  • ปฏิบัติตามแผนการรักษาของแพทย์อย่างเคร่งครัด: รับประทานยาทั้งยาบรรเทาอาการและยาป้องกันตามที่แพทย์สั่ง
  • มีสติเมื่ออาการปวดเริ่มขึ้น: รีบใช้ยาบรรเทาอาการปวดให้เร็วที่สุดเมื่อมีสัญญาณเตือน เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
  • ปรึกษาแพทย์อย่างสม่ำเสมอ: เพื่อติดตามอาการ และปรับแผนการรักษาหากจำเป็น
  • เรียนรู้ที่จะผ่อนคลาย: การพักผ่อนในห้องที่เงียบสงบ มืด และเย็นสบาย อาจช่วยบรรเทาอาการปวดได้
  • พกยาแก้ปวดติดตัว: สำหรับใช้เมื่อมีอาการกำเริบ

บอกคนรอบข้าง: ให้คนในครอบครัวหรือเพื่อนร่วมงานเข้าใจเกี่ยวกับโรคไมเกรนและวิธีช่วยเหลือเบื้องต้น

สรุป: ไมเกรนจัดการได้ เพื่อชีวิตที่ไร้ความปวดรบกวน

โรคไมเกรนเป็นภาวะปวดศีรษะที่ซับซ้อนและรบกวนคุณภาพชีวิต แต่ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสาเหตุ ปัจจัยกระตุ้น และแนวทางการรักษา เราสามารถจัดการกับโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การระบุและหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต การใช้ยาอย่างเหมาะสมภายใต้คำแนะนำของ เภสัชกร และแพทย์ รวมถึงการใช้ประโยชน์จาก นวัตกรรมการแพทย์ จะช่วยให้ผู้ป่วยไมเกรนสามารถควบคุมอาการ ลดความถี่และความรุนแรงของการปวด และกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้



ข้อมูลอ้างอิงและข้อควรระวังสำคัญ:

  • ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลยาและนวัตกรรมทางการแพทย์ที่กล่าวมาข้างต้นมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาและให้ข้อมูลเท่านั้น การวินิจฉัยโรค การเลือกวิธีการรักษา หรือการใช้ยาใดๆ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองและระบบประสาทอย่างเคร่งครัด ห้ามวินิจฉัยโรคด้วยตนเอง หรือซื้อยาและเลือกการรักษาโดยไม่ปรึกษาแพทย์เด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงได้ แพทย์จะพิจารณาความเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย โดยคำนึงถึงประโยชน์และความเสี่ยง

แหล่งอ้างอิง:

  • สมาคมประสาทวิทยาแห่งประเทศไทย. (2565). แนวทางการวินิจฉัยและรักษาโรคปวดศีรษะไมเกรนในประเทศไทย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์เว็บไซต์ของสมาคมฯ หรือหน้าคู่มือที่เกี่ยวข้อง)
  • โรงพยาบาลชั้นนำในประเทศไทย (เช่น โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, โรงพยาบาลรามาธิบดี). บทความให้ความรู้เกี่ยวกับโรคไมเกรน. (ยกตัวอย่างบทความจากโรงพยาบาลที่น่าเชื่อถือ)
  • สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.). ข้อมูลยาที่ได้รับอนุมัติในประเทศไทย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์ที่เกี่ยวข้องหากต้องการ เช่น ฐานข้อมูลยา)


เรียบเรียงข้อมูลโดย  www.chulalakpharmacy.com

บทความที่คุณอาจสนใจ

  • แชร์

    ยังไม่มีบัญชี