โรคไขมันในเลือดสูง (Dyslipidemia/Hyperlipidemia): ภัยเงียบทำลายหลอดเลือด ทำความเข้าใจ สัญญาณเตือน และแนวทางการดูแลเพื่อสุขภาพหัวใจที่แข็งแรง

ทำความเข้าใจโรคไขมันในเลือดสูงอย่างละเอียด! เรียนรู้สาเหตุ, สัญญาณเตือนที่มักไม่แสดงอาการ, แนวทางการวินิจฉัย, นวัตกรรมการรักษาด้วยยา (Statin) และปรับพฤติกรรม พร้อมวิธีป้องกันเพื่อปกป้องหลอดเลือดและลดความเสี่ยงโรคหัวใจ





โรคไขมันในเลือดสูง (Dyslipidemia/Hyperlipidemia) คืออะไร?

โรคไขมันในเลือดสูง (Dyslipidemia/Hyperlipidemia) คือภาวะที่ร่างกายมีระดับไขมันบางชนิดในเลือดสูงผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็น คอเลสเตอรอลรวม (Total Cholesterol), คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (Low-Density Lipoprotein Cholesterol – LDL-C หรือ “ไขมันเลว”), หรือ ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides) หรืออาจมีระดับ คอเลสเตอรอลชนิดดี (High-Density Lipoprotein Cholesterol – HDL-C หรือ “ไขมันดี”) ต่ำกว่าปกติไขมันเหล่านี้มีความสำคัญต่อร่างกายในการสร้างเซลล์และผลิตฮอร์โมน แต่เมื่อมีปริมาณมากเกินไป โดยเฉพาะ LDL-C และไตรกลีเซอไรด์ จะไปสะสมที่ผนังหลอดเลือดแดง ทำให้เกิดภาวะ หลอดเลือดแดงแข็ง (Atherosclerosis) หลอดเลือดจะตีบแคบและแข็งตัวขึ้น เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ส่งผลให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตและทุพพลภาพทั่วโลก เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Disease – CAD), โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke), และ โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ (Peripheral Artery Disease – PAD)



1. สัญญาณเตือนของโรคไขมันในเลือดสูง: ภัยเงียบที่ไม่แสดงอาการ

โรคไขมันในเลือดสูงมักถูกเรียกว่า “ภัยเงียบ” (Silent Killer) เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะ ไม่มีอาการใดๆ แสดงให้เห็น ในระยะแรก จนกว่าไขมันที่สะสมจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น หลอดเลือดตีบตัน ซึ่งอาจนำไปสู่อาการดังต่อไปนี้:

  • อาการที่เกิดจากหลอดเลือดหัวใจตีบ (Coronary Artery Disease – CAD):
    • เจ็บหน้าอก (Angina): ปวดแน่นหน้าอก, อึดอัด, อาจร้าวไปที่แขนซ้าย, คอ, กราม มักเป็นขณะออกแรง
    • เหนื่อยง่ายผิดปกติ: โดยเฉพาะเมื่อออกแรง
  • อาการที่เกิดจากหลอดเลือดสมองตีบ (Stroke):
    • อ่อนแรงครึ่งซีก: แขนขาอ่อนแรง ชาครึ่งซีกของร่างกาย
    • ปากเบี้ยว, พูดไม่ชัด: หรือพูดไม่ได้
    • ตาพร่ามัว หรือมองไม่เห็นไปข้างหนึ่งอย่างฉับพลัน:
    • เวียนศีรษะรุนแรง, ทรงตัวลำบาก:
  • อาการที่เกิดจากหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ (Peripheral Artery Disease – PAD):
    • ปวดขาเป็นตะคริวขณะเดิน (Claudication): โดยเฉพาะน่อง สะโพก หรือต้นขา และอาการดีขึ้นเมื่อหยุดพัก
    • ขาเย็น, ซีด, หรือมีแผลหายยากที่ขา:

เนื่องจากโรคนี้มักไม่แสดงอาการ การตรวจสุขภาพเป็นประจำโดยเฉพาะการตรวจระดับไขมันในเลือด จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการค้นหาและจัดการโรคตั้งแต่เนิ่นๆ



2. สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคไขมันในเลือดสูง: ทำไมไขมันถึงพุ่ง?

โรคไขมันในเลือดสูงเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้และปัจจัยที่สามารถปรับเปลี่ยนได้:

  • 2.1 ปัจจัยทางพันธุกรรม (Genetics):
    • บางคนมีภาวะไขมันในเลือดสูงมาตั้งแต่เกิด แม้จะควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างดี เนื่องจากร่างกายมีการสร้างไขมันที่ผิดปกติ (Familial Hyperlipidemia)
  • 2.2 พฤติกรรมการรับประทานอาหาร (Dietary Habits):
    • การบริโภคอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง (Saturated Fat): เช่น เนื้อแดงติดมัน, หนังสัตว์, ผลิตภัณฑ์จากนมไขมันเต็ม, น้ำมันปาล์ม/มะพร้าว
    • การบริโภคไขมันทรานส์ (Trans Fat): พบในอาหารแปรรูป, เบเกอรี่, ขนมขบเคี้ยว, เนยเทียม
    • การบริโภคคอเลสเตอรอลสูง (Dietary Cholesterol): เช่น เครื่องในสัตว์, ไข่แดง (แม้ปัจจุบันจะเน้นที่ไขมันอิ่มตัวมากกว่า)
    • การบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตสูง (High Sugar and Carbohydrate Intake): โดยเฉพาะน้ำตาลเชิงเดี่ยวและคาร์โบไฮเดรตแปรรูป สามารถเพิ่มระดับไตรกลีเซอไรด์ได้
  • 2.3 การขาดการออกกำลังกาย (Sedentary Lifestyle):
    • ลดระดับ HDL-C และเพิ่มระดับ LDL-C และไตรกลีเซอไรด์
  • 2.4 น้ำหนักตัวเกิน หรือโรคอ้วน (Obesity or Overweight):
    • เพิ่มระดับ LDL-C และไตรกลีเซอไรด์ และลดระดับ HDL-C
  • 2.5 การสูบบุหรี่ (Smoking):
    • ลดระดับ HDL-C และเพิ่มระดับ LDL-C ทำให้หลอดเลือดเสียหายและเกิดการอักเสบ
  • 2.6 การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก (Excessive Alcohol Consumption):
    • สามารถเพิ่มระดับไตรกลีเซอไรด์ได้
  • 2.7 โรคประจำตัวบางชนิด:
    • โรคเบาหวาน (Diabetes): ทำให้ไขมันผิดปกติได้ง่าย
    • ภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ (Hypothyroidism): การเผาผลาญไขมันลดลง
    • โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease):
    • โรคตับบางชนิด:
    • ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovary Syndrome – PCOS):
  • 2.8 ยาบางชนิด:
    • ยาขับปัสสาวะบางชนิด (Thiazide Diuretics)
    • ยาสเตียรอยด์ (Corticosteroids)
    • ยาคุมกำเนิดบางชนิด



3. การวินิจฉัยโรคไขมันในเลือดสูง: ตรวจเลือดเท่านั้นที่รู้!

การวินิจฉัยโรคไขมันในเลือดสูงทำได้โดยแพทย์ โดยอาศัยการตรวจเลือดเป็นหลัก:

  • การซักประวัติและตรวจร่างกาย (Clinical History and Physical Exam): แพทย์จะซักถามประวัติครอบครัว, พฤติกรรมการกิน, การใช้ชีวิต, โรคประจำตัว, และยาที่ใช้

  • การตรวจเลือดเพื่อหาระดับไขมันในเลือด (Lipid Profile):
    • ต้องงดอาหารและเครื่องดื่ม (ยกเว้นน้ำเปล่า) อย่างน้อย 9-12 ชั่วโมง ก่อนการเจาะเลือด เพื่อให้ได้ค่าที่แม่นยำ (โดยเฉพาะไตรกลีเซอไรด์)
    • ค่าที่แพทย์จะพิจารณา:
      • คอเลสเตอรอลรวม (Total Cholesterol): ควรน้อยกว่า 200 mg/dL
      • คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL-C): ควรน้อยกว่า 100 mg/dL (หรือต่ำกว่านี้ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เบาหวาน, โรคหัวใจ)
      • คอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL-C): ควรมากกว่า 40 mg/dL (ยิ่งสูงยิ่งดี โดยเฉพาะในผู้หญิงควรมากกว่า 50 mg/dL)
      • ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides): ควรน้อยกว่า 150 mg/dL

  • การตรวจอื่นๆ เพิ่มเติม (ในบางกรณี):
    • แพทย์อาจพิจารณาการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด (HbA1c) เพื่อคัดกรองเบาหวาน
    • การตรวจการทำงานของตับและไต
    • การตรวจหาไขมันอนุภาคเล็กและหนาแน่น (Small Dense LDL-C) หรือ ApoB ซึ่งบ่งชี้ความเสี่ยงได้ละเอียดขึ้น (มักใช้ในงานวิจัยหรือกรณีที่ซับซ้อน)
    • การตรวจคัดกรองภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง เช่น การตรวจวัดความแข็งของหลอดเลือด (ABI/PWV) หรือการตรวจหาแคลเซียมในหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Calcium Score – CAC)



4. เภสัชจุลศาลและนวัตกรรมการแพทย์: แนวทางการดูแลรักษาโรคไขมันในเลือดสูง

การรักษาโรคไขมันในเลือดสูงมีเป้าหมายเพื่อลดระดับไขมันที่ไม่ดี, เพิ่มไขมันที่ดี, และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งจะประกอบด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการใช้ยา

4.1 ยาที่ใช้รักษาโรคไขมันในเลือดสูง (Dyslipidemia Medications)

การใช้ยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัด

  • ยากลุ่ม Statin:
    • เป็นยาหลักที่ใช้ในการลดระดับ LDL-C ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด โดยยับยั้งการสร้างคอเลสเตอรอลในตับ และช่วยเพิ่มตัวรับ LDL-C ที่ตับ ทำให้ตับดึง LDL-C ออกจากเลือดได้ดีขึ้น
    • ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: Atorvastatin (เช่น Lipitor), Simvastatin (เช่น Zocor), Rosuvastatin (เช่น Crestor), Pravastatin, Fluvastatin
    • ข้อควรพิจารณา: มักรับประทานวันละครั้ง (ส่วนใหญ่ก่อนนอน หรือตามคำแนะนำของแพทย์) ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ เช่น ปวดกล้ามเนื้อ, ตับอักเสบ ควรปรึกษาแพทย์หากมีอาการ

  • ยา Ezetimibe (เช่น Ezetrol):
    • ยับยั้งการดูดซึมคอเลสเตอรอลจากอาหารที่ลำไส้เล็ก มักใช้ร่วมกับ Statin เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลด LDL-C หรือใช้ในผู้ที่ไม่สามารถทนผลข้างเคียงจาก Statin ได้

  • ยากลุ่ม Fibrates:
    • เป็นยาหลักที่ใช้ลดระดับไตรกลีเซอไรด์ และอาจเพิ่ม HDL-C ได้บ้าง
    • ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: Fenofibrate, Gemfibrozil
    • ข้อควรพิจารณา: ใช้ในผู้ที่มีไตรกลีเซอไรด์สูงมาก เพื่อลดความเสี่ยงภาวะตับอ่อนอักเสบ

  • ยา Niacin (Nicotinic Acid):
    • ช่วยลด LDL-C และไตรกลีเซอไรด์ และเพิ่ม HDL-C ได้ดี แต่มีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก เช่น อาการหน้าแดง ร้อนวูบวาบ

  • ยากลุ่ม PCSK9 Inhibitors (เช่น Evolocumab, Alirocumab):
    • เป็นยาชีววัตถุชนิดฉีดใต้ผิวหนัง ออกฤทธิ์โดยยับยั้งเอนไซม์ PCSK9 ทำให้ตับสามารถกำจัด LDL-C ออกจากเลือดได้มากขึ้นอย่างมาก
    • ข้อควรพิจารณา: เป็นยาที่มีราคาแพง มักใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะไขมันในเลือดสูงชนิดพันธุกรรม หรือผู้ที่มีความเสี่ยงสูงมากและไม่สามารถควบคุมระดับ LDL-C ได้ด้วย Statin

  • ยากลุ่ม Omega-3 Fatty Acids (กรดไขมันโอเมก้า-3):
    • โดยเฉพาะชนิดที่แพทย์สั่ง (Prescription Omega-3) ที่มี Eicosapentaenoic acid (EPA) และ Docosahexaenoic acid (DHA) ในปริมาณสูง สามารถช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ได้

ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลยาที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างและเพื่อการศึกษาเท่านั้น การใช้ยาใดๆ ต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำและการดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรอย่างเคร่งครัด ห้ามซื้อยาหรือปรับขนาดยาเองเด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงหรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้

4.2 นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการแพทย์ในการรักษาและป้องกันโรคไขมันในเลือดสูง

  • การพัฒนา Statin รุ่นใหม่ๆ: ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและผลข้างเคียงน้อยลง
  • การวิจัยยาที่ออกฤทธิ์ต่อเป้าหมายใหม่ๆ (Novel Targets): เพื่อควบคุมระดับไขมันได้ดียิ่งขึ้นในผู้ป่วยที่ดื้อยา หรือมีผลข้างเคียงจากยาเดิม
  • การตรวจคัดกรองทางพันธุกรรม: เพื่อระบุผู้ที่มีภาวะไขมันในเลือดสูงชนิดพันธุกรรมตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสมและรวดเร็ว
  • AI และ Big Data ในการประเมินความเสี่ยง: การใช้ปัญญาประดิษฐ์และข้อมูลขนาดใหญ่มาช่วยประเมินความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดในแต่ละบุคคลได้แม่นยำยิ่งขึ้น เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและเฉพาะบุคคล (Precision Medicine)
  • แอปพลิเคชันและอุปกรณ์สวมใส่: ที่ช่วยในการติดตามพฤติกรรมการออกกำลังกาย, การรับประทานอาหาร, และส่งเสริมการดูแลสุขภาพด้วยตนเอง



5. การดูแลตัวเองและแนวทางการป้องกัน: เปลี่ยนพฤติกรรม ปกป้องหัวใจ

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเป็นหัวใจสำคัญในการป้องกันและจัดการโรคไขมันในเลือดสูง:

  • รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพหัวใจ (Heart-Healthy Diet):
    • ลดไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์: เลือกเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน, นมพร่องมันเนย, หลีกเลี่ยงอาหารทอด, อาหารแปรรูป
    • เพิ่มใยอาหาร (Fiber): ในผัก, ผลไม้, ธัญพืชไม่ขัดสี (ข้าวกล้อง, ขนมปังโฮลวีท) ใยอาหารช่วยลดการดูดซึมคอเลสเตอรอล
    • เลือกไขมันดี: รับประทานปลาทะเลน้ำลึก (แซลมอน, ทูน่า), ถั่วเปลือกแข็ง, เมล็ดพืช, อะโวคาโด, น้ำมันมะกอก, น้ำมันรำข้าว
    • ลดปริมาณน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตแปรรูป:

  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ (Regular Exercise):
    • อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ สำหรับการออกกำลังกายระดับปานกลาง (เช่น เดินเร็ว, ปั่นจักรยาน) ช่วยเพิ่ม HDL-C และลด LDL-C และไตรกลีเซอไรด์

  • ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม (Maintain Healthy Weight):
    • การลดน้ำหนัก 5-10% ก็สามารถช่วยลดระดับไขมันที่ไม่ดีได้อย่างมีนัยสำคัญ

  • เลิกสูบบุหรี่ (Quit Smoking):
    • เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด และช่วยเพิ่ม HDL-C

  • จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ (Limit Alcohol Consumption):

  • จัดการความเครียด (Stress Management):
    • ความเครียดเรื้อรังอาจส่งผลต่อระดับไขมันในเลือด



6. การดูแลรักษาและใช้ชีวิตอยู่กับโรคไขมันในเลือดสูง: เพื่อหัวใจที่แข็งแรงยั่งยืน

เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไขมันในเลือดสูงแล้ว การดูแลอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญ:

  • ปฏิบัติตามแผนการรักษาของแพทย์อย่างเคร่งครัด: ทั้งการใช้ยาตามที่กำหนด และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
  • มาพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามผล: และตรวจเลือดเพื่อประเมินระดับไขมันในเลือดเป็นระยะ
  • ไม่หยุดยาเอง: แม้ระดับไขมันจะกลับมาปกติแล้วก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์เสมอ
  • ปรึกษาโภชนากร: เพื่อวางแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสม
  • เฝ้าระวังอาการผิดปกติ: เช่น เจ็บหน้าอก, อ่อนแรงครึ่งซีก ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของภาวะแทรกซ้อน และควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
  • ดูแลสุขภาพโดยรวม: ควบคุมโรคประจำตัวอื่นๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ให้ดี

สรุป: ไขมันในเลือดสูงจัดการได้ ด้วยความตระหนักและการดูแลที่ใส่ใจ

โรคไขมันในเลือดสูงเป็นภัยเงียบที่มักไม่แสดงอาการ แต่สามารถนำไปสู่โรคหัวใจและหลอดเลือดที่อันตรายถึงชีวิตได้ การตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการตรวจสุขภาพเป็นประจำ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการใช้ยาอย่างถูกต้องตามคำแนะนำของ เภสัชกร และแพทย์ คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้คุณสามารถควบคุมระดับไขมันในเลือด ปกป้องหลอดเลือดหัวใจ และมีสุขภาพที่ดีในระยะยาว


ข้อมูลอ้างอิงและข้อควรระวังสำคัญ:

  • ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลยาและนวัตกรรมทางการแพทย์ที่กล่าวมาข้างต้นมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาและให้ข้อมูลเท่านั้น การวินิจฉัยโรค การเลือกวิธีการรักษา หรือการใช้ยาใดๆ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ (เช่น แพทย์อายุรแพทย์โรคหัวใจ, อายุรแพทย์ทั่วไป) อย่างเคร่งครัด ห้ามวินิจฉัยโรคด้วยตนเอง หรือซื้อยาและปรับขนาดยาเองเด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงหรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้ แพทย์จะพิจารณาความเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย โดยคำนึงถึงประโยชน์และความเสี่ยง

แหล่งอ้างอิง:

  • ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย. (2565). แนวทางการวินิจฉัยและรักษาภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์เว็บไซต์ของราชวิทยาลัยฯ หรือหน้าคู่มือที่เกี่ยวข้อง)
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. (2565). โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง: ไขมันในเลือดสูง. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นหากมี)
  • โรงพยาบาลชั้นนำในประเทศไทย (เช่น โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, โรงพยาบาลรามาธิบดี). บทความให้ความรู้เกี่ยวกับโรคไขมันในเลือดสูง. (ยกตัวอย่างบทความจากโรงพยาบาลที่น่าเชื่อถือ)
  • สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.). ข้อมูลยาที่ได้รับอนุมัติในประเทศไทย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์ที่เกี่ยวข้องหากต้องการ เช่น ฐานข้อมูลยา)

เรียบเรียงข้อมูลโดย ( Compiled by):  www.chulalakpharmacy.com





บทความที่คุณอาจสนใจ

  • แชร์

    ยังไม่มีบัญชี