ทำความเข้าใจโรคไขมันในเลือดสูงอย่างละเอียด! เรียนรู้สาเหตุ, สัญญาณเตือนที่มักไม่แสดงอาการ, แนวทางการวินิจฉัย, นวัตกรรมการรักษาด้วยยา (Statin) และปรับพฤติกรรม พร้อมวิธีป้องกันเพื่อปกป้องหลอดเลือดและลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
หัวข้อสำคัญ
Toggle
โรคไขมันในเลือดสูง (Dyslipidemia/Hyperlipidemia) คืออะไร?
โรคไขมันในเลือดสูง (Dyslipidemia/Hyperlipidemia) คือภาวะที่ร่างกายมีระดับไขมันบางชนิดในเลือดสูงผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็น คอเลสเตอรอลรวม (Total Cholesterol), คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (Low-Density Lipoprotein Cholesterol – LDL-C หรือ “ไขมันเลว”), หรือ ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides) หรืออาจมีระดับ คอเลสเตอรอลชนิดดี (High-Density Lipoprotein Cholesterol – HDL-C หรือ “ไขมันดี”) ต่ำกว่าปกติไขมันเหล่านี้มีความสำคัญต่อร่างกายในการสร้างเซลล์และผลิตฮอร์โมน แต่เมื่อมีปริมาณมากเกินไป โดยเฉพาะ LDL-C และไตรกลีเซอไรด์ จะไปสะสมที่ผนังหลอดเลือดแดง ทำให้เกิดภาวะ หลอดเลือดแดงแข็ง (Atherosclerosis) หลอดเลือดจะตีบแคบและแข็งตัวขึ้น เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ส่งผลให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตและทุพพลภาพทั่วโลก เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Disease – CAD), โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke), และ โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ (Peripheral Artery Disease – PAD)
1. สัญญาณเตือนของโรคไขมันในเลือดสูง: ภัยเงียบที่ไม่แสดงอาการ
โรคไขมันในเลือดสูงมักถูกเรียกว่า “ภัยเงียบ” (Silent Killer) เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะ ไม่มีอาการใดๆ แสดงให้เห็น ในระยะแรก จนกว่าไขมันที่สะสมจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น หลอดเลือดตีบตัน ซึ่งอาจนำไปสู่อาการดังต่อไปนี้:
- อาการที่เกิดจากหลอดเลือดหัวใจตีบ (Coronary Artery Disease – CAD):
- เจ็บหน้าอก (Angina): ปวดแน่นหน้าอก, อึดอัด, อาจร้าวไปที่แขนซ้าย, คอ, กราม มักเป็นขณะออกแรง
- เหนื่อยง่ายผิดปกติ: โดยเฉพาะเมื่อออกแรง
- อาการที่เกิดจากหลอดเลือดสมองตีบ (Stroke):
- อ่อนแรงครึ่งซีก: แขนขาอ่อนแรง ชาครึ่งซีกของร่างกาย
- ปากเบี้ยว, พูดไม่ชัด: หรือพูดไม่ได้
- ตาพร่ามัว หรือมองไม่เห็นไปข้างหนึ่งอย่างฉับพลัน:
- เวียนศีรษะรุนแรง, ทรงตัวลำบาก:
- อาการที่เกิดจากหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ (Peripheral Artery Disease – PAD):
- ปวดขาเป็นตะคริวขณะเดิน (Claudication): โดยเฉพาะน่อง สะโพก หรือต้นขา และอาการดีขึ้นเมื่อหยุดพัก
- ขาเย็น, ซีด, หรือมีแผลหายยากที่ขา:
เนื่องจากโรคนี้มักไม่แสดงอาการ การตรวจสุขภาพเป็นประจำโดยเฉพาะการตรวจระดับไขมันในเลือด จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการค้นหาและจัดการโรคตั้งแต่เนิ่นๆ

2. สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคไขมันในเลือดสูง: ทำไมไขมันถึงพุ่ง?
โรคไขมันในเลือดสูงเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้และปัจจัยที่สามารถปรับเปลี่ยนได้:
- 2.1 ปัจจัยทางพันธุกรรม (Genetics):
- บางคนมีภาวะไขมันในเลือดสูงมาตั้งแต่เกิด แม้จะควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างดี เนื่องจากร่างกายมีการสร้างไขมันที่ผิดปกติ (Familial Hyperlipidemia)
- 2.2 พฤติกรรมการรับประทานอาหาร (Dietary Habits):
- การบริโภคอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง (Saturated Fat): เช่น เนื้อแดงติดมัน, หนังสัตว์, ผลิตภัณฑ์จากนมไขมันเต็ม, น้ำมันปาล์ม/มะพร้าว
- การบริโภคไขมันทรานส์ (Trans Fat): พบในอาหารแปรรูป, เบเกอรี่, ขนมขบเคี้ยว, เนยเทียม
- การบริโภคคอเลสเตอรอลสูง (Dietary Cholesterol): เช่น เครื่องในสัตว์, ไข่แดง (แม้ปัจจุบันจะเน้นที่ไขมันอิ่มตัวมากกว่า)
- การบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตสูง (High Sugar and Carbohydrate Intake): โดยเฉพาะน้ำตาลเชิงเดี่ยวและคาร์โบไฮเดรตแปรรูป สามารถเพิ่มระดับไตรกลีเซอไรด์ได้
- 2.3 การขาดการออกกำลังกาย (Sedentary Lifestyle):
- ลดระดับ HDL-C และเพิ่มระดับ LDL-C และไตรกลีเซอไรด์
- 2.4 น้ำหนักตัวเกิน หรือโรคอ้วน (Obesity or Overweight):
- เพิ่มระดับ LDL-C และไตรกลีเซอไรด์ และลดระดับ HDL-C
- 2.5 การสูบบุหรี่ (Smoking):
- ลดระดับ HDL-C และเพิ่มระดับ LDL-C ทำให้หลอดเลือดเสียหายและเกิดการอักเสบ
- 2.6 การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก (Excessive Alcohol Consumption):
- สามารถเพิ่มระดับไตรกลีเซอไรด์ได้
- 2.7 โรคประจำตัวบางชนิด:
- โรคเบาหวาน (Diabetes): ทำให้ไขมันผิดปกติได้ง่าย
- ภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ (Hypothyroidism): การเผาผลาญไขมันลดลง
- โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease):
- โรคตับบางชนิด:
- ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovary Syndrome – PCOS):
- 2.8 ยาบางชนิด:
- ยาขับปัสสาวะบางชนิด (Thiazide Diuretics)
- ยาสเตียรอยด์ (Corticosteroids)
- ยาคุมกำเนิดบางชนิด
3. การวินิจฉัยโรคไขมันในเลือดสูง: ตรวจเลือดเท่านั้นที่รู้!
การวินิจฉัยโรคไขมันในเลือดสูงทำได้โดยแพทย์ โดยอาศัยการตรวจเลือดเป็นหลัก:
- การซักประวัติและตรวจร่างกาย (Clinical History and Physical Exam): แพทย์จะซักถามประวัติครอบครัว, พฤติกรรมการกิน, การใช้ชีวิต, โรคประจำตัว, และยาที่ใช้
- การตรวจเลือดเพื่อหาระดับไขมันในเลือด (Lipid Profile):
- ต้องงดอาหารและเครื่องดื่ม (ยกเว้นน้ำเปล่า) อย่างน้อย 9-12 ชั่วโมง ก่อนการเจาะเลือด เพื่อให้ได้ค่าที่แม่นยำ (โดยเฉพาะไตรกลีเซอไรด์)
- ค่าที่แพทย์จะพิจารณา:
- คอเลสเตอรอลรวม (Total Cholesterol): ควรน้อยกว่า 200 mg/dL
- คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL-C): ควรน้อยกว่า 100 mg/dL (หรือต่ำกว่านี้ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เบาหวาน, โรคหัวใจ)
- คอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL-C): ควรมากกว่า 40 mg/dL (ยิ่งสูงยิ่งดี โดยเฉพาะในผู้หญิงควรมากกว่า 50 mg/dL)
- ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides): ควรน้อยกว่า 150 mg/dL
- การตรวจอื่นๆ เพิ่มเติม (ในบางกรณี):
- แพทย์อาจพิจารณาการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด (HbA1c) เพื่อคัดกรองเบาหวาน
- การตรวจการทำงานของตับและไต
- การตรวจหาไขมันอนุภาคเล็กและหนาแน่น (Small Dense LDL-C) หรือ ApoB ซึ่งบ่งชี้ความเสี่ยงได้ละเอียดขึ้น (มักใช้ในงานวิจัยหรือกรณีที่ซับซ้อน)
- การตรวจคัดกรองภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง เช่น การตรวจวัดความแข็งของหลอดเลือด (ABI/PWV) หรือการตรวจหาแคลเซียมในหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Calcium Score – CAC)

4. เภสัชจุลศาลและนวัตกรรมการแพทย์: แนวทางการดูแลรักษาโรคไขมันในเลือดสูง
การรักษาโรคไขมันในเลือดสูงมีเป้าหมายเพื่อลดระดับไขมันที่ไม่ดี, เพิ่มไขมันที่ดี, และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งจะประกอบด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการใช้ยา
4.1 ยาที่ใช้รักษาโรคไขมันในเลือดสูง (Dyslipidemia Medications)
การใช้ยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัด
- ยากลุ่ม Statin:
- เป็นยาหลักที่ใช้ในการลดระดับ LDL-C ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด โดยยับยั้งการสร้างคอเลสเตอรอลในตับ และช่วยเพิ่มตัวรับ LDL-C ที่ตับ ทำให้ตับดึง LDL-C ออกจากเลือดได้ดีขึ้น
- ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: Atorvastatin (เช่น Lipitor), Simvastatin (เช่น Zocor), Rosuvastatin (เช่น Crestor), Pravastatin, Fluvastatin
- ข้อควรพิจารณา: มักรับประทานวันละครั้ง (ส่วนใหญ่ก่อนนอน หรือตามคำแนะนำของแพทย์) ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ เช่น ปวดกล้ามเนื้อ, ตับอักเสบ ควรปรึกษาแพทย์หากมีอาการ
- ยา Ezetimibe (เช่น Ezetrol):
- ยับยั้งการดูดซึมคอเลสเตอรอลจากอาหารที่ลำไส้เล็ก มักใช้ร่วมกับ Statin เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลด LDL-C หรือใช้ในผู้ที่ไม่สามารถทนผลข้างเคียงจาก Statin ได้
- ยับยั้งการดูดซึมคอเลสเตอรอลจากอาหารที่ลำไส้เล็ก มักใช้ร่วมกับ Statin เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลด LDL-C หรือใช้ในผู้ที่ไม่สามารถทนผลข้างเคียงจาก Statin ได้
- ยากลุ่ม Fibrates:
- เป็นยาหลักที่ใช้ลดระดับไตรกลีเซอไรด์ และอาจเพิ่ม HDL-C ได้บ้าง
- ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: Fenofibrate, Gemfibrozil
- ข้อควรพิจารณา: ใช้ในผู้ที่มีไตรกลีเซอไรด์สูงมาก เพื่อลดความเสี่ยงภาวะตับอ่อนอักเสบ
- ยา Niacin (Nicotinic Acid):
- ช่วยลด LDL-C และไตรกลีเซอไรด์ และเพิ่ม HDL-C ได้ดี แต่มีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก เช่น อาการหน้าแดง ร้อนวูบวาบ
- ช่วยลด LDL-C และไตรกลีเซอไรด์ และเพิ่ม HDL-C ได้ดี แต่มีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก เช่น อาการหน้าแดง ร้อนวูบวาบ
- ยากลุ่ม PCSK9 Inhibitors (เช่น Evolocumab, Alirocumab):
- เป็นยาชีววัตถุชนิดฉีดใต้ผิวหนัง ออกฤทธิ์โดยยับยั้งเอนไซม์ PCSK9 ทำให้ตับสามารถกำจัด LDL-C ออกจากเลือดได้มากขึ้นอย่างมาก
- ข้อควรพิจารณา: เป็นยาที่มีราคาแพง มักใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะไขมันในเลือดสูงชนิดพันธุกรรม หรือผู้ที่มีความเสี่ยงสูงมากและไม่สามารถควบคุมระดับ LDL-C ได้ด้วย Statin
- ยากลุ่ม Omega-3 Fatty Acids (กรดไขมันโอเมก้า-3):
- โดยเฉพาะชนิดที่แพทย์สั่ง (Prescription Omega-3) ที่มี Eicosapentaenoic acid (EPA) และ Docosahexaenoic acid (DHA) ในปริมาณสูง สามารถช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ได้
- โดยเฉพาะชนิดที่แพทย์สั่ง (Prescription Omega-3) ที่มี Eicosapentaenoic acid (EPA) และ Docosahexaenoic acid (DHA) ในปริมาณสูง สามารถช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ได้
ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลยาที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างและเพื่อการศึกษาเท่านั้น การใช้ยาใดๆ ต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำและการดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรอย่างเคร่งครัด ห้ามซื้อยาหรือปรับขนาดยาเองเด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงหรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้
4.2 นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการแพทย์ในการรักษาและป้องกันโรคไขมันในเลือดสูง
- การพัฒนา Statin รุ่นใหม่ๆ: ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและผลข้างเคียงน้อยลง
- การวิจัยยาที่ออกฤทธิ์ต่อเป้าหมายใหม่ๆ (Novel Targets): เพื่อควบคุมระดับไขมันได้ดียิ่งขึ้นในผู้ป่วยที่ดื้อยา หรือมีผลข้างเคียงจากยาเดิม
- การตรวจคัดกรองทางพันธุกรรม: เพื่อระบุผู้ที่มีภาวะไขมันในเลือดสูงชนิดพันธุกรรมตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสมและรวดเร็ว
- AI และ Big Data ในการประเมินความเสี่ยง: การใช้ปัญญาประดิษฐ์และข้อมูลขนาดใหญ่มาช่วยประเมินความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดในแต่ละบุคคลได้แม่นยำยิ่งขึ้น เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและเฉพาะบุคคล (Precision Medicine)
- แอปพลิเคชันและอุปกรณ์สวมใส่: ที่ช่วยในการติดตามพฤติกรรมการออกกำลังกาย, การรับประทานอาหาร, และส่งเสริมการดูแลสุขภาพด้วยตนเอง
5. การดูแลตัวเองและแนวทางการป้องกัน: เปลี่ยนพฤติกรรม ปกป้องหัวใจ
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเป็นหัวใจสำคัญในการป้องกันและจัดการโรคไขมันในเลือดสูง:
- รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพหัวใจ (Heart-Healthy Diet):
- ลดไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์: เลือกเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน, นมพร่องมันเนย, หลีกเลี่ยงอาหารทอด, อาหารแปรรูป
- เพิ่มใยอาหาร (Fiber): ในผัก, ผลไม้, ธัญพืชไม่ขัดสี (ข้าวกล้อง, ขนมปังโฮลวีท) ใยอาหารช่วยลดการดูดซึมคอเลสเตอรอล
- เลือกไขมันดี: รับประทานปลาทะเลน้ำลึก (แซลมอน, ทูน่า), ถั่วเปลือกแข็ง, เมล็ดพืช, อะโวคาโด, น้ำมันมะกอก, น้ำมันรำข้าว
- ลดปริมาณน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตแปรรูป:
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ (Regular Exercise):
- อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ สำหรับการออกกำลังกายระดับปานกลาง (เช่น เดินเร็ว, ปั่นจักรยาน) ช่วยเพิ่ม HDL-C และลด LDL-C และไตรกลีเซอไรด์
- อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ สำหรับการออกกำลังกายระดับปานกลาง (เช่น เดินเร็ว, ปั่นจักรยาน) ช่วยเพิ่ม HDL-C และลด LDL-C และไตรกลีเซอไรด์
- ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม (Maintain Healthy Weight):
- การลดน้ำหนัก 5-10% ก็สามารถช่วยลดระดับไขมันที่ไม่ดีได้อย่างมีนัยสำคัญ
- การลดน้ำหนัก 5-10% ก็สามารถช่วยลดระดับไขมันที่ไม่ดีได้อย่างมีนัยสำคัญ
- เลิกสูบบุหรี่ (Quit Smoking):
- เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด และช่วยเพิ่ม HDL-C
- เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด และช่วยเพิ่ม HDL-C
- จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ (Limit Alcohol Consumption):
- จัดการความเครียด (Stress Management):
- ความเครียดเรื้อรังอาจส่งผลต่อระดับไขมันในเลือด
6. การดูแลรักษาและใช้ชีวิตอยู่กับโรคไขมันในเลือดสูง: เพื่อหัวใจที่แข็งแรงยั่งยืน
เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไขมันในเลือดสูงแล้ว การดูแลอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญ:
- ปฏิบัติตามแผนการรักษาของแพทย์อย่างเคร่งครัด: ทั้งการใช้ยาตามที่กำหนด และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
- มาพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามผล: และตรวจเลือดเพื่อประเมินระดับไขมันในเลือดเป็นระยะ
- ไม่หยุดยาเอง: แม้ระดับไขมันจะกลับมาปกติแล้วก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์เสมอ
- ปรึกษาโภชนากร: เพื่อวางแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสม
- เฝ้าระวังอาการผิดปกติ: เช่น เจ็บหน้าอก, อ่อนแรงครึ่งซีก ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของภาวะแทรกซ้อน และควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
- ดูแลสุขภาพโดยรวม: ควบคุมโรคประจำตัวอื่นๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ให้ดี
สรุป: ไขมันในเลือดสูงจัดการได้ ด้วยความตระหนักและการดูแลที่ใส่ใจ
โรคไขมันในเลือดสูงเป็นภัยเงียบที่มักไม่แสดงอาการ แต่สามารถนำไปสู่โรคหัวใจและหลอดเลือดที่อันตรายถึงชีวิตได้ การตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการตรวจสุขภาพเป็นประจำ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการใช้ยาอย่างถูกต้องตามคำแนะนำของ เภสัชกร และแพทย์ คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้คุณสามารถควบคุมระดับไขมันในเลือด ปกป้องหลอดเลือดหัวใจ และมีสุขภาพที่ดีในระยะยาว
ข้อมูลอ้างอิงและข้อควรระวังสำคัญ:
- ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลยาและนวัตกรรมทางการแพทย์ที่กล่าวมาข้างต้นมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาและให้ข้อมูลเท่านั้น การวินิจฉัยโรค การเลือกวิธีการรักษา หรือการใช้ยาใดๆ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ (เช่น แพทย์อายุรแพทย์โรคหัวใจ, อายุรแพทย์ทั่วไป) อย่างเคร่งครัด ห้ามวินิจฉัยโรคด้วยตนเอง หรือซื้อยาและปรับขนาดยาเองเด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงหรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้ แพทย์จะพิจารณาความเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย โดยคำนึงถึงประโยชน์และความเสี่ยง
แหล่งอ้างอิง:
- ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย. (2565). แนวทางการวินิจฉัยและรักษาภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์เว็บไซต์ของราชวิทยาลัยฯ หรือหน้าคู่มือที่เกี่ยวข้อง)
- กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. (2565). โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง: ไขมันในเลือดสูง. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นหากมี)
- โรงพยาบาลชั้นนำในประเทศไทย (เช่น โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, โรงพยาบาลรามาธิบดี). บทความให้ความรู้เกี่ยวกับโรคไขมันในเลือดสูง. (ยกตัวอย่างบทความจากโรงพยาบาลที่น่าเชื่อถือ)
- สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.). ข้อมูลยาที่ได้รับอนุมัติในประเทศไทย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์ที่เกี่ยวข้องหากต้องการ เช่น ฐานข้อมูลยา)
เรียบเรียงข้อมูลโดย ( Compiled by): www.chulalakpharmacy.com