ริดสีดวง ไม่รักษา อันตรายไหม? ผลกระทบที่คุณควรรู้

ริดสีดวง ไม่รักษา อันตรายไหม? ผลกระทบที่คุณควรรู้

อาการ ริดสีดวงทวาร มักเริ่มต้นด้วยความรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย เช่น คัน หรือมีเลือดหยดเพียงเล็กน้อย ซึ่งทำให้หลายคนคิดว่า “ไม่เป็นไร” หรือ “เดี๋ยวก็หายเอง” และเลือกที่จะปล่อยทิ้งไว้โดยไม่เข้ารับการรักษาอย่างจริงจัง แต่การละเลยปัญหาริดสีดวงทวารอาจนำไปสู่ผลกระทบและภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงกว่าที่คิด ไม่เพียงแต่จะทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลง แต่ยังอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวได้ วันนี้เราจะมาดูกันว่าหากไม่รักษาริดสีดวงทวาร จะมีอันตรายอะไรบ้างที่คุณควรรู้ครับ

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากไม่รักษาริดสีดวงทวาร

การปล่อยปัญหาริดสีดวงทวารทิ้งไว้ โดยไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม อาจทำให้เกิดผลกระทบและภาวะแทรกซ้อนที่หลากหลาย ตั้งแต่ความไม่สบายตัวเล็กน้อยไปจนถึงปัญหาสุขภาพที่รุนแรง:

1. อาการแย่ลงและรบกวนชีวิตประจำวัน

หากไม่รักษา ริดสีดวงอาจพัฒนาจากระยะเริ่มต้นไปสู่ระยะที่รุนแรงขึ้น เช่น จากก้อนที่หดกลับได้เอง กลายเป็นก้อนที่ต้องใช้นิ้วดันกลับ หรือยื่นออกมาตลอดเวลา [1] สิ่งนี้จะนำมาซึ่ง:

  • อาการปวดและคันที่รุนแรงขึ้น: ทำให้การนั่ง เดิน หรือทำกิจกรรมต่างๆ ไม่สะดวกสบาย
  • เลือดออกบ่อยขึ้น: อาจมีเลือดออกปริมาณมากขึ้นทุกครั้งที่ขับถ่าย
  • ความไม่สบายตัวเรื้อรัง: รู้สึกระคายเคือง แสบ หรือคันตลอดเวลา สร้างความหงุดหงิดและลดคุณภาพชีวิต

2. ภาวะโลหิตจางจากการเสียเลือดเรื้อรัง

แม้ริดสีดวงอาจทำให้มีเลือดออกเล็กน้อย แต่หากมีการเสียเลือดบ่อยครั้งและต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ร่างกายอาจผลิตเม็ดเลือดแดงได้ไม่ทัน ทำให้เกิด ภาวะโลหิตจาง (Anemia) [2] ผู้ป่วยอาจมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เวียนศีรษะ หน้าซีด หรือแม้กระทั่งหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าร่างกายขาดเลือด

3. การเกิดลิ่มเลือดอุดตันในริดสีดวง (Thrombosed Hemorrhoid)

นี่เป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและมักเกิดกับ ริดสีดวงภายนอก ที่โป่งพอง เมื่อเลือดคั่งอยู่ในก้อนริดสีดวงและเกิดการแข็งตัวเป็นลิ่มเลือด จะทำให้เกิด อาการปวดอย่างรุนแรงเฉียบพลัน บริเวณทวารหนัก เจ็บจนไม่สามารถนั่งได้ บางครั้งอาจคลำพบก้อนแข็งๆ สีคล้ำ [3] ภาวะนี้ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน โดยอาจต้องมีการผ่าตัดเล็กเพื่อระบายลิ่มเลือดออก

4. ริดสีดวงขาดเลือดและเนื้อตาย (Strangulated Hemorrhoid)

หากริดสีดวงภายในที่ยื่นออกมาถูกหูรูดทวารหนักบีบรัดอย่างรุนแรง ทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนกลับไปเลี้ยงก้อนริดสีดวงได้ ก้อนริดสีดวงจะบวม ช้ำ และอาจเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ ซึ่งบ่งบอกถึงภาวะขาดเลือดและ เนื้อเยื่อเริ่มตาย [4] ภาวะนี้ก่อให้เกิดความเจ็บปวดอย่างรุนแรง และหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่การติดเชื้ออย่างรุนแรงได้

5. การติดเชื้อและการเกิดหนอง (Abscess)

ริดสีดวงที่อักเสบ บวม หรือมีแผลถลอก อาจเป็นช่องทางให้เชื้อแบคทีเรียเข้าสู่เนื้อเยื่อบริเวณทวารหนัก ทำให้เกิดการติดเชื้อและการสะสมของหนอง หรือที่เรียกว่า ฝีคัณฑสูตร (Perianal Abscess) [5] ซึ่งจะมีอาการปวด บวม แดง ร้อน และมีไข้ร่วมด้วย จำเป็นต้องได้รับการระบายหนองโดยแพทย์

6. ปัญหาผิวหนังรอบทวารหนัก

การระคายเคืองเรื้อรังจากริดสีดวง หรือจากเมือกและอุจจาระที่เล็ดลอดออกมา อาจทำให้ผิวหนังรอบทวารหนักอักเสบ คัน เป็นผื่น หรือมีการเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง (skin tags) ซึ่งสร้างความรำคาญใจอย่างมาก

7. บดบังการวินิจฉัยโรคร้ายแรงสิ่งสำคัญที่สุดคือ อาการเลือดออกทางทวารหนัก ซึ่งเป็นสัญญาณหลักของริดสีดวง ยังเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้ายแรงอื่นๆ ได้ เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก [6] หากคุณละเลยอาการเลือดออก โดยคิดว่าเป็นเพียงริดสีดวง อาจทำให้พลาดโอกาสในการตรวจพบและรักษาโรคมะเร็งในระยะเริ่มต้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่การรักษามีโอกาสประสบความสำเร็จสูง

อย่าละเลย…เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว

ริดสีดวงทวารไม่ใช่โรคที่ควรปล่อยทิ้งไว้ หากคุณเริ่มมีอาการ ไม่ว่าจะเป็นเล็กน้อยหรือรุนแรง อย่านิ่งนอนใจ การดูแลตัวเองเบื้องต้นอาจช่วยได้ในระยะแรก แต่หากอาการไม่ดีขึ้น หรือมีสัญญาณเตือนที่กล่าวมาข้างต้น ควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านลำไส้ใหญ่และทวารหนักทันที การตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้องและการรักษาที่เหมาะสม จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย ทำให้คุณกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดี และใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจโดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาริดสีดวงทวารอีกต่อไปครับ


แหล่งข้อมูลอ้างอิง:

  1. Mayo Clinic. (2024, May 14). Hemorrhoids – Symptoms & causes. Retrieved from https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/hemorrhoids/symptoms-causes/syc-20360262
  2. National Institute of Diabetes and Digestive and Kidney Diseases (NIDDK). (2024, February). Hemorrhoids. Retrieved from https://www.niddk.nih.gov/health-information/digestive-diseases/hemorrhoids
  3. Cleveland Clinic. (2023, September 29). Hemorrhoids. Retrieved from https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/15124-hemorrhoids
  4. American Society of Colon and Rectal Surgeons (ASCRS). (n.d.). Hemorrhoids. Retrieved from https://fascrs.org/patients/diseases-and-conditions/hemorrhoids
  5. Harvard Health Publishing. (2023, January 10). Hemorrhoids and what to do about them. Retrieved from https://www.health.harvard.edu/diseases-and-conditions/hemorrhoids-and-what-to-do-about-them
  6. American Cancer Society. (2024, May 1). Signs and Symptoms of Colorectal Cancer. Retrieved from https://www.cancer.org/cancer/types/colon-rectal-cancer/detection-diagnosis-staging/signs-symptoms.html

เรียบเรียงข้อมูลโดย  www.chulalakpharmacy.com

แชร์

ยังไม่มีบัญชี