โรคเชื้อราที่เล็บ (Onychomycosis) คือภาวะติดเชื้อราที่เกิดขึ้นบริเวณเล็บ โดยเฉพาะ เล็บเท้า (พบมากกว่าเล็บมือ) สาเหตุหลักเกิดจากเชื้อรากลุ่ม เดอร์มาโตไฟต์ (Dermatophytes) แต่ก็อาจเกิดจากเชื้อยีสต์ (Candida) หรือเชื้อราอื่นๆ ได้ การติดเชื้อจะทำให้เล็บมีลักษณะ หนาตัวขึ้น เปลี่ยนสี (ขาว เหลือง หรือดำ) เปราะแตกง่าย และหลุดล่อนออกจากฐานเล็บได้ [1]
การรักษาโรคนี้จำเป็นต้องใช้เวลานานและต้องได้รับการวินิจฉัยยืนยันจากแพทย์ก่อนเริ่มใช้ยา เพื่อให้แน่ใจว่าการรักษาถูกต้องและลดโอกาสดื้อยา [2]

รายละเอียด
โรคเชื้อราที่เล็บเป็นภาวะเล็บผิดปกติที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะใน ผู้สูงอายุ ผู้ที่มี โรคเบาหวาน หรือภาวะ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง เนื่องจากเชื้อราเจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่อับชื้น อุ่น และมืด การติดเชื้อราที่เล็บมักเริ่มต้นที่ขอบเล็บและค่อย ๆ ลุกลามเข้าไปใต้แผ่นเล็บ ทำให้เกิดขุยหนาใต้เล็บและเล็บผิดรูปในที่สุด [3]
อาการสังเกตได้:
- เล็บเปลี่ยนสี: เป็นสีขาว เหลือง น้ำตาล หรือดำ
- เล็บหนาและหยาบ: เล็บขรุขระ ผิวไม่เรียบ และหนาตัวขึ้นมาก
- เล็บเปราะ: เล็บแตก หัก หรือลอกเป็นชั้น ๆ ได้ง่าย
- เล็บแยกตัว: เล็บหลุดล่อนออกจากฐานเล็บ (Onycholysis)
กลไกการออกฤทธิ์ผ่านพฤติกรรม (Mechanism of Action Through Behavior)
เชื้อราที่ก่อโรคนี้มีกลไกในการเข้าทำลายคือการย่อยสลาย เคราติน (Keratin) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเล็บ ผิวหนัง และเส้นผม ปัจจัยทางพฤติกรรมที่เอื้อต่อการติดเชื้อและเป็นกลไกสำคัญในการเกิดโรคได้แก่:
- ความอับชื้นและรองเท้าปิดทึบ: การสวมใส่รองเท้าที่คับแน่นหรืออับชื้นเป็นเวลานาน (โดยเฉพาะการออกกำลังกาย) ทำให้เกิดความร้อนและเหงื่อ ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่เชื้อราเติบโตได้ดีที่สุด
- บาดแผลและการบาดเจ็บซ้ำ ๆ: การได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยซ้ำ ๆ ที่เล็บ (เช่น การกระแทกจากการวิ่ง หรือการสวมรองเท้าคับ) ทำให้แผ่นเล็บแยกตัวจากฐานเล็บเล็กน้อย เปิดช่องทางให้เชื้อราเข้าสู่ชั้นเคราตินได้ง่าย
- การแพร่เชื้อจากเท้า: ผู้ที่เป็น น้ำกัดเท้า (Tinea Pedis) มักจะมีเชื้อราที่เล็บร่วมด้วย โดยเชื้อราจากผิวหนังจะแพร่กระจายไปติดเล็บได้ง่าย
- สุขอนามัยที่ไม่ดี: การเดินเท้าเปล่าในที่สาธารณะที่มีความชื้น เช่น ห้องอาบน้ำ สระว่ายน้ำ หรือห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ทำให้สัมผัสกับเชื้อโดยตรง
5 ขั้นตอนง่าย ๆ ที่สามารถทำได้ทันทีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา
- ตัดและตะไบเล็บ: ตัดเล็บให้สั้นและตะไบแผ่นเล็บส่วนที่หนาออกอย่างเบามือ (ใช้เครื่องมือที่ฆ่าเชื้อแล้ว) การทำเช่นนี้ช่วยให้ยาทาสามารถซึมซาบถึงบริเวณที่ติดเชื้อใต้เล็บได้ดีขึ้น
- ใช้ยาทาอย่างสม่ำเสมอ: หากแพทย์สั่งยาเคลือบเล็บฆ่าเชื้อรา (Ciclopirox หรือ Amorolfine) ต้องทาตามกำหนด (อาจเป็นรายวันหรือรายสัปดาห์) และต่อเนื่องตามระยะเวลาที่แพทย์กำหนด ซึ่งมักจะยาวนาน (6-12 เดือน)
- ดูแลความแห้งของเท้า: หลังอาบน้ำ ต้องเช็ดเท้าและซอกนิ้วเท้าให้ แห้งสนิทที่สุด ก่อนใส่ถุงเท้าหรือรองเท้า
- ฆ่าเชื้อในรองเท้า: เปลี่ยนรองเท้าเก่าที่อาจเป็นแหล่งสะสมของเชื้อรา หรือใช้สเปรย์ฆ่าเชื้อราพ่นลงในรองเท้าและถุงเท้าเป็นประจำ
- รักษาโรคเชื้อราอื่นร่วมด้วย: หากมีอาการน้ำกัดเท้า (Tinea Pedis) ควรรักษาให้หายขาดไปพร้อมกับการรักษาเชื้อราที่เล็บ เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ
อาหารเสริมที่ช่วยบำรุง ดูแล หรือป้องกัน
การรักษาเชื้อราที่เล็บส่วนใหญ่ต้องใช้ยา แต่การรับประทานอาหารเสริมบางชนิดสามารถช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเล็บและระบบภูมิคุ้มกันได้:
- ไบโอติน (Biotin): เป็นวิตามินที่สำคัญต่อการสร้าง เคราติน ช่วยให้เล็บที่งอกใหม่แข็งแรงและไม่เปราะแตกง่าย
- ซิงก์ (Zinc) และ วิตามินซี (Vitamin C): ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ต่อสู้กับเชื้อราได้ดีขึ้น และช่วยในกระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
- Probiotics (โพรไบโอติกส์): ช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในร่างกาย ซึ่งมีผลดีต่อภูมิคุ้มกันโดยรวม
ข้อควรระวังและคำแนะนำเพิ่มเติม
- การวินิจฉัยที่ถูกต้อง: ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อวินิจฉัยยืนยันการติดเชื้อรา (โดยการขูดชิ้นส่วนเล็บไปตรวจ) ก่อนเริ่มการรักษา เพราะอาการเล็บหนาอาจเกิดจากโรคอื่น เช่น สะเก็ดเงินที่เล็บ (Nail Psoriasis) ได้ [2]
- ระยะเวลาการรักษา: การรักษาเชื้อราที่เล็บต้องใช้เวลานานมาก เล็บมือใช้เวลาประมาณ 6 เดือน และเล็บเท้าใช้เวลาประมาณ 12-18 เดือน ในการงอกใหม่จนหายขาด การหยุดยาเร็วเกินไปคือสาเหตุหลักของการกลับมาเป็นซ้ำ
- ยาฆ่าเชื้อราชนิดรับประทาน: ยาที่นิยมใช้ เช่น Terbinafine (เทอร์บินาฟีน) และ Itraconazole (ไอทราโคนาโซล) มีประสิทธิภาพสูง แต่ยาเหล่านี้อาจมีผลข้างเคียงต่อตับ ดังนั้น ต้องรับประทานภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างเคร่งครัด และอาจมีการตรวจเลือดเพื่อดูการทำงานของตับเป็นระยะ

“ข้อมูลในบทความนี้เป็นเพียงความรู้เบื้องต้น ไม่สามารถใช้ทดแทนการปรึกษาและวินิจฉัยจากแพทย์หรือเภสัชได้ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเมื่อใช้ยา หรือมีปัญหาสุขภาพ”
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
- โรงพยาบาลมหาชัย 2. เชื้อราที่เล็บ…ป้องกันและรักษาได้อย่างไร.
- คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล. โรคเชื้อราที่เล็บ.
- Mayo Clinic. Nail fungus – Diagnosis and treatment.
เรียบเรียงโดย (Compiled by) : www.chulalakpharmacy.com









