โรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา: ประเภท สาเหตุ และแนวทางการรักษา

โรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา (Fungal Skin Diseases) คือภาวะติดเชื้อราที่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ส่วนใหญ่เกิดที่ ผิวหนังชั้นนอก ผม และเล็บ แบ่งเป็นกลุ่มหลัก ๆ ตามชนิดของเชื้อราที่ก่อโรค ได้แก่ กลุ่มเชื้อรา Dermatophytes (กลาก) และกลุ่มเชื้อรา Malassezia (เกลื้อน) โดยมี ความอับชื้น ความร้อน และภาวะภูมิคุ้มกัน เป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นการเกิดโรค

1. กลุ่มโรคที่เกิดจากเชื้อราเดอร์มาโตไฟต์ (Dermatophytosis/Tinea)

เป็นกลุ่มโรคที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากเชื้อราที่กินโปรตีน เคราติน (Keratin) เป็นอาหาร และสามารถติดต่อได้ง่าย [1]

ประเภทและสาเหตุ (กลไก)

  • เชื้อก่อโรค: Trichophyton, Microsporum, และ Epidermophyton
  • กลไก: เชื้อเข้าทำลายเคราตินของผิวหนังและกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ผื่นมักมีลักษณะเป็น วงแหวน มีขอบเขตชัดเจน คันรุนแรง
ชื่อโรค/ชื่อสามัญบริเวณที่พบลักษณะเด่นของรอยโรค
กลาก (Ringworm)ลำตัว แขน ขาผื่นวงแหวนสีแดง มีขอบนูน ขอบชัดเจน
สังคัง (Jock Itch)ขาหนีบ อวัยวะเพศ ก้นผื่นแดงเป็นวงขอบชัดเจนในบริเวณอับชื้น คันรุนแรง
น้ำกัดเท้า (Athlete’s Foot)เท้าและซอกนิ้วเท้าผิวเปื่อย ยุ่ย ลอกเป็นขุย คันยิบ ๆ
เชื้อราที่เล็บ (Tinea Unguium)เล็บมือ เล็บเท้าเล็บหนา ขรุขระ เปลี่ยนสี (เหลือง/ขาว) ใต้เล็บมีขุย

2. กลุ่มโรคที่เกิดจากเชื้อราอื่นๆ (Non-Dermatophyte Fungi)

โรคในกลุ่มนี้เกิดจากเชื้อราที่อาศัยอยู่บนผิวหนังตามปกติ และก่อให้เกิดโรคเมื่อมีปัจจัยกระตุ้น เช่น ความชื้นสูง หรือภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง [2]

ชื่อโรค/ชื่อสามัญเชื้อก่อโรคหลักลักษณะเด่นของรอยโรค
เกลื้อน (Tinea Versicolor)Malassezia furfurรอยด่างสีแตกต่าง (ขาว/น้ำตาล/ชมพู) พบที่หน้าอก หลัง ต้นคอ คันเล็กน้อย
เชื้อราในช่องปาก (Oral Thrush)Candida albicansฝ้าสีขาวที่ลิ้นหรือกระพุ้งแก้ม (มักเกิดในทารก หรือผู้ที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ)

แนวทางการรักษาและ 5 ขั้นตอนสำคัญ (Trust and Authority)

การรักษาโรคผิวหนังจากเชื้อราที่ได้ผล ต้องอาศัยทั้งการใช้ยาและการปรับพฤติกรรมเพื่อลดปัจจัยกระตุ้น

1. การรักษาด้วยยา

  • ยาทาฆ่าเชื้อรา: เป็นการรักษาหลักสำหรับเชื้อราที่ผิวหนังชั้นนอกทั่วไป ตัวยาสำคัญที่ใช้บ่อยคือ Ketoconazole, Clotrimazole, Terbinafine, และ Miconazole [1]
    • วิธีใช้: ทาอย่างต่อเนื่องตามแพทย์สั่ง (มักใช้เวลา 2-4 สัปดาห์) และ ทาต่ออีก 1-2 สัปดาห์หลังอาการหายสนิท เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
  • ยาฆ่าเชื้อราชนิดรับประทาน: ใช้สำหรับกรณีที่เป็นรุนแรง, รอยโรคกว้างมาก, ไม่ตอบสนองต่อยาทา, หรือเป็นการติดเชื้อที่เล็บ/ผิวหนังชั้นใน (เช่น Terbinafine, Itraconazole) ซึ่งต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์และมีการตรวจติดตามผลเลือด

2. 5 ขั้นตอนง่าย ๆ ในการดูแลตนเองและป้องกันการกลับเป็นซ้ำ

  1. รักษาความแห้ง: หลังอาบน้ำหรือออกกำลังกาย ต้อง ซับผิวหนังให้แห้งสนิท โดยเฉพาะบริเวณซอกพับ, ขาหนีบ, และซอกนิ้วเท้า
  2. หลีกเลี่ยงความอับชื้น: สวมใส่เสื้อผ้าและชุดชั้นในที่ระบายอากาศได้ดี (ผ้าฝ้าย) และไม่ควรใส่เสื้อผ้าที่เปียกเหงื่อหรือเปียกน้ำซ้ำ
  3. ห้ามใช้ยาผิดประเภท: หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีส่วนผสมของ สเตียรอยด์ เพียงอย่างเดียว เพราะไม่ได้ฆ่าเชื้อราและอาจทำให้อาการแย่ลง
  4. ป้องกันการติดต่อ: ไม่ควรใช้เสื้อผ้า รองเท้า หรือผ้าเช็ดตัวร่วมกับผู้อื่น
  5. รักษาโรคอื่นร่วมด้วย: หากมีเชื้อราที่เล็บหรือเท้า (น้ำกัดเท้า) ควรรักษาไปพร้อมกันเพื่อป้องกันการแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย

อาหารเสริมที่ช่วยบำรุง ดูแล หรือป้องกัน

  • Probiotics (โพรไบโอติกส์): ช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในร่างกาย ซึ่งมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน และอาจลดโอกาสในการติดเชื้อราซ้ำได้
  • Vitamin C และ Zinc (สังกะสี): ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อราและซ่อมแซมผิวหนังที่เสียหายได้ดีขึ้น

“ข้อมูลในบทความนี้เป็นเพียงความรู้เบื้องต้น ไม่สามารถใช้ทดแทนการปรึกษาและวินิจฉัยจากแพทย์หรือเภสัชได้ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเมื่อใช้ยา หรือมีปัญหาสุขภาพ”

ปรึกษาโรคผิวหนัง


แหล่งข้อมูลอ้างอิง:

  1. ราชวิทยาลัยแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย. โรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา. [ข้อมูล Dermatophytes, กลาก, และการรักษา]
  2. Haamor.com. โรคผิวหนังจากเชื้อรา. [ข้อมูลเชื้อรา Malassezia และ Candida]
  3. Centers for Disease Control and Prevention (CDC). Types of Fungal Diseases. [ข้อมูลเชื้อราที่ผิวหนังชั้นลึกและอื่น ๆ]

เรียบเรียงโดย (Compiled by)  : www.chulalakpharmacy.com

แชร์

ยังไม่มีบัญชี