ไฮโดรคอร์ติโซน (Hydrocortisone): ยาสเตียรอยด์ฤทธิ์อ่อนสำหรับลดการอักเสบ

ไฮโดรคอร์ติโซน (Hydrocortisone) คือ ยาสเตียรอยด์ (Corticosteroid) ที่สังเคราะห์ขึ้น ซึ่งมีฤทธิ์เทียบเท่ากับฮอร์โมน คอร์ติซอล (Cortisol) ที่ร่างกายสร้างขึ้นตามธรรมชาติ จัดเป็นยาสเตียรอยด์ที่มี ฤทธิ์อ่อนที่สุด (Low Potency) ในกลุ่มยาสเตียรอยด์ทาภายนอก จึงเหมาะสำหรับใช้รักษาอาการอักเสบที่ไม่รุนแรง โดยเฉพาะบริเวณผิวที่บอบบาง เช่น ใบหน้า ซอกพับ หรือในเด็กเล็ก [1]

กลไกการออกฤทธิ์

Hydrocortisone ออกฤทธิ์หลักด้วยการ ลดการอักเสบ (Anti-inflammatory) และ กดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressive) ผ่านกลไกสำคัญดังนี้:

  1. ยับยั้งสารสื่อการอักเสบ: ยาจะเข้าไปขัดขวางการหลั่งและยับยั้งการทำงานของสารเคมีหลายชนิด (เช่น Prostaglandins และ Leukotrienes) ที่เป็นต้นเหตุของกระบวนการอักเสบ [1]
  2. ลดการขยายตัวของหลอดเลือด: ทำให้หลอดเลือดหดตัวลง (Vasoconstriction) ส่งผลให้ลดอาการบวม แดง และคันบริเวณที่เกิดการอักเสบ
  3. กดภูมิคุ้มกัน: ลดการเคลื่อนที่และการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันไปยังบริเวณที่มีการอักเสบ ทำให้ผื่นแพ้หรือผื่นอักเสบยุบตัวลงอย่างรวดเร็ว

ประโยชน์ (ข้อบ่งใช้)

Hydrocortisone ถูกใช้รักษาอาการอักเสบและแพ้ในหลายรูปแบบ:

รูปแบบยาข้อบ่งใช้หลักตัวอย่างโรค
ครีม/โลชั่น/ขี้ผึ้ง (Topical)ลดอาการอักเสบ คัน และแดงของผิวหนังผื่นแพ้ผิวหนัง (Atopic Dermatitis), ผื่นสัมผัส (Contact Dermatitis), ผื่นคันจากแมลงกัดต่อย, ผื่นคันตามซอกพับ, โรคเซ็บเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis) (ใช้ร่วมกับยาฆ่าเชื้อรา)
ยาเม็ดรับประทานการรักษาภาวะขาดฮอร์โมนคอร์ติซอล (Adrenal insufficiency), ภาวะภูมิแพ้รุนแรง, โรคข้ออักเสบรุนแรงมักใช้ในขนาดสูงและจำกัดการใช้เฉพาะกรณี [2]
ยาฉีดการรักษาภาวะช็อกหรืออาการแพ้รุนแรงเฉียบพลันใช้ในสถานพยาบาล

ขนาดยาและการบริหารยา

  • ยาครีม/โลชั่น (ความเข้มข้น $0.5%-1%): ทาบาง ๆ บริเวณที่มีอาการ วันละ $1-2$ ครั้ง
    • ระยะเวลา: ควรใช้ในระยะเวลา สั้นที่สุดเท่าที่จำเป็น (มักไม่เกิน $1-2$ สัปดาห์) เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงจากการใช้สเตียรอยด์ต่อเนื่อง [3]
  • ยาเม็ดรับประทาน: ขนาดยาขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยและความรุนแรงของโรค ต้องใช้ตามคำสั่งแพทย์เท่านั้น

ผลข้างเคียง

เนื่องจากเป็นสเตียรอยด์ฤทธิ์อ่อน ผลข้างเคียงจากการใช้ยาทาจึงน้อยกว่าสเตียรอยด์ฤทธิ์แรง แต่ถ้าใช้ติดต่อกันนานอาจเกิด:

  • ผิวหนังบางลง: โดยเฉพาะบริเวณที่ทาซ้ำ ๆ หรือบริเวณใบหน้า [3]
  • สิวสเตียรอยด์ (Steroid Acne): มีลักษณะเป็นผื่นคล้ายสิว
  • รอยแตกที่ผิวหนัง (Striae)
  • ขนขึ้นผิดปกติ
  • การติดเชื้อซ้ำ/ลุกลาม: หากใช้กับผื่นที่มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อราหรือแบคทีเรียโดยไม่มีการรักษาเชื้อร่วมด้วย

ข้อควรระวังและคำแนะนำเพิ่มเติม

  • ห้ามใช้ในผิวหนังติดเชื้อที่ไม่ได้รับการรักษา: ห้ามใช้ Hydrocortisone (เดี่ยว ๆ) กับผื่นที่มีสาเหตุจากเชื้อรา (เช่น กลาก สังคัง) หรือเชื้อแบคทีเรีย เว้นแต่จะใช้ร่วมกับยาฆ่าเชื้อที่เหมาะสม
  • ระวังบริเวณผิวบอบบาง: แม้จะเป็นฤทธิ์อ่อน แต่การทาบริเวณผิวหนังที่บอบบาง (ใบหน้า, ซอกขาหนีบ) หรือบริเวณที่อับชื้น ควรใช้ในความเข้มข้นต่ำและระยะเวลาสั้น
  • ปรึกษาแพทย์ก่อนหยุดยา (ชนิดกิน): หากใช้ยา Hydrocortisone ชนิดรับประทานในระยะเวลานาน ห้ามหยุดยาทันที เพราะอาจเกิดภาวะต่อมหมวกไตทำงานล้มเหลวเฉียบพลันได้ ต้องลดขนาดอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามแผนของแพทย์ [2]

ยี่ห้อยาที่มีส่วนประกอบในไทย

  • Hycort
  • Cortisone
  • Fudic H (มักเป็น Hydrocortisone ผสมยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย)
  • รูปแบบผสมกับยาฆ่าเชื้อรา/แบคทีเรีย (ต้องระวังการใช้)

แหล่งซื้อยา (ระบุว่าต้องมีใบสั่งแพทย์)

  • ยาครีม/โลชั่น Hydrocortisone $0.5\%-1\%$: เป็นยาที่สามารถซื้อได้ทั่วไป (OTC) จากร้านขายยา โดยปรึกษาเภสัชกรก่อนใช้
  • ยาเม็ดรับประทาน/ยาฉีด: ต้องใช้ตามใบสั่งแพทย์เท่านั้น
ปรึกษาโรคผิวหนัง

“ข้อมูลในบทความนี้เป็นเพียงความรู้เบื้องต้น ไม่สามารถใช้ทดแทนการปรึกษาและวินิจฉัยจากแพทย์หรือเภสัชได้ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเมื่อใช้ยา หรือมีปัญหาสุขภาพ”


แหล่งข้อมูลอ้างอิง:

  1. Haamor.com. ยาไฮโดรคอร์ติโซน (Hydrocortisone). [ข้อมูลยาและการบริหารยา]
  2. MedPark Hospital. ยากลุ่มสเตียรอยด์ (Corticosteroids). [ข้อมูลการออกฤทธิ์และข้อควรระวังยาเม็ด]
  3. คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล. สเตียรอยด์ที่ใช้ภายนอก (Topical Corticosteroid). [ข้อมูลการจัดกลุ่มฤทธิ์และผลข้างเคียง]


เรียบเรียงโดย (Compiled by)  : www.chulalakpharmacy.com


แชร์

ยังไม่มีบัญชี