โรคซิฟิลิสกับคำถามที่พบบ่อย

ซิฟิลิส (Syphilis) คือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) ผ่านการสัมผัสกับสารคัดหลั่งที่ทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียทรีโพนีมา พาลลิดัม (Treponema pallidum) สาเหตุที่ทำให้เป็นแผลซิฟิลิส หรือแผลริมแข็ง (Chancre) ขึ้นเป็นตุ่มนูนแตกออกเป็นแผลกว้างที่ปาก อวัยวะเพศ หรือทวารหนัก โรคซิฟิลิสที่ไม่ได้รับการรักษาให้หายตั้งแต่ระยะเป็นแผลจะพัฒนาเข้าสู่ระยะออกดอก และระยะติดเชื้อที่ทำลายระบบประสาท ระบบหลอดเลือดและหัวใจ และทำให้เสียชีวิตได้ในที่สุด ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษา

สาเหตุของโรคซิฟิลิส

เบื้องต้น โรคซิฟิลิสเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า ทริปโปนีมา พัลลิดุม สามารถแพร่เชื้อได้ผ่านการสัมผัสผู้ที่มีเชื้อ เช่น การจูบ, การสัมผัสแผล, การมีเพศสัมพันธ์, การรับเลือดมาจากผู้ติดเชื้อ และการสัมผัสเข็มที่ติดเชื้อ เป็นต้น นอกจากจะมีการติดต่อจากคนสู่คนแล้ว ยังสามารถติดต่อจากสตรีมีครรภ์ แล้วส่งต่อไปถึงลูกน้อยในครรภ์ได้อีกด้วย

โรคซิฟิลิส อาการเป็นอย่างไร 

 ระยะของโรคซิฟิลิส

โรคซิฟิลิส จะมีระยะการฟักตัวอยู่ที่ 2-4 สัปดาห์ และอาจนานถึง 3 เดือน โดยโรคนี้สามารถแบ่งออกได้เป็นอีก 4 ระยะ ดังนี้

  • ระยะที่

ผู้ป่วยจะมีแผลเล็กที่เรียกว่าแผลริมแข็งตรงจุดที่เกิดการติดเชื้อ โดยเฉพาะบริเวณอวัยวะเพศ ซึ่งผู้ป่วยบางคน อาจจะไม่ทันได้สังเกตอาการของตนเอง และไม่รู้ตัวว่ามีแผลเกิดขึ้น เพราะแผลจะไม่มีอาการปวด ซึ่งระยะนี้จะเกิดแผลหลังจากรับเชื้อไปแล้วไม่เกิน 2 เดือน และหายไปเองภายใน 6 สัปดาห์

  • ระยะที่ 2 

อาการจะพัฒนาจากระยะที่ 1 ในเวลาไม่เกิน 3 เดือน โดยจะแสดงอาการขึ้นมา เช่น เกิดตุ่มขึ้นตามตัว, น้ำหนักลดลง, ต่อมน้ำเหลืองมีอาการบวม และผมร่วง เป็นต้น แต่เช่นเดียวกับระยะที่ 1 อาการเหล่านี้จะสามารถหายได้เองเช่นกัน

  • ระยะแฝง 

เป็นระยะที่ผู้ป่วยแทบจะไม่แสดงอาการใด ๆ ว่าติดเชื้อซิฟิลิส แต่ยังคงมีเชื้ออยู่ในร่างกาย ก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่ซิฟิลิสระยะสุดท้าย ซึ่งอาจจะเป็นระยะที่มีการแพร่เชื้อมากที่สุดอาจเป็นได้ 

ระยะที่ 3

หากมาถึงระยะนี้ และไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง จะส่งผลข้างเคียงอย่างรุนแรง เช่น มีผลต่อระบบประสาท, หัวใจ, สมอง, อัมพาต, กระดูก และข้อต่อ หรืออาจรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

คำถามโรคซิฟิลิสที่พบบ่อย

1.ซิฟิลิสในทารกแรกเกิดรักษาหายไหม

คำตอบ : เนื่องจากซิฟิลิสเป็นโรคติดเชื้อ หากตอบสนองต่อการให้ยาฆ่าเชื้อก็สามารถหายเป็นปกติได้

2.โรคซิฟิลิสกับเอดส์เหมือนกันไหม 

คำตอบ : ไม่เหมือนกัน โรคซิฟิลิสจะต่างกับโรคเอดส์ (HIV) คือสามารถรักษาให้หายขาดได้หากพบในระยะแรกๆ

3.ซิฟิลิสติดทางน้ำลายไหม

คำตอบ : ซิฟิลิสติดต่อทางน้ําลายได้ เพราะเชื้อแบคทีเรียนี้จะอยู่ในเลือดและสารคัดหลั่งต่าง ๆ จากร่างกาย รวมถึงในน้ำลายด้วย

4.โรคซิฟิลิสรักษานานไหม

คำตอบ : ซิฟิลิสใช้เวลารักษาประมาณ 1 – 3 สัปดาห์ ขึ้นกับระยะของโรคที่เป็น และจะต้องตรวจติดตามหลังจากรักษาไปแล้วจนครบ2ปี 

5.เป็นซิฟิลิสแล้ว กลับมาเป็นซ้ำได้ไหม

คำตอบ : เป็นซ้ำได้ หากมีพฤติกรรมเสี่ยงอีกครั้งหรือได้รับเชื้อมาเพิ่ม

6.ตุ่มซิฟิลิสสังเกตยังไง

คำตอบ : ลักษณะรอยโรคจะเป็นตุ่มแผล สีแดงขอบนูนแข็ง ไม่เจ็บ อาจมีแผลเดียวหรือหลายแผลขึ้นที่บริเวณอวัยวะเพศ ปาก ทวารหนัก ท่อปัสสาวะ เยื่อบุตา 

7.โรคซิฟิลิส หายเองได้ไหม

คำตอบ : ไม่ได้ หากไม่รักษาโรคก็จะลุกลามไปทำลายอวัยวะอื่นๆ ทำให้พิการและอาจเสียชีวิตได้

8.ซิฟิลิสส่งผลต่อการตั้งครรภ์หรือไม่

คำตอบ : ซิฟิลิสสามารถส่งผลกระทบต่อครรภ์มารดาคือ เพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้ง การคลอดก่อนกำหนดและการเสียชีวิตระหว่างตั้งครรภ์ 

ส่วนผลต่อทารกในครรภ์ ได้แก่ ทารกอาจเกิดมาพร้อมกับความผิดปกติ เช่น ผื่นที่ผิวหนัง ภาวะบวมน้ำ ความผิดปกติของกระดูก หูหนวก หรือการมองเห็นบกพร่อง หากไม่ได้รับการรักษา ทารกอาจเสียชีวิตในครรภ์หรือหลังคลอด

9.ซิฟิลิสถ้าปล่อยไว้จะเกิดอะไรขึ้น

คำตอบ : หากซิฟิลิสไม่ได้รับการรักษา เชื้อแบคทีเรียจะคงอยู่ในร่างกายและลุกลามผ่านระยะต่าง ๆ ซึ่งสามารถสร้างความเสียหายต่อสุขภาพอย่างรุนแรง สร้างความเสียหายร้ายแรงต่ออวัยวะสำคัญ เช่น สมอง หัวใจ หลอดเลือด และกระดูก อาจเกิดภาวะสมองเสื่อม อัมพาต หัวใจล้มเหลว หรือถึงขั้นเสียชีวิต  

นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังมีโอกาสแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นและในกรณีหญิงตั้งครรภ์ เชื้ออาจส่งผ่านไปยังทารกในครรภ์ได้

การป้องกันโรคซิฟิลิส

  • ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย 
  • ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีแผลบริเวณอวัยวะเพศ
  • สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งขณะมีเพศสัมพันธ์
  • หลีกเลี่ยงการดื่มสุรา และการใช้ยาเสพติด 
  • เข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง 

การตระหนักถึงโรคร้าย และการป้องกันตัวเองจากโรคเหล่านั้น ที่ติดมากับเพศสัมพันธ์ ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเมื่อป่วยแล้ว จะไม่สามารถย้อนเวลากลับไปให้ร่างกายเป็นปกติได้ เมื่อพบตนเองมีอาการน่าสงสัยว่าจะเป็นโรคดังกล่าว ควรเข้าพบแพทย์ เพื่อรักษาโรคอย่างทันท่วงที และรับคำแนะนำในการป้องกันตนเอง ก่อนที่จะสายเกินแก้


แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
– โรงพยาบาลเพชรเวช
– โรงพยาบาล medpark
– web intouchmedicare
เรียบเรียงข้อมูลโดย: CHULALAKPHARMACY.COM

แชร์

สินค้าที่เกี่ยวข้อง

No results found.

ยังไม่มีบัญชี