คุณเคยรู้สึกเหนื่อยล้า ไม่มีแรงจูงใจ หรือรู้สึกว่าทุกอย่างรอบตัวดูไร้ค่าไหม? บางวันคุณอาจอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว หรือแม้แต่เรื่องที่เคยทำให้มีความสุขก็ไม่สามารถเรียกรอยยิ้มจากคุณได้อีกต่อไป หากคุณมีความรู้สึกเช่นนี้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน คุณอาจกำลังเผชิญกับ โรคซึมเศร้า

โรคซึมเศร้า (Depression) เป็นความผิดปกติทางอารมณ์ที่ทำให้บุคคลรู้สึกเศร้า หดหู่ และหมดกำลังใจเป็นเวลานานจนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งแตกต่างจากความรู้สึกเศร้าทั่วไปที่เกิดขึ้นเป็นช่วงๆ และหายไปเอง ผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าอาจรู้สึกสิ้นหวัง ไม่มีความสุข ขาดพลังงาน และอาจสูญเสียความสนใจในสิ่งที่เคยชอบทำ ในกรณีรุนแรงอาจนำไปสู่การคิดทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตาย
อาการของโรคซึมเศร้า
อาการของโรคซึมเศร้าอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่โดยทั่วไปมีอาการดังนี้
1. อารมณ์
- รู้สึกเศร้า หดหู่ หรือว่างเปล่า
- หงุดหงิดง่าย หรือรู้สึกโกรธโดยไม่มีเหตุผล
- รู้สึกสิ้นหวัง หรือไร้ค่า
2. พฤติกรรมและความคิด
- ขาดความสนใจหรือความสุขในกิจกรรมที่เคยชอบ
- มีปัญหาในการจดจ่อ หรือคิดอะไรไม่ออก
- ตัดสินใจลำบาก
3. ร่างกาย
- นอนไม่หลับ หรือนอนมากเกินไป
- เหนื่อยล้า ไม่มีพลังงาน
- เบื่ออาหาร หรือน้ำหนักลด/เพิ่มอย่างผิดปกติ
4. อาการรุนแรงที่ต้องระวัง
- คิดเกี่ยวกับความตาย หรือการฆ่าตัวตาย
- พยายามทำร้ายตนเอง
ประเภทของโรคซึมเศร้า
1.Major Depressive Disorder (MDD) – ซึมเศร้ารุนแรงต่อเนื่องเกิน 2 สัปดาห์
โรคซึมเศร้าแบบเมเจอร์ (Major Depressive Disorder – MDD) เป็นโรคทางอารมณ์ที่รุนแรง ส่ง
ผลกระทบต่อความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมของผู้ป่วย ทำให้สูญเสียความสามารถในการใช้ชีวิตตามปกติ ภาวะซึมเศร้าต่างจากความเศร้าทั่วไป เพราะเป็นอาการที่ ยาวนานต่อเนื่องเกิน 2 สัปดาห์ และส่งผลกระทบต่อการทำงาน การใช้ชีวิต และความสัมพันธ์กับผู้อื่น
2. Persistent Depressive Disorder (PDD) – ซึมเศร้าแบบเรื้อรัง (เกิน 2 ปี)
Persistent Depressive Disorder (PDD) หรือที่รู้จักในชื่อ Dysthymia (ดิสไทเมีย) เป็นโรคซึม
เศร้าชนิดเรื้อรังที่มีอาการซึมเศร้าต่อเนื่องยาวนาน ไม่น้อยกว่า 2 ปี ในผู้ใหญ่ (หรืออย่างน้อย 1 ปีในเด็กและวัยรุ่น)อาการของ PDD มักไม่รุนแรงเท่ากับ Major Depressive Disorder (MDD) แต่เป็นอาการที่ เกิดขึ้นต่อเนื่องและเรื้อรัง ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกหมดพลังงาน ขาดแรงจูงใจ และใช้ชีวิตด้วยอารมณ์เศร้าเกือบตลอดเวลาแม้ว่าอาการจะไม่รุนแรงจนถึงขั้นรบกวนชีวิตประจำวันแบบเฉียบพลันเหมือน MDD แต่ PDD สามารถส่งผลต่อ คุณภาพชีวิตในระยะยาว ทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาในการทำงาน การเข้าสังคม และการดูแลตัวเอง
3.Bipolar Disorder – ภาวะซึมเศร้าสลับกับอารมณ์ดีผิดปกติ
Bipolar Disorder (BD) หรือโรคอารมณ์สองขั้ว เป็นโรคทางจิตเวชที่ทำให้ผู้ป่วยมี อารมณ์แปรปรวน
สุดขั้ว สลับระหว่าง ช่วงอารมณ์ซึมเศร้า (Depressive Episode) และ ช่วงอารมณ์แมเนีย (Manic Episode) หรือไฮโปแมเนีย (Hypomanic Episode) ช่วงซึมเศร้า (Depressive Episode) → อารมณ์หดหู่ สิ้นหวัง หมดแรงช่วงแมเนีย (Manic Episode) → กระฉับกระเฉง คึกคัก มั่นใจเกินปกติ อาการของโรคไบโพลาร์จะส่งผลกระทบต่อ การทำงาน การเรียน ความสัมพันธ์ และคุณภาพชีวิต หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม
4.Postpartum Depression – ซึมเศร้าหลังคลอด
Postpartum Depression (PPD) หรือ ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด เป็นภาวะทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นหลังการคลอดบุตร โดยคุณแม่อาจมี ความเศร้า หดหู่ วิตกกังวล หรือรู้สึกหมดหวัง ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและความสามารถในการดูแลลูก
– อาการนี้ต่างจาก “Baby Blues” ซึ่งเป็นภาวะเศร้าหลังคลอดชั่วคราวที่เกิดขึ้นประมาณ 1-2 สัปดาห์ แล้วหายไปเอง
– PPD รุนแรงกว่าและอาจคงอยู่เป็นเดือนหรือปี หากไม่ได้รับการรักษา

5.Seasonal Affective Disorder (SAD) – ซึมเศร้าเป็นช่วงๆ ตามฤดูกาล
Seasonal Affective Disorder (SAD) หรือ ภาวะซึมเศร้าตามฤดูกาล เป็นรูปแบบหนึ่งของโรคซึมเศร้าที่เกิดขึ้นเป็นประจำตามฤดูกาล โดยมักเกิดขึ้นในช่วง ฤดูหนาว หรือช่วงที่มีแสงแดดน้อย และอาการจะดีขึ้นในฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูร้อน
– SAD ในฤดูหนาว (Winter-pattern SAD) → พบได้บ่อยที่สุด อาการเริ่มช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงและแย่ลงในฤดูหนาว
– SAD ในฤดูร้อน (Summer-pattern SAD) → พบได้น้อยกว่า อาการจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อน
วิธีการรักษาโรคซึมเศร้า
1. การใช้ยา
1.1SSRIs เช่น Fluoxetine, Sertraline
Selective Serotonin Reuptake Inhibitors (SSRIs) เป็นกลุ่มยาต้านเศร้าที่ใช้กันอย่างแพร่หลายสำหรับรักษาโรคซึมเศร้าและภาวะทางจิตเวชอื่นๆ Fluoxetine และ Sertraline เป็นยาในกลุ่มนี้ที่ได้รับการยอมรับและใช้บ่อย
1.2SNRIs เช่น Duloxetine, Venlafaxine
Serotonin-Norepinephrine Reuptake Inhibitors (SNRIs) เป็นกลุ่มยาต้านเศร้าที่มีฤทธิ์เพิ่มระดับ เซโรโทนิน (Serotonin, 5-HT) และ นอร์เอพิเนฟริน (Norepinephrine, NE) ในสมอง ช่วยปรับสมดุลของสารสื่อประสาทเพื่อลดอาการซึมเศร้าและภาวะวิตกกังวล
1.3TCAs/MAOIs (ใช้ในกรณีที่ยากลุ่มอื่นไม่ได้ผล)
ยาต้านเศร้ากลุ่ม TCAs (Tricyclic Antidepressants) และ MAOIs (Monoamine Oxidase Inhibitors) เป็นยาที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้าและภาวะทางจิตเวชอื่นๆ แม้ว่าจะไม่ใช่ยาที่ถูกใช้เป็นตัวเลือกแรกในปัจจุบัน เนื่องจากมีผลข้างเคียงมากกว่ายากลุ่มใหม่ๆ (เช่น SSRIs และ SNRIs) แต่ยังคงมีประโยชน์ในผู้ป่วยบางรายที่ดื้อต่อการรักษาด้วยยาอื่น
2. จิตบำบัด (Psychotherapy)
2.1การพูดคุยกับนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์
การพูดคุยกับนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์อาจเป็นทางออกที่ช่วยให้คุณเข้าใจและจัดการกับ
อารมณ์ของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2.2การบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม (CBT)
เป็นแนวทางการบำบัดทางจิตวิทยาที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับว่ามีประสิทธิภาพใน
การรักษาโรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล และปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆ การบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม CBT เป็นแนวทางการบำบัดที่ช่วยให้ผู้เข้ารับการรักษาเรียนรู้ วิธีจัดการกับความคิดและพฤติกรรมที่ส่งผลลบต่ออารมณ์และสุขภาพจิต โดยเน้นการเปลี่ยนแปลง ความคิด (Cognition) และ พฤติกรรม (Behavior) เพื่อช่วยให้บุคคลสามารถรับมือกับปัญหาต่างๆ ได้ดีขึ้น
3. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการดูแลตนเอง
3.1การออกกำลังกาย
การออกกำลังกายไม่ได้ช่วยแค่ร่างกายแข็งแรง แต่ยังมีผลอย่างมากต่อ สุขภาพจิต โดยเฉพาะ
ผู้ที่เป็น โรคซึมเศร้า (Depression) หลายงานวิจัยพบว่า การออกกำลังกายเป็นหนึ่งในวิธีบำบัดที่มีประสิทธิภาพ และสามารถช่วยบรรเทาอาการของโรคซึมเศร้าได้เทียบเท่ากับการใช้ยาในบางกรณี
3.2 การนอนหลับให้เพียงพอ
การนอนหลับเป็นปัจจัยสำคัญต่อสุขภาพจิต และมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ผู้ป่วยโรค
ซึมเศร้า (Depression) ฟื้นตัวได้ดีขึ้น หลายงานวิจัยพบว่า ปัญหาการนอนหลับมักเกิดร่วมกับภาวะซึมเศร้า และอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้โรคซึมเศร้ารุนแรงขึ้น
3.3 หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และสารเสพติด
การหลีกเลี่ยง แอลกอฮอล์และสารเสพติด มีความสำคัญอย่างมากสำหรับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า
(Depression) เพราะสารเหล่านี้สามารถทำให้อาการแย่ลง และรบกวนประสิทธิภาพของการรักษา
คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีภาวะซึมเศร้า
- หาคนที่ไว้ใจได้เพื่อพูดคุย
- หาคนที่ไว้ใจได้เพื่อพูดคุย
- ขอความช่วยเหลือจากแพทย์เมื่อจำเป็น
- หากมีความคิดฆ่าตัวตาย ควรติดต่อ #สายด่วนสุขภาพจิต 1323 หรือพบแพทย์ทันที
โรคซึมเศร้าเป็นภาวะทางสุขภาพจิตที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน อาการของโรคนี้อาจทำให้คุณรู้สึกเศร้า หดหู่ หมดกำลังใจ หรือแม้แต่รู้สึกว่าไม่มีทางออก อย่างไรก็ตาม คุณไม่ได้อยู่เพียงลำพัง และโรคซึมเศร้าเป็นสิ่งที่สามารถรักษาได้หากได้รับการดูแลที่เหมาะสม
ทำไมการขอความช่วยเหลือจึงสำคัญ? เมื่อคุณเริ่มรู้สึกว่าชีวิตเต็มไปด้วยความเครียด ความกังวล หรือความเศร้าที่รบกวนใจทุกวัน การพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการดูแลสุขภาพจิตของคุณ แพทย์และเภสัชกรสามารถช่วยคุณประเมินอาการ ให้คำแนะนำเกี่ยวกับแนวทางการรักษา และเสนอวิธีการดูแลตนเองที่เหมาะสม
หากคุณหรือคนใกล้ตัวกำลังเผชิญกับภาวะซึมเศร้า อย่าปล่อยให้ความกังวลกดดันคุณเพียงลำพัง ลองเปิดใจพูดคุยกับแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับตัวคุณเอง การดูแลสุขภาพจิตเป็นสิ่งสำคัญเทียบเท่ากับสุขภาพกาย และคุณมีสิทธิ์ที่จะได้รับการดูแลที่เหมาะสม
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
– เว็บไซต์ www.goodrx.com
– เว็บไซต์ https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov
– เว็บไซต์ www.webmd.com
เรียบเรียงข้อมูลโดย: CHULALAKPHARMACY.COM