ทำความเข้าใจโรคภูมิแพ้อย่างละเอียด! เรียนรู้สาเหตุ, ชนิดของสารก่อภูมิแพ้, สัญญาณเตือนที่หลากหลาย, แนวทางการวินิจฉัย, นวัตกรรมการรักษาด้วยยาและภูมิคุ้มกันบำบัด พร้อมวิธีป้องกันและดูแลตัวเอง เพื่อลดอาการและใช้ชีวิตได้อย่างปกติ.
หัวข้อสำคัญ
Toggle
โรคภูมิแพ้ (Allergy) คืออะไร? เมื่อระบบภูมิคุ้มกันเข้าใจผิด
โรคภูมิแพ้ (Allergy) คือภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (Immune System) มีปฏิกิริยาตอบสนองที่ผิดปกติและรุนแรงเกินไปต่อสารบางชนิดที่ปกติแล้วไม่เป็นอันตรายต่อคนทั่วไป สารเหล่านี้เรียกว่า สารก่อภูมิแพ้ (Allergens) ซึ่งอาจมาจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา เช่น ฝุ่นละออง ไรฝุ่น เกสรดอกไม้ อาหารบางชนิด หรือแม้กระทั่งยา
เมื่อผู้ป่วยสัมผัสหรือได้รับสารก่อภูมิแพ้ ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันชนิดหนึ่งที่เรียกว่า อิมมูโนโกลบูลินอี (Immunoglobulin E – IgE) และเมื่อ IgE ไปจับกับสารก่อภูมิแพ้ จะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารเคมีต่างๆ โดยเฉพาะ ฮิสตามีน (Histamine) ซึ่งเป็นต้นเหตุของอาการแพ้ที่หลากหลายในระบบอวัยวะต่างๆ เช่น ทางเดินหายใจ ผิวหนัง หรือทางเดินอาหาร
โรคภูมิแพ้เป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยจำนวนมาก การทำความเข้าใจชนิดของภูมิแพ้ สาเหตุ และแนวทางการดูแลรักษาจึงเป็นสิ่งสำคัญ
1. ชนิดของโรคภูมิแพ้และอาการ: หลากหลายรูปแบบของการแพ้
โรคภูมิแพ้สามารถแสดงอาการได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับชนิดของสารก่อภูมิแพ้และช่องทางการสัมผัส:
- 1.1 โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic Rhinitis หรือ Hay Fever):
- อาการ: คัดจมูก (Nasal Congestion), น้ำมูกไหล (Runny Nose) ใสๆ, จาม (Sneezing) ติดๆ กันหลายครั้ง, คันจมูก (Itchy Nose), คันคอ, คันตา, ไอ อาการมักเป็นๆ หายๆ หรือเป็นตามฤดูกาล
- สารก่อภูมิแพ้: ไรฝุ่น (Dust Mites), ละอองเกสร (Pollen), ขนสัตว์ (Pet Dander), เชื้อรา (Mold)
- 1.2 โรคหอบหืดจากภูมิแพ้ (Allergic Asthma):
- อาการ: หอบเหนื่อย (Shortness of Breath), หายใจมีเสียงวี้ด (Wheezing), แน่นหน้าอก (Chest Tightness), ไอเรื้อรัง โดยเฉพาะตอนกลางคืนหรือตอนเช้ามืด
- สารก่อภูมิแพ้: มักเป็นชนิดเดียวกับโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ แต่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบในหลอดลม
- 1.3 ผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ (Atopic Dermatitis หรือ Eczema):
- อาการ: ผิวแห้ง คัน มีผื่นแดง ตุ่มน้ำเล็กๆ หรือผิวหนังหนาขึ้นในบริเวณข้อพับต่างๆ เช่น ข้อพับแขน ข้อพับขา คอ ใบหน้า
- สารก่อภูมิแพ้: ไรฝุ่น, ขนสัตว์, อาหารบางชนิด, สารเคมี, สบู่, หรือปัจจัยทางพันธุกรรม
- 1.4 ลมพิษ (Urticaria หรือ Hives):
- อาการ: มีผื่นนูนแดง คันมาก ลักษณะเป็นปื้น หรือเป็นวง กระจายทั่วตัว หรือเฉพาะที่ เป็นๆ หายๆ
- สารก่อภูมิแพ้: อาหาร (เช่น อาหารทะเล, ถั่ว, ไข่), ยา, แมลงกัดต่อย, สารเคมี, อุณหภูมิ
- 1.5 ภูมิแพ้อาหาร (Food Allergy):
- อาการ: ผื่นลมพิษ, ผิวหนังบวม (Angioedema), คลื่นไส้, อาเจียน, ปวดท้อง, ท้องเสีย, หายใจลำบาก, ความดันโลหิตต่ำ (ในกรณีแพ้รุนแรง)
- สารก่อภูมิแพ้: นมวัว, ไข่, ถั่วลิสง, ถั่วเปลือกแข็ง, อาหารทะเล, แป้งสาล
- 1.6 ภูมิแพ้รุนแรงเฉียบพลัน (Anaphylaxis):
- อาการ: เป็นอาการแพ้ที่รุนแรงที่สุดและเป็นอันตรายถึงชีวิต อาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหลังสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ มีอาการหลายระบบพร้อมกัน เช่น ผื่นลมพิษทั่วตัว, บวมที่ใบหน้า/ปาก/ลำคอ, หายใจลำบากอย่างรุนแรง, ความดันโลหิตต่ำ, หมดสติ
- สารก่อภูมิแพ้: แมลงกัดต่อย, อาหารบางชนิด, ยาบางประเภท
หากมีอาการแพ้รุนแรงเฉียบพลัน (Anaphylaxis) ต้องรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที

2. สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคภูมิแพ้: ทำไมบางคนถึงเป็น?
โรคภูมิแพ้เกิดจากปฏิกิริยาที่ซับซ้อนระหว่างปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม:
- พันธุกรรม (Genetics): หากพ่อแม่คนใดคนหนึ่งเป็นภูมิแพ้ ลูกจะมีความเสี่ยงที่จะเป็นภูมิแพ้ได้ถึง 50% หากพ่อแม่เป็นทั้งคู่ ลูกจะมีความเสี่ยงสูงถึง 70%
- สารก่อภูมิแพ้ในสิ่งแวดล้อม (Environmental Allergens): การสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ในชีวิตประจำวัน เช่น ไรฝุ่นในบ้าน, ละอองเกสรจากต้นไม้/หญ้า, ขนสัตว์เลี้ยง, เชื้อรา, ฝุ่นควัน, มลพิษทางอากาศ
- อาหารบางชนิด: โดยเฉพาะในเด็กเล็ก การได้รับอาหารบางชนิดในวัยแรกเกิดอาจมีผลต่อการเกิดภูมิแพ้อาหาร
- สุขอนามัยที่มากเกินไป (Hygiene Hypothesis): ทฤษฎีที่ว่าการใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่สะอาดมากเกินไปในวัยเด็ก อาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันไม่ได้รับการกระตุ้นอย่างเหมาะสม จนตอบสนองต่อสิ่งที่ไม่เป็นอันตรายในภายหลัง
- ภาวะติดเชื้อในวัยเด็ก: การติดเชื้อบางชนิดในวัยทารกหรือวัยเด็กเล็ก อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภูมิแพ้
- มลภาวะ (Pollution) และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change): เชื่อว่ามีส่วนกระตุ้นให้โรคภูมิแพ้รุนแรงขึ้น
3. การวินิจฉัยโรคภูมิแพ้: ค้นหาสารก่อภูมิแพ้ที่แท้จริง
การวินิจฉัยโรคภูมิแพ้ทำได้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน (Allergist/Immunologist) โดยพิจารณาจาก:
- การซักประวัติ (Clinical History): สอบถามอาการ, ระยะเวลาที่เป็น, ปัจจัยกระตุ้น, ประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว, และประวัติการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้
- การตรวจร่างกาย (Physical Examination): ตรวจดูอาการแสดงของภูมิแพ้ เช่น ผื่นผิวหนัง, ลักษณะเยื่อบุจมูก, เสียงปอด
- การทดสอบภูมิแพ้ (Allergy Testing):
- การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง (Skin Prick Test): เป็นวิธีที่นิยมที่สุดและรวดเร็ว โดยหยดสารก่อภูมิแพ้ที่เจือจางลงบนผิวหนัง แล้วสะกิดเบาๆ เพื่อให้สารซึมเข้าใต้ผิวหนัง หากแพ้จะมีปฏิกิริยาเป็นตุ่มนูนแดง คัน ภายใน 15-20 นาที
- การตรวจเลือดหาภูมิแพ้ (Blood Test for Specific IgE – ImmunoCAP หรือ RAST): เป็นการตรวจเลือดเพื่อหาสาร IgE ที่จำเพาะต่อสารก่อภูมิแพ้แต่ละชนิด ใช้ในกรณีที่ไม่สามารถทำ Skin Prick Test ได้ หรือมีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น กำลังรับประทานยาแก้แพ้
- การทดสอบภูมิแพ้อาหาร (Oral Food Challenge): เป็นการทดสอบที่ต้องทำภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด โดยให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่สงสัยทีละน้อย เพื่อดูปฏิกิริยาตอบสนอง
การระบุสารก่อภูมิแพ้ที่แท้จริงเป็นหัวใจสำคัญในการวางแผนการรักษาและการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. เภสัชจุลศาลและนวัตกรรมการแพทย์: ก้าวใหม่ในการจัดการโรคภูมิแพ้
การรักษาโรคภูมิแพ้มุ่งเน้นไปที่การควบคุมอาการ ลดการอักเสบ และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน โดยมีทั้งยาและนวัตกรรมการรักษาที่หลากหลาย
4.1 ยาที่ใช้รักษาโรคภูมิแพ้ (Allergy Medications)
**การเลือกใช้ยาขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของอาการ โดยแพทย์และเภสัชกรจะเป็นผู้ให้คำแนะนำ**
- ยาต้านฮิสตามีน (Antihistamines): ใช้บรรเทาอาการคัน จาม น้ำมูกไหล และผื่นลมพิษ มีทั้งชนิดรับประทานและยาทา
- ชนิดไม่ง่วง (Non-drowsy Antihistamines): เช่น Loratadine, Cetirizine (เช่น Zyrtec), Fexofenadine (เช่น Allegra), Desloratadine (เช่น Clarinex)
- ชนิดง่วง (Sedating Antihistamines): เช่น Chlorpheniramine (เช่น CPM), Diphenhydramine (เช่น Benadryl) มักใช้ในเวลากลางคืน
- ยาพ่นจมูกสเตียรอยด์ (Nasal Corticosteroids): เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงในการลดการอักเสบในโพรงจมูก ใช้รักษาอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล และจามจากภูมิแพ้ มักใช้เป็นประจำทุกวัน
- ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: Fluticasone (เช่น Flixonase), Mometasone (เช่น Nasonex), Budesonide (เช่น Rhinocort)
- ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: Fluticasone (เช่น Flixonase), Mometasone (เช่น Nasonex), Budesonide (เช่น Rhinocort)
- ยาขยายหลอดลม (Bronchodilators): ใช้สำหรับผู้ป่วยหอบหืด เพื่อบรรเทาอาการหอบเหนื่อยเฉียบพลัน ทำให้หลอดลมขยายตัว หายใจสะดวกขึ้น
- ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: Salbutamol (เช่น Ventolin), Terbutaline (เช่น Bricanyl) (รูปแบบพ่น)
- ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: Salbutamol (เช่น Ventolin), Terbutaline (เช่น Bricanyl) (รูปแบบพ่น)
- ยาพ่นคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดสูดพ่น (Inhaled Corticosteroids – ICS): ใช้สำหรับผู้ป่วยหอบหืด เพื่อลดการอักเสบในหลอดลมและควบคุมอาการระยะยาว
- ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: Budesonide (เช่น Pulmicort), Fluticasone (เช่น Flovent)
- ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: Budesonide (เช่น Pulmicort), Fluticasone (เช่น Flovent)
- ยาควบคุมเม็ดเลือดขาว (Leukotriene Receptor Antagonists): ออกฤทธิ์ลดการอักเสบในทางเดินหายใจ ใช้ร่วมกับยาอื่นในการรักษาหอบหืดและภูมิแพ้
- ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: Montelukast (เช่น Singulair)
- ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: Montelukast (เช่น Singulair)
- ยาฉีดลดภูมิไวเกิน (Omalizumab): เป็นยาฉีดสำหรับผู้ป่วยหอบหืดและลมพิษเรื้อรังรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อยาอื่น ออกฤทธิ์จับกับ IgE ในร่างกาย เพื่อลดปฏิกิริยาภูมิแพ้
- ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: Xolair
- ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: Xolair
- ยาแก้แพ้ฉุกเฉิน (Epinephrine Autoinjector): สำหรับผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้รุนแรงเฉียบพลัน (Anaphylaxis) เพื่อใช้ฉีดเองเมื่อเกิดอาการ เพื่อช่วยชีวิต
- ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: Epipen (ในบางประเทศ)
- ตัวอย่างยี่ห้อที่พบบ่อยในไทย: Epipen (ในบางประเทศ)
ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลยาที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างและเพื่อการศึกษาเท่านั้น การใช้ยาใดๆ ต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำและการดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรอย่างเคร่งครัด ห้ามซื้อยาหรือปรับขนาดยาเองเด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงได้
4.2 นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการแพทย์เพื่อการรักษาภูมิแพ้
- ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy หรือ Allergy Shots/Drops): เป็นการรักษาที่มุ่งเน้นการปรับสมดุลภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยให้ผู้ป่วยได้รับสารก่อภูมิแพ้ที่แพ้ในปริมาณน้อยๆ และค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ เป็นระยะเวลานาน (3-5 ปี) เพื่อให้ร่างกายเกิดความเคยชินและลดปฏิกิริยาภูมิแพ้ลง มีทั้งรูปแบบยาฉีด (Subcutaneous Immunotherapy – SCIT) และยาอมใต้ลิ้น (Sublingual Immunotherapy – SLIT)
- การแพทย์แม่นยำ (Precision Medicine): การศึกษาพันธุกรรมและลักษณะทางชีวภาพของผู้ป่วยแต่ละราย เพื่อเลือกวิธีการรักษาและยาที่เหมาะสมที่สุด
- แอปพลิเคชันและอุปกรณ์ติดตามมลพิษ/สารก่อภูมิแพ้: ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถหลีกเลี่ยงการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ได้ดียิ่งขึ้น ด้วยการแจ้งเตือนระดับละอองเกสรในอากาศ หรือคุณภาพอากาศ
- การบำบัดด้วยชีววิทยา (Biologic Therapy): ยาฉีดที่ออกฤทธิ์จำเพาะต่อกลไกภูมิคุ้มกันบางอย่าง เพื่อควบคุมอาการภูมิแพ้และหอบหืดที่รุนแรง
5. วิธีป้องกันโรคภูมิแพ้: ลดการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้
การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันและควบคุมอาการ:
- ควบคุมไรฝุ่นในบ้าน: ซักผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่มด้วยน้ำร้อน (> 60°C) ทุก 1-2 สัปดาห์, ใช้ปลอกหมอน/ผ้าห่มกันไรฝุ่น, หลีกเลี่ยงพรม เฟอร์นิเจอร์บุผ้า, ทำความสะอาดบ้านเป็นประจำ
- หลีกเลี่ยงละอองเกสร: ปิดหน้าต่างประตูในช่วงฤดูที่มีละอองเกสรสูง, หลีกเลี่ยงการออกนอกบ้านในช่วงที่มีละอองเกสรมาก, ใส่หน้ากากอนามัยเมื่อออกนอกบ้าน
- หลีกเลี่ยงขนสัตว์เลี้ยง: หากแพ้ขนสัตว์ ควรหลีกเลี่ยงการเลี้ยงสัตว์มีขน หรือจำกัดบริเวณสัตว์เลี้ยง
- ควบคุมเชื้อรา: ทำความสะอาดบริเวณที่อับชื้น เช่น ห้องน้ำ, ห้องครัว, ใช้เครื่องลดความชื้น
- หลีกเลี่ยงควันบุหรี่และมลพิษ: งดสูบบุหรี่ในบ้าน, หลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีฝุ่นควันและมลพิษสูง
- ภูมิแพ้อาหาร: อ่านฉลากอาหารอย่างระมัดระวัง, หลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้โดยเด็ดขาด, แจ้งผู้ปรุงอาหารเมื่อรับประทานนอกบ้าน
- ดูแลสุขภาพทั่วไป: รับประทานอาหารที่มีประโยชน์, ออกกำลังกายสม่ำเสมอ, พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย

6. การดูแลรักษาและใช้ชีวิตอยู่กับโรคภูมิแพ้: ควบคุมอาการ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี
การจัดการโรคภูมิแพ้เป็นเรื่องของการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับอาการและลดปัจจัยกระตุ้น:
- ปฏิบัติตามแผนการรักษาของแพทย์อย่างเคร่งครัด: รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง, ใช้ยาพ่น/ยาหยอดตา/ยาพ่นจมูกอย่างถูกวิธี
- หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้: พยายามลดการสัมผัสสารที่คุณแพ้ให้ได้มากที่สุด
- สังเกตอาการและบันทึก: เพื่อช่วยให้แพทย์ปรับแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม
- เตรียมยาฉุกเฉิน: หากมีประวัติแพ้รุนแรง ควรพกยา EpiPen® หรือยาแก้แพ้ฉุกเฉินติดตัวเสมอ และเรียนรู้วิธีการใช้
- ให้ความรู้คนรอบข้าง: แจ้งคนในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน หรือครู (ในกรณีเด็ก) เกี่ยวกับอาการแพ้และวิธีช่วยเหลือ
- ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับคุณภาพอากาศ/ละอองเกสร: เพื่อเตรียมตัวล่วงหน้า
- พบแพทย์เฉพาะทางภูมิแพ้เป็นประจำ: เพื่อติดตามอาการและปรับแผนการรักษาในระยะยาว
สรุป: โรคภูมิแพ้จัดการได้ ด้วยความเข้าใจและการดูแลที่ถูกต้อง
โรคภูมิแพ้เป็นภาวะเรื้อรังที่พบได้บ่อยและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต แต่ด้วยความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสาเหตุ อาการ และวิธีการรักษา เราสามารถจัดการกับโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ การใช้ยาอย่างเหมาะสมภายใต้คำแนะนำของ เภสัชกร และแพทย์ รวมถึงการใช้ประโยชน์จาก นวัตกรรมการแพทย์ จะช่วยให้ผู้ป่วยภูมิแพ้สามารถควบคุมอาการ ลดความรุนแรงของโรค และใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขและมีคุณภาพ
ข้อมูลอ้างอิงและข้อควรระวังสำคัญ:
- ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลยาและนวัตกรรมทางการแพทย์ที่กล่าวมาข้างต้นมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาและให้ข้อมูลเท่านั้น การใช้ยา การพิจารณาภูมิคุ้มกันบำบัด หรือการทำหัตถการใดๆ ต้องอยู่ภายใต้การวินิจฉัย การดูแล และคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันอย่างเคร่งครัด ห้ามซื้อยาหรือพยายามทำการรักษาด้วยตนเองเด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตได้ ยาหรือหัตถการแต่ละชนิดอาจมีข้อบ่งชี้ ข้อห้ามใช้ และผลข้างเคียงที่แตกต่างกัน ผู้เชี่ยวชาญจะพิจารณาความเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย โดยคำนึงถึงประโยชน์และความเสี่ยง
- แหล่งอ้างอิง:
- ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และสมาคมโรคภูมิแพ้ โรคหืด และวิทยาภูมิคุ้มกันแห่งประเทศไทย. (2565). แนวทางการวินิจฉัยและดูแลรักษาโรคภูมิแพ้ในประเทศไทย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์เว็บไซต์ของราชวิทยาลัยฯ หรือหน้าคู่มือที่เกี่ยวข้อง)
- กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. (2565). โรคภูมิแพ้. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นหากมี)
- โรงพยาบาลชั้นนำในประเทศไทย (เช่น โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, โรงพยาบาลรามาธิบดี). บทความให้ความรู้เกี่ยวกับโรคภูมิแพ้. (ยกตัวอย่างบทความจากโรงพยาบาลที่น่าเชื่อถือ)
- สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.). ข้อมูลยาที่ได้รับอนุมัติในประเทศไทย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์ที่เกี่ยวข้องหากต้องการ เช่น ฐานข้อมูลยา)
- ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และสมาคมโรคภูมิแพ้ โรคหืด และวิทยาภูมิคุ้มกันแห่งประเทศไทย. (2565). แนวทางการวินิจฉัยและดูแลรักษาโรคภูมิแพ้ในประเทศไทย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์เว็บไซต์ของราชวิทยาลัยฯ หรือหน้าคู่มือที่เกี่ยวข้อง)
เรียบเรียงข้อมูลโดย www.chulalakpharmacy.com