โรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (Obstructive Sleep Apnea – OSA): เมื่อการนอนไม่ได้พักผ่อน ทำความเข้าใจ สัญญาณอันตราย และแนวทางการรักษา

ทำความเข้าใจโรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (OSA) อย่างละเอียด! เรียนรู้สาเหตุ, สัญญาณเตือน, ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง, แนวทางการวินิจฉัยด้วย Sleep Test, นวัตกรรมการรักษาด้วย CPAP และการผ่าตัด พร้อมวิธีดูแลตัวเองเพื่อคุณภาพการนอนที่ดีขึ้น





โรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (Obstructive Sleep Apnea – OSA) คืออะไร?

โรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (Obstructive Sleep Apnea – OSA) คือภาวะที่ทางเดินหายใจส่วนบนยุบตัวหรือตีบแคบลงในระหว่างนอนหลับ ทำให้ลมหายใจผ่านเข้าสู่ปอดได้ไม่เพียงพอ หรือหยุดหายใจไปชั่วขณะเป็นเวลา 10 วินาทีขึ้นไป และอาจเกิดขึ้นซ้ำๆ หลายครั้งตลอดทั้งคืน ส่งผลให้ร่างกายขาดออกซิเจนเป็นช่วงๆ และสมองถูกปลุกให้ตื่นเป็นระยะ แม้ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกตัวว่าตื่น

ภาวะนี้ทำให้การนอนหลับไม่มีคุณภาพ ร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ และเมื่อเกิดขึ้นเรื้อรัง อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพร้ายแรงต่างๆ ตามมา โรค OSA เป็นภาวะที่พบบ่อยและมักถูกมองข้าม เนื่องจากอาการแสดงมักเกิดขึ้นระหว่างหลับ




1. สัญญาณเตือนของโรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น: สังเกตตัวเองและคนใกล้ชิด

อาการของโรค OSA สามารถแบ่งเป็นอาการที่เกิดขึ้นขณะหลับและอาการที่เกิดขึ้นขณะตื่น:

  • อาการขณะหลับ (Observed during sleep):
    • กรนเสียงดังผิดปกติ (Loud Snoring): เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุดและเป็นข้อสังเกตสำคัญ โดยเฉพาะเสียงกรนที่หยุดเป็นช่วงๆ แล้วกลับมากรนดังกว่าเดิม หรือมีเสียงสำลัก หายใจเฮือก
    • หยุดหายใจเป็นพักๆ (Witnessed Breathing Pauses): คนใกล้ชิดอาจสังเกตเห็นว่าผู้ป่วยหยุดหายใจไปชั่วขณะ (Apnea) ก่อนจะหายใจเฮือกกลับมา
    • หายใจลำบากขณะหลับ (Gasping or Choking during sleep): รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก
    • นอนกระสับกระส่าย (Restless Sleep): พลิกตัวบ่อย เหงื่อออกมากผิดปกติขณะนอนหลับ
    • ตื่นมาปัสสาวะบ่อยผิดปกติ (Nocturia): โดยเฉพาะในวัยกลางคนขึ้นไป อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงความดันในช่องอก
  • อาการขณะตื่น (Symptoms upon waking):
    • ง่วงนอนผิดปกติในเวลากลางวัน (Excessive Daytime Sleepiness – EDS): รู้สึกง่วงหงาวหาวนอนตลอดเวลา แม้จะนอนครบ 7-8 ชั่วโมงแล้วก็ตาม อาจหลับในขณะทำงาน ขับรถ หรือทำกิจกรรมต่างๆ
    • ปวดศีรษะตอนเช้า (Morning Headaches): มักปวดศีรษะตุบๆ เมื่อตื่นนอน
    • คอแห้งหรือเจ็บคอเมื่อตื่นนอน (Dry Mouth or Sore Throat in the morning): เกิดจากการหายใจทางปากตลอดคืน
    • สมาธิสั้น (Poor Concentration): ความสามารถในการจดจ่อลดลง
    • ความจำแย่ลง (Memory Impairment): หลงลืมง่าย
    • หงุดหงิดง่าย (Irritability) หรืออารมณ์แปรปรวน (Mood Swings): เนื่องจากพักผ่อนไม่เพียงพอ
    • สมรรถภาพทางเพศลดลง (Decreased Libido): อาจพบในบางราย

หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีอาการเหล่านี้ โดยเฉพาะการกรนเสียงดังร่วมกับการง่วงนอนผิดปกติในเวลากลางวัน ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัย




2. ใครคือกลุ่มเสี่ยง? ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรค OSA

โรค OSA เกิดจากทางเดินหายใจส่วนบนตีบแคบลงขณะหลับ มีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างที่ทำให้เกิดภาวะนี้:

  • โรคอ้วน (Obesity) หรือน้ำหนักเกิน (Overweight): เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุด การสะสมของไขมันบริเวณคอ ลิ้น และคอหอย ทำให้ทางเดินหายใจแคบลง
  • เพศชาย: พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิงประมาณ 2-3 เท่า
  • อายุ: ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยเฉพาะหลังวัยกลางคนขึ้นไป
  • ขนาดของลำคอ (Neck Circumference): ผู้ที่มีคอสั้นและใหญ่ (เส้นรอบคอ > 17 นิ้วในชาย, > 16 นิ้วในหญิง) มีความเสี่ยงสูง
  • โครงสร้างทางเดินหายใจที่ผิดปกติ (Anatomical Abnormalities): เช่น ต่อมทอนซิลและอะดีนอยด์โต (Enlarged Tonsils and Adenoids) (พบบ่อยในเด็ก), เพดานอ่อนและลิ้นไก่ยาวหรือหย่อน, ขากรรไกรเล็กหรือถอยร่นผิดปกติ (Receding Jaw)
  • ภาวะคัดจมูกเรื้อรัง (Chronic Nasal Congestion): เช่น จากโรคภูมิแพ้ หรือผนังกั้นช่องจมูกคด (Deviated Septum) ทำให้ต้องหายใจทางปาก
  • การดื่มแอลกอฮอล์ (Alcohol Consumption): ทำให้กล้ามเนื้อทางเดินหายใจหย่อนตัว
  • การใช้ยานอนหลับ (Sedatives) หรือยาคลายเครียด: มีผลกดการหายใจและทำให้กล้ามเนื้อหย่อนตัว
  • การสูบบุหรี่ (Smoking): ทำให้ทางเดินหายใจบวมและอักเสบ
  • โรคประจำตัวบางชนิด: เช่น ภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ (Hypothyroidism), ภาวะฮอร์โมนเจริญเติบโตเกิน (Acromegaly), ภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovary Syndrome – PCOS)




3. การวินิจฉัยโรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น: Sleep Test คือคำตอบ

การวินิจฉัยโรค OSA ที่แม่นยำที่สุดคือการทำ การตรวจการนอนหลับ (Polysomnography หรือ Sleep Test) ซึ่งเป็นการตรวจบันทึกข้อมูลต่างๆ ของร่างกายขณะนอนหลับตลอดทั้งคืน:

  • การบันทึกคลื่นสมอง (Electroencephalogram – EEG): ประเมินระดับการนอนหลับ
  • การบันทึกการเคลื่อนไหวของดวงตา (Electrooculogram – EOG): บ่งบอกถึงระยะของการนอนหลับ
  • การบันทึกการทำงานของกล้ามเนื้อ (Electromyogram – EMG): ประเมินการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ
  • การบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram – ECG): ตรวจสอบจังหวะการเต้นของหัวใจ
  • การตรวจการหายใจ (Respiratory Monitoring): วัดการไหลของอากาศผ่านทางจมูกและปาก, การเคลื่อนไหวของหน้าอกและหน้าท้อง, ระดับออกซิเจนในเลือด (Oxygen Saturation)
  • การบันทึกเสียงกรน (Snoring Sound Recording): เพื่อวิเคราะห์รูปแบบเสียงกรน

แพทย์จะใช้ข้อมูลจาก Sleep Test มาคำนวณ ดัชนีการหยุดหายใจและหายใจแผ่ว (Apnea-Hypopnea Index – AHI) ซึ่งเป็นจำนวนครั้งที่หยุดหายใจหรือหายใจแผ่วใน 1 ชั่วโมง หากค่า AHI สูง ก็แสดงว่ามีความรุนแรงของโรคมากขึ้น:

  • AHI น้อยกว่า 5 ครั้ง/ชั่วโมง: ปกติ
  • AHI 5-15 ครั้ง/ชั่วโมง: OSA ระดับน้อย (Mild OSA)
  • AHI 15-30 ครั้ง/ชั่วโมง: OSA ระดับปานกลาง (Moderate OSA)
  • AHI มากกว่า 30 ครั้ง/ชั่วโมง: OSA ระดับรุนแรง (Severe OSA)




4. เภสัชจุลศาลและนวัตกรรมการแพทย์: แนวทางการรักษาโรค OSA

การรักษาโรค OSA มุ่งเน้นไปที่การเปิดทางเดินหายใจให้โล่งขณะหลับ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนเพียงพอและมีการนอนหลับที่มีคุณภาพ

4.1 อุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์สำหรับโรค OSA

  • เครื่องอัดอากาศแรงดันบวกชนิดต่อเนื่อง (Continuous Positive Airway Pressure – CPAP): เป็นวิธีการรักษามาตรฐานและมีประสิทธิภาพสูงที่สุด โดยเครื่อง CPAP จะส่งแรงดันอากาศบวกผ่านหน้ากากเข้าไปในทางเดินหายใจขณะนอนหลับ เพื่อช่วยเปิดทางเดินหายใจไม่ให้ยุบตัวลง ทำให้ผู้ป่วยหายใจได้ปกติ ลดอาการกรน และหยุดหายใจขณะหลับ
    • มีหลากหลายรุ่นและประเภทของหน้ากาก (Nasal Mask, Full Face Mask, Nasal Pillow) เพื่อความสบายของผู้ใช้
  • อุปกรณ์ในช่องปาก (Oral Appliances): เป็นอุปกรณ์ที่ใส่ในปากคล้ายรีเทนเนอร์ เพื่อปรับตำแหน่งของขากรรไกรและลิ้นให้ทางเดินหายใจเปิดกว้างขึ้น เหมาะสำหรับผู้ป่วย OSA ระดับน้อยถึงปานกลางที่ไม่สามารถทน CPAP ได้
  • เครื่องอัดอากาศแรงดันบวกสองระดับ (Bi-level Positive Airway Pressure – BiPAP): ทำงานคล้าย CPAP แต่สามารถปรับแรงดันได้ 2 ระดับ คือแรงดันขณะหายใจเข้าและหายใจออก เหมาะสำหรับผู้ป่วยบางรายที่ทนแรงดันจาก CPAP ไม่ได้

4.2 การผ่าตัด (Surgery)

การผ่าตัดเป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วยบางรายที่เลือกวิธีอื่นไม่ได้ผล หรือมีโครงสร้างทางเดินหายใจที่ผิดปกติอย่างชัดเจน

  • การผ่าตัดต่อมทอนซิลและอะดีนอยด์ (Tonsillectomy and Adenoidectomy): มักใช้ในเด็กที่มีต่อมโต
  • การผ่าตัดเลื่อนขากรรไกร (Maxillomandibular Advancement – MMA): เป็นการผ่าตัดใหญ่เพื่อเลื่อนขากรรไกรบนและล่างมาด้านหน้า ทำให้ทางเดินหายใจส่วนบนกว้างขึ้น
  • การผ่าตัดแก้ไขความผิดปกติอื่นๆ: เช่น การผ่าตัดแก้ไขผนังกั้นช่องจมูกคด, การผ่าตัดลดขนาดโคนลิ้นหรือเพดานอ่อน

4.3 ยาและนวัตกรรมอื่นๆ

  • ยาลดน้ำหนัก (Weight Loss Medications): สำหรับผู้ป่วยโรคอ้วนที่มี OSA การลดน้ำหนักเป็นส่วนสำคัญของการรักษาที่ช่วยลดความรุนแรงของโรค
  • การจัดการปัจจัยเสี่ยง: เช่น การเลิกสูบบุหรี่, การจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์, การควบคุมโรคประจำตัว
  • การบำบัดด้วยการฝึกกล้ามเนื้อช่องปากและคอหอย (Myofunctional Therapy): เป็นการฝึกบริหารกล้ามเนื้อลิ้น เพดานอ่อน และกล้ามเนื้อคอหอย เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและความตึงตัวของกล้ามเนื้อ ลดการยุบตัวของทางเดินหายใจ

ข้อควรระวังสำคัญ: การเลือกวิธีการรักษาโรค OSA ต้องอยู่ภายใต้การวินิจฉัยและการดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับหรือแพทย์เฉพาะทาง (เช่น โสต ศอ นาสิก แพทย์) อย่างเคร่งครัด ห้ามวินิจฉัยหรือเลือกการรักษาเองเด็ดขาด




5. ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงของโรค OSA: ทำไมต้องรักษา?

หากปล่อยให้โรค OSA โดยไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้:

  • โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Diseases): เพิ่มความเสี่ยงของโรคความดันโลหิตสูง (Hypertension), โรคหัวใจขาดเลือด (Coronary Artery Disease), หัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmias) โดยเฉพาะภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (Atrial Fibrillation), และภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart Failure)
  • โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke): การขาดออกซิเจนเป็นช่วงๆ และความดันโลหิตที่สูงขึ้น ทำให้ความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้น
  • โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes): ภาวะขาดออกซิเจนเรื้อรังส่งผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและเพิ่มภาวะดื้อต่ออินซูลิน (Insulin Resistance)
  • ภาวะง่วงหลับในเวลากลางวัน: เพิ่มความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุจากการขับขี่ยานพาหนะ และอุบัติเหตุจากการทำงาน
  • ปัญหาทางด้านสติปัญญาและอารมณ์: สมาธิสั้น, ความจำแย่ลง, หงุดหงิดง่าย, ซึมเศร้า (Depression)
  • ปัญหาคุณภาพชีวิต: ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างแย่ลง, ประสิทธิภาพการทำงานลดลง




6. การดูแลตัวเองและแนวทางการป้องกันโรค OSA

นอกเหนือจากการรักษาทางการแพทย์ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการดูแลตัวเองเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการจัดการและป้องกันโรค OSA:

  • ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม: การลดน้ำหนักตัวแม้เพียงเล็กน้อย ก็สามารถช่วยลดความรุนแรงของโรคได้
  • หลีกเลี่ยงการนอนหงาย: พยายามนอนตะแคง หรือยกศีรษะให้สูงขึ้นเล็กน้อย เพื่อช่วยเปิดทางเดินหายใจ
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะช่วงก่อนนอน: แอลกอฮอล์จะทำให้กล้ามเนื้อทางเดินหายใจหย่อนตัว
  • หลีกเลี่ยงยานอนหลับและยาคลายเครียดที่ไม่มีใบสั่งแพทย์: หากจำเป็นต้องใช้ ควรปรึกษาแพทย์
  • เลิกสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่ทำให้ทางเดินหายใจบวมและอักเสบ
  • รักษาอาการคัดจมูกเรื้อรัง: หากมีอาการภูมิแพ้หรือไซนัสอักเสบ ควรได้รับการรักษาที่เหมาะสม
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อโดยรวม รวมถึงกล้ามเนื้อคอและช่องปาก
  • พบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพประจำปี: และแจ้งแพทย์หากมีอาการที่น่าสงสัย


สรุป: OSA รักษาได้ เพื่อการนอนที่มีคุณภาพและสุขภาพที่ดีขึ้น

โรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (OSA) เป็นภาวะที่ร้ายแรงกว่าแค่การกรนเสียงดัง การรับรู้ถึงสัญญาณเตือน การเข้ารับการวินิจฉัยด้วย Sleep Test และการรักษาที่เหมาะสมโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ เครื่อง CPAP การผ่าตัด หรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม จะช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามีคุณภาพการนอนหลับที่ดีขึ้น ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอตลอดคืน และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นกับระบบต่างๆ ของร่างกายได้ อย่าละเลยอาการที่น่าสงสัย และปรึกษาแพทย์เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณเอง



ข้อมูลอ้างอิงและข้อควรระวังสำคัญ:

  • ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้นมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาและให้ข้อมูลเท่านั้น การวินิจฉัยโรค การเลือกวิธีการรักษา หรือการใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ใดๆ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับ หรือแพทย์เฉพาะทางที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ห้ามวินิจฉัยโรคด้วยตนเอง หรือซื้ออุปกรณ์และเลือกการรักษาโดยไม่ปรึกษาแพทย์เด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงได้ แพทย์จะพิจารณาความเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย โดยคำนึงถึงประโยชน์และความเสี่ยง

  • แหล่งอ้างอิง:
    • สมาคมโรคจากการหลับแห่งประเทศไทย. (2565). โรคหยุดหายใจขณะหลับ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์เว็บไซต์ของสมาคมฯ หรือหน้าคู่มือที่เกี่ยวข้อง)
    • กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. (2565). คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคหยุดหายใจขณะหลับ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นหากมี)
    • โรงพยาบาลชั้นนำในประเทศไทย (เช่น โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, โรงพยาบาลรามาธิบดี). บทความให้ความรู้เกี่ยวกับโรคหยุดหายใจขณะหลับ. (ยกตัวอย่างบทความจากโรงพยาบาลที่น่าเชื่อถือ)
  • สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.). ข้อมูลอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ได้รับอนุมัติในประเทศไทย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์ที่เกี่ยวข้องหากต้องการ)

เรียบเรียงข้อมูลโดย  www.chulalakpharmacy.com

บทความที่คุณอาจสนใจ

  • แชร์

    ยังไม่มีบัญชี