ทำความเข้าใจโรคกระเพาะอาหารอักเสบ! เรียนรู้สาเหตุ (เชื้อ H. pylori, ยา NSAIDs, แอลกอฮอล์), สัญญาณเตือน (ปวดท้อง, คลื่นไส้, อาเจียน, เบื่ออาหาร), แนวทางการวินิจฉัย (ส่องกล้อง, ตรวจหาเชื้อ), แนวทางการดูแลรักษา (ยาปฏิชีวนะ, ยาลดกรด), ภาวะแทรกซ้อน, บทบาทอาหารเสริม, และวิธีป้องกันเพื่อสุขภาพกระเพาะที่ดี
หัวข้อสำคัญ
Toggle
โรคกระเพาะอาหารอักเสบ (Gastritis) คืออะไร?
โรคกระเพาะอาหารอักเสบ (Gastritis) คือภาวะที่ เยื่อบุภายในกระเพาะอาหาร (Stomach Lining) เกิดการอักเสบ บวมแดง และอาจมีแผลตื้นๆ เกิดขึ้น ซึ่งทำให้เกิดอาการปวดท้องหรือไม่สบายท้อง เยื่อบุในกระเพาะอาหารปกติมีหน้าที่สำคัญในการผลิตกรดและเอนไซม์เพื่อช่วยย่อยอาหาร และยังมีชั้นเมือก (Mucus Barrier) ที่ทำหน้าที่ปกป้องผนังกระเพาะอาหารจากกรดและน้ำย่อย หากเยื่อบุเกิดการอักเสบ กลไกการป้องกันนี้จะอ่อนแอลง ทำให้กรดสามารถทำอันตรายต่อเยื่อบุได้ง่ายขึ้น ก่อให้เกิดอาการต่างๆ ขึ้น
โรคกระเพาะอาหารอักเสบสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก:
- กระเพาะอาหารอักเสบเฉียบพลัน (Acute Gastritis):
- เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมักมีอาการไม่รุนแรงนัก
- สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการใช้ยาบางชนิด (เช่น ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs), การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก, หรือการติดเชื้อเฉียบพลัน
- อาการมักคงอยู่ไม่นาน และหายไปเองเมื่อกำจัดสาเหตุ
- กระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง (Chronic Gastritis):
- เป็นภาวะอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหารที่คงอยู่นาน หรือเป็นๆ หายๆ
- สาเหตุหลักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter pylori – H. pylori) การอักเสบเรื้อรังอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุ (เช่น ภาวะเยื่อบุฝ่อ – Atrophic Gastritis) และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร หรือมะเร็งกระเพาะอาหารในระยะยาว
1. สัญญาณเตือนของโรคกระเพาะอาหารอักเสบ: เมื่อท้องไส้เริ่มปั่นป่วน
อาการของโรคกระเพาะอาหารอักเสบสามารถแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล และอาจมีความรุนแรงไม่เท่ากัน บางคนอาจไม่มีอาการเลยก็ได้ หรือมีอาการที่คล้ายกับโรคกรดไหลย้อน (GERD) หรือภาวะอาหารไม่ย่อยทั่วไป อาการที่พบบ่อยและควรสังเกต ได้แก่:
- ปวดท้อง หรือไม่สบายท้องส่วนบน (Abdominal Pain or Discomfort):
- มักจะปวดบริเวณลิ้นปี่ หรือช่องท้องส่วนบน อาจปวดแบบจุกแน่น, แสบ, ร้อน, ปวดบิด, หรือปวดตื้อๆ
- อาการปวดมักเป็นมากขึ้นเวลาท้องว่าง หรือหลังรับประทานอาหารบางชนิด และอาจดีขึ้นหลังรับประทานอาหาร หรือหลังรับประทานยาลดกรด
- แสบท้องกลางดึก หรือตอนท้องว่าง (Nocturnal or Empty Stomach Pain):
- คลื่นไส้ (Nausea): รู้สึกพะอืดพะอม อยากอาเจียน
- อาเจียน (Vomiting): อาจมีน้ำย่อยหรืออาหารออกมา
- ท้องอืด แน่นท้อง (Bloating/Fullness): รู้สึกอิ่มเร็วผิดปกติ แม้รับประทานอาหารไปไม่มาก
- เบื่ออาหาร (Loss of Appetite): ไม่อยากรับประทานอาหาร
- เรอเปรี้ยว หรือมีลมในท้องมาก (Acid Reflux/Excessive Burping): อาจมีอาการร่วมกับโรคกรดไหลย้อน
- น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ (Unexplained Weight Loss): (พบได้ในชนิดเรื้อรังหรือรุนแรง)
- อุจจาระมีสีดำ หรืออาเจียนเป็นเลือด (Melena/Hematemesis):
- เป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่ามีเลือดออกในกระเพาะอาหาร ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
- เป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่ามีเลือดออกในกระเพาะอาหาร ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
หากคุณมีอาการเหล่านี้บ่อยครั้ง หรืออาการรุนแรงขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยโดยละเอียด ไม่ควรรอหรือคาดเดาด้วยตนเอง
2. สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคกระเพาะอาหารอักเสบ: ใครคือกลุ่มเสี่ยง?
โรคกระเพาะอาหารอักเสบเกิดจากการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร ซึ่งมีสาเหตุหลักและปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่:
- 2.1 การติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori (H. pylori) เรื้อรัง:
- เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง แบคทีเรียชนิดนี้สามารถมีชีวิตอยู่ในกระเพาะอาหารและทำให้เยื่อบุอักเสบได้
- เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง แบคทีเรียชนิดนี้สามารถมีชีวิตอยู่ในกระเพาะอาหารและทำให้เยื่อบุอักเสบได้
- 2.2 การใช้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Nonsteroidal Anti-inflammatory Drugs – NSAIDs):
- เช่น Aspirin, Ibuprofen, Naproxen, Diclofenac การใช้ยาเหล่านี้เป็นประจำ หรือในปริมาณมาก สามารถระคายเคืองและทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารได้
- เช่น Aspirin, Ibuprofen, Naproxen, Diclofenac การใช้ยาเหล่านี้เป็นประจำ หรือในปริมาณมาก สามารถระคายเคืองและทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารได้
- 2.3 การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก (Excessive Alcohol Consumption):
- แอลกอฮอล์สามารถกัดกร่อนและระคายเคืองเยื่อบุกระเพาะอาหารโดยตรง
- แอลกอฮอล์สามารถกัดกร่อนและระคายเคืองเยื่อบุกระเพาะอาหารโดยตรง
- 2.4 ความเครียดรุนแรง (Severe Stress):
- ความเครียดทางกายภาพรุนแรง เช่น การบาดเจ็บหนัก, การผ่าตัดใหญ่, การติดเชื้อรุนแรง, ไฟไหม้ สามารถกระตุ้นให้เกิดกระเพาะอาหารอักเสบเฉียบพลันได้ (Stress Gastritis)
- ความเครียดทางกายภาพรุนแรง เช่น การบาดเจ็บหนัก, การผ่าตัดใหญ่, การติดเชื้อรุนแรง, ไฟไหม้ สามารถกระตุ้นให้เกิดกระเพาะอาหารอักเสบเฉียบพลันได้ (Stress Gastritis)
- 2.5 การไหลย้อนของน้ำดีเข้าสู่กระเพาะอาหาร (Bile Reflux):
- โดยเฉพาะหลังการผ่าตัดกระเพาะอาหารบางชนิด ทำให้น้ำดีไหลย้อนขึ้นมาและระคายเคืองเยื่อบุ
- โดยเฉพาะหลังการผ่าตัดกระเพาะอาหารบางชนิด ทำให้น้ำดีไหลย้อนขึ้นมาและระคายเคืองเยื่อบุ
- 2.6 สาเหตุอื่นๆ (พบได้น้อยกว่า):
- โรคภูมิต้านตนเอง (Autoimmune Gastritis): ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไปทำลายเซลล์เยื่อบุกระเพาะอาหารเอง
- การติดเชื้อไวรัส (เช่น CMV, Herpes Simplex Virus), ปรสิต, หรือเชื้อรา
- ภาวะโครนิกเรื้อรังอื่นๆ เช่น โรคโครห์น (Crohn’s Disease)
- การได้รับรังสีรักษาบริเวณช่องท้อง
- การรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรค
- การบริโภคอาหารรสจัด เผ็ดจัด เปรี้ยวจัดมากเกินไป
3. การวินิจฉัยโรคกระเพาะอาหารอักเสบ: ตรวจอย่างไรให้รู้ทันสุขภาพกระเพาะ?
การวินิจฉัยโรคกระเพาะอาหารอักเสบทำโดยแพทย์ โดยเฉพาะการแยกสาเหตุและประเมินความรุนแรง:
- 3.1 การซักประวัติและตรวจร่างกาย (History and Physical Examination):
- แพทย์จะสอบถามอาการ (ลักษณะ, ระยะเวลา, ความรุนแรง), พฤติกรรมการกิน, การใช้ยา (โดยเฉพาะ NSAIDs), การดื่มแอลกอฮอล์, และประวัติการเจ็บป่วยอื่นๆ
- ตรวจร่างกายเพื่อประเมินอาการกดเจ็บบริเวณช่องท้องส่วนบน
- 3.2 การตรวจทางห้องปฏิบัติการ (Laboratory Tests):
- การทดสอบเพื่อหาเชื้อ H. pylori:
- การตรวจลมหายใจ (Urea Breath Test): เป็นวิธีที่ง่ายและแม่นยำ
- การตรวจหาเชื้อจากอุจจาระ (Stool Antigen Test):
- การตรวจเลือด (Blood Test): เพื่อหาแอนติบอดีต่อเชื้อ H. pylori (แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นเชื้อที่กำลังมีอยู่หรือไม่)
- การตรวจเม็ดเลือดสมบูรณ์ (Complete Blood Count – CBC): เพื่อตรวจหาภาวะโลหิตจาง (Anemia) หากสงสัยว่ามีเลือดออกในกระเพาะอาหาร
- การทดสอบเพื่อหาเชื้อ H. pylori:
- 3.3 การส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนต้น (Upper Endoscopy หรือ Esophagogastroduodenoscopy – EGD):
- เป็นการตรวจที่แม่นยำที่สุดและเป็นมาตรฐานทองคำ (Gold Standard) ในการวินิจฉัยโรคกระเพาะอาหารอักเสบ, แผลในกระเพาะอาหาร, และมะเร็งกระเพาะอาหาร
- แพทย์จะสอดกล้องขนาดเล็กผ่านปาก, หลอดอาหาร, เข้าไปในกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กส่วนต้น เพื่อตรวจดูเยื่อบุภายในโดยตรง หากพบความผิดปกติ เช่น เยื่อบุบวมแดง, แผล, หรือก้อนเนื้อ จะทำการ ตัดชิ้นเนื้อ (Biopsy) ส่งตรวจทางพยาธิวิทยาเพื่อยืนยันการวินิจฉัยและหาสาเหตุ (เช่น การติดเชื้อ H. pylori)

4. เภสัชจุลศาลและนวัตกรรมการแพทย์: แนวทางการดูแลรักษาโรคกระเพาะอาหารอักเสบ
การรักษาโรคกระเพาะอาหารอักเสบมีเป้าหมายเพื่อลดการอักเสบ, กำจัดเชื้อโรค (หากติดเชื้อ), บรรเทาอาการ, และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง การรักษาจะแตกต่างกันไปตามสาเหตุและความรุนแรงของอาการ
- 4.1 การดูแลตัวเองและบรรเทาอาการ (Self-Care and Symptomatic Treatment):
- พักผ่อนให้เพียงพอ:
- งดหรือหลีกเลี่ยงสารกระตุ้น: งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, งดสูบบุหรี่, หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด, เผ็ดจัด, เปรี้ยวจัด, หรืออาหารที่รู้ว่าทำให้เกิดอาการ
- รับประทานอาหารมื้อเล็กๆ บ่อยขึ้น: แทนที่จะรับประทานมื้อใหญ่ๆ
- รับประทานอาหารที่อ่อนโยนต่อกระเพาะ: เช่น โจ๊ก, ข้าวต้ม, อาหารจืดๆ
- 4.2 ยาที่ใช้รักษาโรคกระเพาะอาหารอักเสบ (Gastritis Medications):
- ยาลดกรด (Antacids):
- ช่วยบรรเทาอาการปวดแสบท้องได้อย่างรวดเร็ว โดยการสะเทินกรดในกระเพาะอาหาร แต่มีฤทธิ์สั้นและไม่ได้ลดการหลั่งกรด
- ตัวอย่างยาที่พบบ่อยในไทย: ยาน้ำลดกรดที่มีส่วนผสมของ Aluminum Hydroxide, Magnesium Hydroxide, Simethicone
- ยากลุ่ม Proton Pump Inhibitors (PPIs):
- เป็นยาหลักและมีประสิทธิภาพสูงที่สุดในการลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร โดยการยับยั้งการทำงานของโปรตอนปั๊มที่ผลิตกรด ช่วยให้เยื่อบุกระเพาะอาหารที่อักเสบหายเร็วขึ้น
- ตัวอย่างยาที่พบบ่อยในไทย: Omeprazole, Esomeprazole, Lansoprazole, Pantoprazole, Rabeprazole
- ข้อควรพิจารณา: ควรรับประทานก่อนอาหารประมาณ 30-60 นาที และใช้ตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
- ยากลุ่ม H2 Receptor Blockers (H2RAs):
- ลดการหลั่งกรดเช่นกัน แต่มีประสิทธิภาพน้อยกว่า PPIs มักใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง หรือใช้เสริมในบางกรณี (เช่น Famotidine, Cimetidine)
- ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics):
- หากตรวจพบว่ามีการติดเชื้อ
- หากตรวจพบว่ามีการติดเชื้อ
- ยาลดกรด (Antacids):
H. pylori แพทย์จะสั่งยาปฏิชีวนะ 2-3 ชนิด ร่วมกับยาลดกรด (PPI) เพื่อกำจัดเชื้อ ซึ่งเรียกว่า Triple Therapy หรือ Quadruple Therapy
- ข้อสำคัญ: ต้องรับประทานยาปฏิชีวนะให้ครบตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เชื้อหมดไปและป้องกันการเกิดเชื้อดื้อยา
- ยาเคลือบกระเพาะอาหาร (Mucosal Protective Agents):
- ช่วยสร้างเกราะป้องกันเยื่อบุกระเพาะอาหารจากการทำลายของกรด (เช่น Sucralfate, Rebamipide)
- ช่วยสร้างเกราะป้องกันเยื่อบุกระเพาะอาหารจากการทำลายของกรด (เช่น Sucralfate, Rebamipide)
- 4.3 การรักษาด้วยวิธีอื่นๆ (ในผู้ป่วยบางราย):
- การผ่าตัด (Surgery):
- พิจารณาในกรณีที่กระเพาะอาหารอักเสบมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น มีเลือดออกมากจนควบคุมไม่ได้ หรือเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร
- พิจารณาในกรณีที่กระเพาะอาหารอักเสบมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น มีเลือดออกมากจนควบคุมไม่ได้ หรือเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร
- การผ่าตัด (Surgery):
ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลยาที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างและเพื่อการศึกษาเท่านั้น การรักษาโรคกระเพาะอาหารอักเสบเป็นเรื่องซับซ้อนและต้องได้รับการประเมินจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทางเดินอาหาร (Gastroenterologist) หรืออายุรแพทย์อย่างละเอียด การใช้ยาหรือการปรับเปลี่ยนขนาดยาใดๆ ต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำและการดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัด ห้ามวินิจฉัยโรคด้วยตนเอง หรือซื้อยาปฏิชีวนะมารับประทานเองเด็ดขาด เพราะอาจเกิดผลข้างเคียงร้ายแรงจากการใช้ยา หรือเชื้อดื้อยาได้
4.4 นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการแพทย์ในการดูแลโรคกระเพาะอาหารอักเสบ
- การพัฒนาชุดทดสอบ H. pylori ที่รวดเร็วและแม่นยำ: เช่น Urea Breath Test, Stool Antigen Test ช่วยให้การวินิจฉัยและติดตามการกำจัดเชื้อเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
- เทคโนโลยีการส่องกล้อง (Endoscopy) ที่ทันสมัย: กล้องส่องตรวจที่ให้ภาพคมชัดยิ่งขึ้น และมีเทคนิคการตัดชิ้นเนื้อที่ละเอียดอ่อนขึ้น เพื่อการวินิจฉัยที่แม่นยำและรวดเร็ว
- การวิจัยยาใหม่ๆ: เพื่อค้นหายาที่มีกลไกการออกฤทธิ์ที่หลากหลายขึ้น และมีผลข้างเคียงน้อยลง โดยเฉพาะยาที่มุ่งเป้าไปที่การกำจัดเชื้อ H. pylori ที่ดื้อยา
5. อาหารเสริมที่ช่วยบำรุง ดูแล หรืออาจมีบทบาทในผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารอักเสบ
การใช้อาหารเสริมในผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารอักเสบควรทำด้วยความระมัดระวังและ ต้องปรึกษาแพทย์ผู้รักษา หรือเภสัชกรก่อนเสมอ เนื่องจากอาหารเสริมบางชนิดอาจมีปฏิกิริยากับยาที่ใช้, ส่งผลต่อเยื่อบุกระเพาะอาหาร, หรือไม่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของผู้ป่วย อาหารเสริมไม่สามารถใช้รักษาโรคกระเพาะอาหารอักเสบได้ และไม่ควรนำมาใช้ทดแทนยาปฏิชีวนะหรือยาอื่นๆ ที่แพทย์สั่ง
อย่างไรก็ตาม อาหารเสริมบางชนิดอาจมีบทบาทในการช่วยบำรุงร่างกาย, เสริมสร้างความแข็งแรงของเยื่อบุกระเพาะ, หรือบรรเทาอาการบางอย่างภายใต้การควบคุมดูแลของแพทย์:
- โปรไบโอติกส์ (Probiotics):
- อาจช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ และอาจมีบทบาทในการช่วยเสริมการกำจัดเชื้อ H. pylori หรือลดผลข้างเคียงจากยาปฏิชีวนะ (เช่น ท้องเสีย)
- ข้อควรระวัง: ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง
- สารสกัดจากขมิ้นชัน (Curcumin):
- มีคุณสมบัติลดการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ อาจช่วยบรรเทาอาการอักเสบในกระเพาะอาหาร และมีงานวิจัยบางชิ้นชี้ว่าอาจช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อ H. pylori ได้
- สารสกัดจากชะเอมเทศ (Deglycyrrhizinated Licorice – DGL):
- เป็นรูปแบบของชะเอมเทศที่ถูกกำจัดสาร Glycyrrhizin ออกไป ซึ่งลดผลข้างเคียงเรื่องความดันโลหิตสูง
- เชื่อว่า DGL อาจช่วยส่งเสริมการสร้างเมือกป้องกันกระเพาะอาหาร และช่วยสมานแผล
- ว่านหางจระเข้ (Aloe Vera):
- มีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบและช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนในกระเพาะอาหาร
- วิตามินบีรวม (B Vitamins):
- โดยเฉพาะ วิตามินบี 12 (Vitamin B12) สำหรับผู้ป่วยกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรังชนิดฝ่อ (Atrophic Gastritis) หรือภาวะโลหิตจางชนิดเพอร์นิเชียส (Pernicious Anemia) ซึ่งอาจมีการดูดซึม B12 บกพร่อง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจระดับและเสริมหากจำเป็น
- สังกะสี (Zinc):
- มีบทบาทในการรักษาและปกป้องเยื่อบุกระเพาะอาหาร
- กลูตามีน (L-Glutamine):
- กรดอะมิโนที่อาจช่วยบำรุงเยื่อบุทางเดินอาหาร
- กรดอะมิโนที่อาจช่วยบำรุงเยื่อบุทางเดินอาหาร
ข้อควรระวังสำคัญ: อาหารเสริมทั้งหมดข้างต้นไม่ใช่ยาและไม่สามารถใช้รักษาโรคกระเพาะอาหารอักเสบได้ การรับประทานอาหารเสริมใดๆ ต้องปรึกษาแพทย์ผู้รักษา หรือเภสัชกรก่อนเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีโรคประจำตัว, กำลังรับประทานยาอื่นๆ อยู่, หรือมีอาการรุนแรง การพึ่งพาอาหารเสริมเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้รับการรักษาทางการแพทย์ที่เหมาะสม อาจทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ หรืออาการไม่บรรเทาลงได้
6. การดูแลตัวเองและแนวทางการป้องกัน: กุญแจสำคัญสู่สุขภาพกระเพาะที่ดี
การป้องกันโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และการดูแลตัวเองเมื่อเป็น มีหลักการสำคัญดังนี้:
- 6.1 การป้องกันโรคกระเพาะอาหารอักเสบ:
- หลีกเลี่ยงการใช้ยา NSAIDs โดยไม่จำเป็น: หากจำเป็นต้องใช้ ควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์ และรับประทานพร้อมอาหารเสมอ
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป:
- ไม่สูบบุหรี่:
- รักษาความสะอาดของอาหารและน้ำ: เพื่อป้องกันการติดเชื้อ H. pylori และเชื้อโรคอื่นๆ
- ล้างมือให้สะอาด: ก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ
- รับประทานอาหารให้ตรงเวลา: ไม่ควรปล่อยให้ท้องว่างนานเกินไป
- หลีกเลี่ยงอาหารที่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร: เช่น อาหารรสจัด, เผ็ดจัด, เปรี้ยวจัด
- จัดการความเครียด (Stress Management): หาเทคนิคการผ่อนคลายความเครียดที่เหมาะสม
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และสมดุล:
- 6.2 การดูแลตัวเองเมื่อเป็นกระเพาะอาหารอักเสบ:
- พักผ่อนให้เพียงพอ:
- ดื่มน้ำสะอาดมากๆ:
- รับประทานอาหารอ่อนนุ่ม ย่อยง่าย: เช่น โจ๊ก, ข้าวต้ม, ซุป
- หลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นอาการ: จดบันทึกว่าอาหารชนิดใดที่ทำให้อาการแย่ลง เพื่อหลีกเลี่ยง
- รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง: โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะ (หากได้รับ) ต้องรับประทานให้ครบโดส
- ไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะมารับประทานเอง:
7. การดูแลรักษาและใช้ชีวิตอยู่กับโรคกระเพาะอาหารอักเสบ: สบายท้องในทุกวัน
โรคกระเพาะอาหารอักเสบมักหายได้เมื่อได้รับการรักษาที่เหมาะสม แต่การดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ และภาวะแทรกซ้อน:
- ปฏิบัติตามแผนการรักษาของแพทย์อย่างเคร่งครัด: โดยเฉพาะการรับประทานยาปฏิชีวนะเพื่อกำจัดเชื้อ H. pylori (หากมี) และยาลดกรด
- มาพบแพทย์ตามนัดหมายอย่างสม่ำเสมอ: เพื่อติดตามอาการ, ตรวจสอบการกำจัดเชื้อ H. pylori (หากรักษา), และประเมินภาวะแทรกซ้อน
- สังเกตอาการของตนเองอย่างใกล้ชิด: หากอาการปวดท้องไม่ดีขึ้น, แย่ลง, มีเลือดออกในทางเดินอาหาร (อาเจียนเป็นเลือด, ถ่ายดำ), หรือน้ำหนักลดผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
- ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร: หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้ยา หรือการดูแลตัวเอง
- ดูแลสุขภาพจิต: การจัดการความเครียดเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสุขภาพกระเพาะอาหาร
สรุป: โรคกระเพาะอาหารอักเสบ ป้องกันและควบคุมได้ ด้วยการหลีกเลี่ยงสาเหตุ การรักษาที่เหมาะสม และการดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อสุขภาพกระเพาะที่ดี
โรคกระเพาะอาหารอักเสบคือภาวะอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหารที่สร้างความไม่สบายตัวอย่างมาก การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ สาเหตุ (ติดเชื้อ H. pylori, ยา NSAIDs, แอลกอฮอล์, ความเครียด), สัญญาณเตือน (ปวดท้อง, คลื่นไส้, เบื่ออาหาร, เลือดออกในทางเดินอาหาร), และ การวินิจฉัย (การส่องกล้องกระเพาะอาหาร, ตรวจหาเชื้อ H. pylori) เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง การดูแลรักษาด้วย ยาลดกรด (PPIs), ยาปฏิชีวนะ (หากมี H. pylori), และที่สำคัญคือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต (หลีกเลี่ยงสารกระตุ้น, รับประทานอาหารให้ถูกต้อง) จะช่วยบรรเทาอาการและส่งเสริมการหายของโรค การ ป้องกันโรคกระเพาะอาหารอักเสบด้วยสุขอนามัยที่ดี คือกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงในการเกิดโรค การได้รับข้อมูลเกี่ยวกับ อาหารเสริมที่มีบทบาทอย่างเหมาะสมภายใต้คำแนะนำของแพทย์/เภสัชกร จะช่วยให้ผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารอักเสบมีสุขภาพกระเพาะที่ดีขึ้น และใช้ชีวิตได้อย่างสบายท้อง
ข้อมูลอ้างอิงและข้อควรระวังสำคัญ:
- ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลยา อาหารเสริม และนวัตกรรมการแพทย์ที่กล่าวมาข้างต้นมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาและให้ข้อมูลเท่านั้น การวินิจฉัยโรค การเลือกวิธีการรักษา การใช้ยา หรือการปรับเปลี่ยนขนาดยาใดๆ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหาร (Gastroenterologist) หรืออายุรแพทย์ (Internal Medicine) อย่างเคร่งครัด ห้ามวินิจฉัยโรคด้วยตนเอง หรือซื้อยา อาหารเสริม และเลือกการรักษาโดยไม่ปรึกษาแพทย์เด็ดขาด เพราะอาจเกิดผลข้างเคียงร้ายแรงจากการใช้ยา หรือภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ แพทย์จะพิจารณาความเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย โดยคำนึงถึงอาการ, ประวัติสุขภาพ, โรคประจำตัว, และปัจจัยอื่นๆ
แหล่งอ้างอิง:
- [1] ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย. (2565). แนวทางการวินิจฉัยและดูแลรักษาโรคกระเพาะอาหารอักเสบ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์เว็บไซต์ของราชวิทยาลัยฯ หรือหน้าคู่มือที่เกี่ยวข้อง)
- [2] กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. ข้อมูลโรคกระเพาะอาหารอักเสบ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์เว็บไซต์ของกรมฯ ที่เกี่ยวข้อง)
- [3] โรงพยาบาลชั้นนำในประเทศไทย (เช่น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลรามาธิบดี). บทความให้ความรู้เกี่ยวกับโรคกระเพาะอาหารอักเสบ. (ยกตัวอย่างบทความจากโรงพยาบาลที่น่าเชื่อถือ)
- [4] สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.). ข้อมูลยาที่ได้รับอนุมัติในประเทศไทย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์ที่เกี่ยวข้องหากต้องการ เช่น ฐานข้อมูลยา)
เรียบเรียงข้อมูลโดย ( Compiled by): www.chulalakpharmacy.com