โรคเอดส์ในภาพจำของใครหลายๆ คนยังคงคิดว่าเป็นโรคที่น่ากลัว ผู้ป่วยโรคเอดส์ไม่น่าเข้าใกล้เพราะจะมีตุ่ม หนอง เกิดขึ้นตามตัว แม้ในปัจจุบันวงการแพทย์ได้รับการพัฒนาให้ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ มีเทคโนโลยีทางการแพทย์ใหม่ๆ ที่ถูกนำมาใช้เพื่อการรักษาที่ดีขึ้นกว่าเดิม แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าบางคนยังมีความเข้าใจผิดหรือคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับโรคนี้อยู่ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่คนทั่วไปเกี่ยวกับเชื้อเอชไอวี และโรคเอดส์ รวมถึงตระหนักว่าเชื้อ HIV และโรคเอดส์ยังคงมีอยู่ แต่คุณยังมีโอกาสที่จะป้องกันและต่อสู้กับมันเพื่อผ่านไปได้ วันนี้มีคำตอบสำหรับทุกคำถามที่คุณสงสัยมาให้แล้วในบทความนี้
รู้หรือไม่ ติดเชื้อ HIVไม่ใช่เอดส์
HIV คือ เชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่ทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย เมื่อเชื้อเอชไอวีเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะยึดจับและทำลายเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 เป็นสาเหตุที่ทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง หากไม่รับการรักษา ระดับ CD4 ลดต่ำลงเรื่อยๆ จะทำให้ป่วยเป็นเอดส์ได้
AIDS คือ คนที่ติดเชื้อ HIV ที่มีระดับเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ต่ำกว่า 200 ระบบภูมิคุ้มกันและเม็ดเลือดขาวถูกทำลายจนไม่สามารถต้านทานโรค ได้ หรือเรียกว่า “ภูมิคุ้มกันบกพร่อง” ร่างกายจึงมีโอกาสติดเชื้อต่างๆ ได้ง่าย
การติดเชื้อเอชไอวี (HIV) เท่ากับโรคเอดส์จริงหรือไม่?
โรคเอดส์เป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ HIV เนื่องจากการติดเชื้อ HIV ในระยะที่ 1 และระยะที่ 2 ยังไม่ใช่โรคเอดส์ นอกจากร่างกายจะมีเชื้อเอชไอวี อยู่เป็นเวลานาน 8-10 ปี จนเข้าสู่ระยะที่ 3 ภูมิคุ้มกันในร่างกายบกพร่องจนไม่สามารถต้านเชื้อไวรัสได้จนกลายเป็นโรคเอดส์นั่นเอง
•ระยะแรก ร่างกายอยู่ในภาวะเริ่มติดเชื้อ ไม่ค่อยแสดงอาการมาก
•ระยะที่ 2 มีตุ่มขึ้นตามร่างกาย มีเชื้อราในปาก เป็นงูสวัด
•ระยะที่ 3 เป็นโรคเอดส์ มีการติดเชื้อฉวยโอกาส เช่น เชื้อราขึ้นสมอง วัณโรค
ระยะที่ 1 และ 2 ของการติดเชื้อ HIV ยังไม่ถือเป็นโรคเอดส์ ส่วนระยะที่ 3 ของการติดเชื้อ HIV เรียกว่าเป็นโรคเอดส์หากรู้ตัวว่ามีเชื้อ HIV ให้รีบเข้ารับการรักษา และรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง เพราะ HIV สามารถรักษา และห่างไกลจากโรคเอดส์ได้ ผู้ป่วยสามารถมีอายุยืนยาวเหมือนคนปกติทั่วไป
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
– โรงพยาบาลศิครินทร์
– โรงพยาบาลวิมุต
เรียบเรียงข้อมูลโดย: CHULALAKPHARMACY.COM