การใช้ยา Alendronate (อเลนโดรเนต) ในผู้ป่วยภาวะกระดูกพรุน

Alendronate (อเลนโดรเนต) คือ ยาในกลุ่มบิสฟอสโฟเนต ใช้รักษาและป้องกันภาวะกระดูกพรุนในผู้ใหญ่ โดยยาจะชะลอการสูญเสียมวลกระดูก และอาจใช้รักษาโรคพาเจท (Paget’s Disease) ซึ่งเป็นโรคที่ผู้ป่วยมีปัญหาเกี่ยวกับการฟื้นฟูของกระดูก ทำให้กระดูกไม่แข็งแรงหรือผิดรูป และอาจใช้รักษาการเจ็บป่วยอื่น ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์

ยาAlendronateมีสรรพคุณ/ข้อบ่งใช้: เช่น

  • ป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุนในสตรีวัยหมดประจำเดือน และรักษาโรคกระดูกพรุนในผู้ป่วยชาย
  • รักษาโรคกระดูกพรุนสาเหตุจากการใช้ยาในกลุ่มเสตียรอยด์
  • รักษาโรคพาเจทกระดูก (Paget’s disease of bone) ซึ่งเป็นโรคที่ร่างกายผู้ป่วยสร้างกระดูกที่มีความเปราะบางแตกหักง่าย

ยา Alendronateออกฤทธิ์อย่างไร

ยาอะเลนโดรเนทออกฤทธิ์หรือทำหน้าที่ในการยับยั้งการทำงานของเซลล์ออสทิโอคลาส (Osteoclast) ของกระดูก ซึ่งเป็นเซลล์ที่มีหน้าที่ในการสลายเซลล์กระดูก ส่งผลทำให้การสลาย เซลล์กระดูกลดลง และยังทำให้ร่างกายสามารถคงระดับหรือเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่กระ ดูกได้มากขึ้น

นอกจากนี้ยาอะเลนโดรเนทซึ่งอยู่ในกลุ่มยาบิสฟอสโฟเนต(Bisphosphonate) ยังมีส่วน ช่วยในการควบคุมการสร้างเซลล์ออสทิโอคลาสและยังกระตุ้นให้เกิดการสลายของเซลล์ออสทิโคลาสในร่างกายอีกด้วย

ยา Alendronateมีรูปแบบจัดจำหน่ายอย่างไร

  • ยาเม็ด ขนาดความแรง 10 และ 70 มิลลิกรัมต่อเม็ด

ปริมาณในการใช้ยา Alendronate

ปริมาณในการใช้ยาชนิดนี้จะแตกต่างกันไปตามโรคที่ใช้รักษาและดุลยพินิจของแพทย์ โดยมีตัวอย่างการใช้ยา ดังนี้

รักษาโรคกระดูกพรุน

  • รับประทานยาปริมาณ 10 มิลลิกรัม วันละครั้ง หรือ 70 มิลลิกรัม สัปดาห์ละครั้ง
  • หากโรคกระดูกพรุนเป็นผลมาจากการใช้ยากลูโคคอร์ติคอยด์ ให้รับประทานยานี้ปริมาณ 5 มิลลิกรัม วันละครั้ง
  • สำหรับเพศหญิงที่หมดประจำเดือนและไม่ได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนทดแทน ให้รับประทานยาปริมาณ 10 มิลลิกรัม วันละครั้ง

ป้องกันโรคกระดูกพรุน

  • รับประทานยาปริมาณ 5 มิลลิกรัม วันละครั้ง หรือ 35 มิลลิกรัม สัปดาห์ละครั้ง

รักษาโรคพาเจท

  • รับประทานยาปริมาณ 40 มิลลิกรัม วันละครั้ง โดยรับประทานต่อเนื่องนาน 6 เดือน

การใช้ยา Alendronate

  • ปฎิบัติตามวิธีใช้และรับประทานยาในปริมาณที่กำหนดบนฉลากยาหรือตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • หากใช้ยาชนิดอื่นอยู่หรือเคยใช้ยาชนิดอื่นมาก่อน เช่น ยาแก้ปวด ยาในกลุ่มเอ็นเสด เป็นต้น ควรแจ้งให้แพทย์ทราบด้วย
  • หากเป็นยาเม็ด ควรรับประทานกับน้ำเปล่าโดยกลืนทั้งเม็ด ไม่กัดหรือเคี้ยวยา
  • หากเป็นยาแบบเม็ดฟู่ ควรละลายยาลงในแก้วน้ำทิ้งไว้ 5 นาทีแล้วดื่มให้หมดแก้ว อาจดื่มน้ำเปล่าตามเล็กน้อย และไม่ควรแกะยาออกจากฟอยล์หากยังไม่รับประทาน
  • หากรับประทานยาไปแล้วยังไม่ครบ 2 ชั่วโมง ห้ามรับประทานอาหารบางชนิด เช่น น้ำแร่ โซดา ชา กาแฟ ธาตุเหล็ก วิตามิน แคลเซียม และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแคลเซียม เป็นต้น เพราะทำให้ร่างกายดูดซึมยาได้น้อยลง
  • ห้ามรับประทานยาช่วงก่อนนอนหรือก่อนจะเช้า เพราะร่างกายอาจไม่ดูดซึมยาและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงได้
  • ไม่ควรนอนหรือเอนตัวลงทันทีหลังจากรับประทานยา แต่ควรรอประมาณ 30 นาที เพราะยาชนิดนี้อาจมีผลกระทบกับหลอดอาหาร
  • ห้ามรับประทานยาชนิดนี้ร่วมกับยาชนิดอื่น แต่ควรรับประทานยาชนิดอื่นหลังจากรับประทานยานี้ไปแล้วอย่างน้อย 30 นาที
  • ไม่รับประทานยาของผู้อื่นและไม่ให้ผู้อื่นใช้ยาของตน
  • ควรรับประทานยาในช่วงเช้าขณะที่ท้องว่างในเวลาเดิมทุกวัน เพื่อป้องกันการลืมรับประทานยา
  • ระยะเวลาในการรับประทานยาขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์
  • ไม่ควรสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ในระหว่างที่ใช้ยานี้ และควรเลิกพฤติกรรมดังกล่าวหากสามารถทำได้
  • ไม่ควรลด เพิ่มปริมาณ หรือหยุดใช้ยาด้วยตัวเอง แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง
  • หากลืมรับประทานยาแบบรายวัน ให้ข้ามการรับประทานยาในวันนั้นไปโดยไม่ต้องเพิ่มปริมาณยาในวันถัดไป
  • หากลืมรับประทานยาแบบรายอาทิตย์ ให้รับประทานยาในเช้าวันถัดไป หลังจากนั้นให้รับประทานยาตามกำหนดการเดิม
  • การรับประทานยาอาจเป็นแค่ส่วนหนึ่งในการรักษาเท่านั้น ผู้ป่วยอาจต้องควบคุมอาหาร รับการตรวจร่างกาย หรือรับประทานยาชนิดอื่นร่วมด้วย ดังนั้น ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เสมอ
  • เก็บยาในอุณหภูมิห้อง ให้ห่างจากความร้อน ความชื้น เด็กและสัตว์เลี้ยง

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Alendronate

การรับประทานยาชนิดนี้อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยมีตัวอย่างผลข้างเคียงที่พบบ่อย เช่น อาการเจ็บหน้าอก แสบร้อนกลางอก ปวดท้อง คลื่นไส้ ท้องผูก ท้องร่วง ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูก หรือปวดตามข้อต่อ เป็นต้น

ทั้งนี้ หากอาการข้างเคียงต่าง ๆ ไม่ดีขึ้น ผ่านไปนานแล้วอาการยังไม่หายไป หรือเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงดังต่อไปนี้ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที

  • อาการแพ้ เช่น มีผื่นขึ้นตามตัว คัน ไอ หายใจลำบาก หน้าบวม ปากบวม คอบวม เป็นต้น
  • มีอาการของภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ เช่น กล้ามเนื้อกระตุกหรือหดตัว มีอาการชาหรือเสียวซ่าบริเวณปาก นิ้วมือ หรือนิ้วเท้า เป็นต้น
  • เจ็บหน้าอก แสบร้อนกลางอกหรือช่องท้องส่วนบนอย่างรุนแรง ไอแบบมีเลือดปน
  • รู้สึกปวดขณะกลืนอาหาร กลืนลำบาก
  • ปวดหัว ปวดหู ปวดบวมหรือมีอาการบริเวณกราม
  • ปวดบริเวณซี่โครง
  • ปวดต้นขาหรือเอวแบบผิดปกติ

นอกจากนี้ หากเกิดอาการผิดปกติอื่น ๆ ระหว่างที่ใช้ยานี้ ควรไปปรึกษาแพทย์เช่นกัน


แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
– web pobpad
– web haamor
เรียบเรียงข้อมูลโดย: CHULALAKPHARMACY.COM

แชร์

สินค้าที่เกี่ยวข้อง

No results found.

ยังไม่มีบัญชี