คำถามที่เภสัชกรหน้าร้านขายยาพบบ่อยไม่แพ้คำถามเกี่ยวกับโรคอื่นๆ คือ คุณเภสัชค่ะ “หนูเป็นโรคไบโพลาร์ หรือเปล่าคะ” …
งั้นเราจะมาทำความรู้จักกับ โรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder)ว่ามีลักษณะเป็นยังไง
โรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) ไม่ใช่แค่ “อารมณ์แปรปรวน” ธรรมดา แต่เป็นภาวะที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันอย่างมาก หากคุณรู้สึกว่าตัวเองหรือคนที่คุณรักมีช่วงที่อารมณ์พุ่งสูงผิดปกติ สลับกับความเศร้าหมองจนยากจะควบคุม
หรือในอีกแง่หนึ่งโรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) เป็นโรคอารมณ์สองขั้ว เป็นความผิดปกติทางอารมณ์ที่ทำให้ผู้ป่วยมีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ที่รุนแรง สลับไปมาระหว่างภาวะอารมณ์ดีผิดปกติ (mania หรือ hypomania) และภาวะซึมเศร้า (depression) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน การทำงาน และความสัมพันธ์ของผู้ป่วยได้
ประเภทของโรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) ที่พบโดยทางการแพทย์ จะมีอยู่ 3 ประเภทด้วยกัน
1. ไบโพลาร์ประเภทที่ 1 (Bipolar I Disorder)
โรคไบโพลาร์ประเภทที่ 1 (Bipolar I Disorder) เป็นความผิดปกติทางอารมณ์ที่ผู้ป่วยจะมีช่วงของอารมณ์ที่สูงขึ้นอย่างมาก (mania) ซึ่งอาจรุนแรงจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ช่วงของภาวะ mania นี้มักกินเวลานานอย่างน้อย 7 วัน หรือมีความรุนแรงจนต้องได้รับการดูแลทางการแพทย์
อาการของภาวะ Mania ใน Bipolar I Disorder:
- รู้สึกมีความสำคัญในตนเองมากเกินไป
- นอนน้อยลงหรือไม่รู้สึกง่วง
- พูดมากหรือพูดเร็วผิดปกติ
- ความคิดแล่นเร็ว
- มีพฤติกรรมที่เสี่ยงหรือหุนหันพลันแล่น เช่น ใช้จ่ายเงินมากเกินไป หรือมีพฤติกรรมทางเพศที่ไม่ปลอดภัย
นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจมีช่วงของภาวะซึมเศร้า (depressive episodes) สลับกับภาวะ mania ซึ่งในช่วงซึมเศร้า ผู้ป่วยอาจรู้สึกเศร้า สิ้นหวัง ขาดความสนใจในกิจกรรมที่เคยสนุกสนาน และมีความคิดเกี่ยวกับการทำร้ายตนเองหรือฆ่าตัวตาย
การวินิจฉัยและการรักษาโรคไบโพลาร์ประเภทที่ 1 ควรได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ซึ่งอาจรวมถึงการใช้ยาเพื่อปรับสมดุลของอารมณ์ และการบำบัดทางจิตใจเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถจัดการกับอาการและปรับตัวในการดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม

2. ไบโพลาร์ประเภทที่ 2 (Bipolar II Disorder)
เป็นความผิดปกติทางอารมณ์ที่ผู้ป่วยจะมีอาการสลับระหว่างภาวะซึมเศร้า (Depressive Episodes) และภาวะอารมณ์ดีผิดปกติระดับน้อย (Hypomania) ซึ่งแตกต่างจากโรคไบโพลาร์ประเภทที่ 1 ตรงที่ผู้ป่วยจะไม่มีภาวะอารมณ์ดีผิดปกติรุนแรง (Mania)
อาการของโรคไบโพลาร์ประเภทที่ 2:
1. ภาวะซึมเศร้า (Depressive Episodes):
- รู้สึกเศร้า สิ้นหวัง หรือว่างเปล่า
- ขาดความสนใจหรือความสุขในกิจกรรมที่เคยชอบ
- มีการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักหรือความอยากอาหาร
- นอนไม่หลับหรือนอนมากเกินไป
- รู้สึกเหนื่อยล้า หรือขาดพลังงาน
- รู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่า หรือรู้สึกผิดมากเกินไป
- มีความคิดเกี่ยวกับการตายหรือการฆ่าตัวตาย
2. ภาวะฮัยโปมาเนีย (Hypomanic Episodes):
- อารมณ์ดีหรือหงุดหงิดผิดปกติ
- มีพลังงานมากขึ้นและกิจกรรมเพิ่มขึ้น
- พูดมากกว่าปกติหรือรู้สึกว่าต้องพูดตลอดเวลา
- ความคิดแล่นเร็วหรือมีความคิดหลายอย่างพร้อมกัน
- ขาดสมาธิ ถูกดึงดูดโดยสิ่งเร้าภายนอกได้ง่าย
- มีพฤติกรรมที่เสี่ยง เช่น ใช้จ่ายเงินเกินตัว หรือมีพฤติกรรมทางเพศที่ไม่ปลอดภัย
การวินิจฉัยโรคไบโพลาร์ประเภทที่ 2 ต้องอาศัยการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญทางสุขภาพจิต โดยพิจารณาประวัติอาการและพฤติกรรมของผู้ป่วยอย่างละเอียด
3. ไบโพลาร์ประเภทที่ 3 Cyclothymic Disorder (Cyclothymia)
Cyclothymic Disorder หรือ ไซโคลไทเมีย เป็นความผิดปกติทางอารมณ์ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ของอารมณ์ระหว่างภาวะอารมณ์ดีผิดปกติ (hypomania) และภาวะซึมเศร้าแบบไม่รุนแรง ซึ่งอาการเหล่านี้จะไม่รุนแรงหรือยาวนานเท่ากับที่พบในโรคไบโพลาร์ประเภทที่ 1 หรือ 2
อาการของ Cyclothymic Disorder:
· ภาวะ Hypomania:
- รู้สึกมีพลังงานมากกว่าปกติ
- อารมณ์ดีหรือหงุดหงิดง่าย
- พูดมากหรือเร็วผิดปกติ
- มีความคิดแล่นเร็ว
- มีพฤติกรรมที่เสี่ยงหรือหุนหันพลันแล่น
· ภาวะซึมเศร้าแบบไม่รุนแรง
- รู้สึกเศร้าหรือหมดหวัง
- ขาดความสนใจหรือความสุขในกิจกรรมที่เคยชอบ
- รู้สึกเหนื่อยล้าหรือขาดพลังงาน
- มีปัญหาในการนอนหลับ
- รู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่าหรือรู้สึกผิด

แล้วสงสัยมั้ยว่า โรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) เกิดขึ้นได้อย่างไร?
โรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) เป็นโรคทางอารมณ์ที่ทำให้ผู้ป่วยมีอารมณ์แปรปรวนรุนแรงระหว่างภาวะซึมเศร้า (Depressive Episode) และภาวะแมเนีย (Manic Episode) หรือฮัยโปแมเนีย (Hypomanic Episode) ซึ่งสาเหตุของโรคนี้ยังไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจน แต่มีปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลายประการ ได้แก่
1. พันธุกรรม (Genetics)
- มีหลักฐานว่าพันธุกรรมมีบทบาทสำคัญ หากมีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคไบโพลาร์ โอกาสที่สมาชิกในครอบครัวคนอื่นจะเป็นโรคนี้ก็สูงขึ้น
2. ความไม่สมดุลของสารเคมีในสมอง (Neurotransmitter Imbalance)
- สารสื่อประสาท เช่น โดปามีน (Dopamine), เซโรโทนิน (Serotonin) และนอร์อิพิเนฟริน (Norepinephrine) อาจทำงานผิดปกติ ส่งผลให้เกิดความแปรปรวนทางอารมณ์
3. โครงสร้างและการทำงานของสมองผิดปกติ (Brain Structure and Functioning Abnormalities)
- การศึกษาด้วย MRI พบว่าสมองของผู้ป่วยไบโพลาร์มีโครงสร้างและการทำงานแตกต่างจากคนทั่วไป โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์
4. ความเครียดและปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม (Stress & Environmental Factors)
- เหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจ เช่น การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก อุบัติเหตุ หรือประสบการณ์ที่กระตุ้นความเครียดอย่างรุนแรง อาจกระตุ้นให้เกิดโรคหรือทำให้อาการแย่ลง
5. พฤติกรรมและการใช้สารเสพติด (Lifestyle & Substance Abuse)
- การใช้แอลกอฮอล์ ยาเสพติด หรือแม้แต่การอดนอนเป็นปัจจัยกระตุ้นที่อาจทำให้อาการไบโพลาร์กำเริบได้

6. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน (Hormonal Changes)
- ในบางกรณี การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในช่วงวัยรุ่นหรือหลังคลอด อาจส่งผลต่อการเกิดหรือกระตุ้นอาการไบโพลาร์
แม้ว่าสาเหตุของโรคไบโพลาร์จะมีหลายปัจจัยร่วมกัน แต่การรักษา เช่น การใช้ยา การบำบัดพฤติกรรม และการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต สามารถช่วยให้ผู้ป่วยควบคุมอาการและใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ
แนวทางการรักษาโรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder)
พอได้อ่านข้อมูลแล้วรู้สึกว่า โรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) เป็นโรคที่น่ากลัวกันหรือป่าวคะ?
ดังนั้นการสังเกตุพฤติกรรมและการเปลี่ยนแปลงอารมณ์ของตนเองและคนใกล้ตัว อาจเป็นตัวช่วยเพื่อป้องกันหรือหลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นโรค โรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder)
โรคไบโพลาร์สามารถรักษาและควบคุมอาการได้ โดยใช้วิธีการรักษาหลัก ได้แก่ การใช้ยา การบำบัดจิตใจ และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น
โรคไบโพลาร์เป็นโรคเรื้อรังที่ต้องได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง วิธีการรักษาประกอบด้วย
1. การใช้ยา
o ยาปรับอารมณ์ (Mood Stabilizers) เช่น ลิเธียม (Lithium)
o ยาต้านอาการซึมเศร้า (Antidepressants)
o ยาระงับอาการทางจิต (Antipsychotics)
2. การบำบัดทางจิตใจ (Psychotherapy)
o การบำบัดด้วยการพูดคุย (Cognitive Behavioral Therapy – CBT)
o การบำบัดครอบครัวเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสม
3. การปรับพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์
o นอนหลับให้เพียงพอและตรงเวลา
o หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และสารเสพติด
o ออกกำลังกายและบริหารความเครียดอย่างเหมาะสม

สรุป
โรคไบโพลาร์เป็นความผิดปกติทางอารมณ์ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของผู้ป่วย แต่สามารถจัดการได้ด้วยการรักษาที่เหมาะสม หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีอาการคล้ายโรคไบโพลาร์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและดูแลอย่างถูกต้อง เพราะการได้รับการรักษาแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสมดุลและมีคุณภาพที่ดีขึ้น
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
– web med.unc.edu
– web pmc.ncbi.nlm.nih.gov
– web medparkhospital.com
เรียบเรียงข้อมูลโดย: CHULALAKPHARMACY.COM