ฝีฝักบัว (Carbuncles) ฝีฝักบัวเกิดจากการอักเสบของผิวหนังชั้นที่อยู่ลึกลงไปและบริเวณรูขุมขน มีลักษณะเป็นก้อนหนองในรูขุมขนหลายก้อนอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มีอาการเจ็บเมื่อสัมผัสโดน เกิดการติดเชื้อจากแบคทีเรีย มักพบบริเวณหลัง ต้นขา รักแร้ และด้านหลังลำคอ ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาจมีอาการไข้และมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย เมื่อตุ่มแดงยุบจะมีโอกาสเกิดรอยแผลเป็นมากกว่าฝีทั่วไป ในปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาถึงอัตราการเกิดของโรคนี้อย่างชัด แต่พบว่าเป็นโรคที่เกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัยและพบได้มากในเมืองร้อน
สาเหตุของฝีฝักบัว
ฝีฝักบัวมักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสแตฟิโลค็อกคัสออเรียส (Staphylococcus Aureus) ที่อยู่บนผิวหนัง โดยเฉพาะผิวบริเวณที่อับชื้น เช่น ปาก จมูก รักแร้ ขาอ่อน หรือขาหนีบ เป็นต้น ซึ่งโดยปกติเชื้อนี้มักไม่ก่อให้เกิดอันตราย ทว่าเมื่อเชื้อเข้าสู่ผิวหนังผ่านรอยแผลหรือรอยขีดข่วน ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะตอบสนองโดยส่งเม็ดเลือดขาวมากำจัดเชื้อดังกล่าว จึงส่งผลให้เกิดอาการอักเสบและเกิดฝีซึ่งเป็นตุ่มหนองอักเสบตามมา หากเชื้อแบคทีเรียลุกลามสู่ใต้ชั้นผิวหนังก็อาจทำให้การอักเสบขยายวงกว้าง จนเกิดเป็นก้อนหนองอยู่รวมหลายก้อนและกลายเป็นฝีฝักบัวในที่สุด
ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงจะทำให้เกิดโรคฝีฝักบัวได้ง่ายขึ้น คือ
- ผู้ที่บริเวณผิวหนังบริเวณคอและหลัง มีการเสียดสีหรือเกิดแผลได้ง่าย
- เป็นผู้ที่มีสุขอนามัยไม่ดี ไม่รักษาสุขอนามัยตนเอง ไม่รักษาความสะอาดในการโกนขน ผม หนวด เครา
- ผู้ที่มีสุขภาพโดยรวมไม่ดี มีโรคประจำตัวต่างๆ หรือมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวี , ผู้ป่วยเบาหวาน , โลหิตจาง , ขาดสารอาหาร , ผู้ที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกันต้านทานโรค , ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง , ผู้ป่วยตับเรื้อรัง
- ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับคนที่ติดเชื้อแบคทีเรียชนิดดังกล่าว
อาการของฝีฝักบัว
- ผิวหนังเกิดบวมและตุ่มสีชมพูหรือแดง
- มีอาการคันก่อนที่ก้อนเนื้อจะปรากฏขึ้นมา
- เจ็บปวดผิวหนังรอบ ๆ บริเวณที่เกิดก้อนเนื้อ
- ก้อนเนื้อมีหนองเกิดขึ้นและอาจขยายใหญ่ขึ้นใน 2-3 วัน
- ผิวหยาบกร้าน และมีหนองไหลออกมา
- ปวดเมื่อยตามร่างกาย
- รู้สึกเมื่อยล้า อ่อนเพลีย
- หนาวสั่นและมีไข้
ภาวะแทรกซ้อนของฝีฝักบัว
ในรายที่มีการติดเชื้อลุกลาม ฝีฝักบัวอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียงจากการติดเชื้อที่ผิวหนังเป็นวงกว้างได้ โดยจะส่งผลให้
- มีอาการไข้และอ่อนเพลียร่วมด้วย
- การติดเชื้ออาจลุกลามเป็นการติดเชื้อในอวัยวะต่างๆ ที่อยู่ใกล้เคียงได้ เช่น กระดูก เกิดกระดูกอักเสบ
- เชื้อโรคอาจลุกลามเข้าสู่กระแสเลือดก่อให้เกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด การติดเชื้อของเยื่อบุหัวใจ เกิดเป็นเยื่อบุหัวใจอักเสบ
- เชื้อดื้อยา
- เมื่อแผลหายมักกลายเป็นแผลเป็น
วิธีรักษาฝีฝักบัว
วิธีการรักษาฝีฝักบัวอาจทำได้ด้วยหลายวิธี ทั้งนี้ขึ้นอยู่ระดับความรุนแรงของอาการและบริเวณที่เกิดฝีฝักบัว แต่หากเป็นฝีที่ใบหน้า ใกล้กระดูกสันหลัง มีขนาดใหญ่ขึ้นและรักษาไม่หายภายใน 2 สัปดาห์ หรือมีฝีขึ้นหลายหัวติด ๆ กัน ควรไปพบคุณหมอเพื่อเข้ารับการรักษาที่ถูกต้อง เช่น
- การรับประทานยาปฏิชีวนะ เช่น ไดคล็อกซาซิลลิน (Dicloxacillin) อิริโทรมัยซิน (Erythromycin) เพื่อบรรเทาอาการปวด โดยคุณหมออาจให้รับประทานต่อเนื่องเป็นอย่างน้อย 1 สัปดาห์
- สบู่ต้านเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งอาจช่วยป้องกันการเกิดฝี และต้านเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง
- การผ่าตัด หากฝีมีขนาดใหญ่ คุณหมออาจระบายหนองออกด้วยการผ่าตัดหรือใช้เข็ม รวมถึงอาจต้องเอาเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกด้วย
วิธีป้องกันฝีฝักบัว
การมีสุขอนามัยที่ดีอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดฝีฝักบัวได้ นอกจากนั้นควรดูแลตัวเองด้วยวิธีดังต่อไปนี้
- รับประทานยาตามที่คุณหมอสั่งให้ครบถ้วน และไม่ควรหยุดยาเองแม้ฝีจะยุบไปแล้ว
- ประคบร้อนบริเวณที่เป็นฝีวันละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ 10-15 นาที
- หลีกเลี่ยงการเอาฝีไปสัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ รวมถึงไม่ควรบีบหรือเจาะหนองออกด้วยตัวเอง เพราะอาจทำให้เกิดรอยแผลเป็น และแผลอาจเกิดการติดเชื้อ
- หากหนองแตกควรทำแผลอย่างน้อยวันละ 2-3 ครั้ง ด้วยอุปกรณ์ทำแผลที่สะอาด
- ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนรับประทานอาหารและหลังการใช้ห้องน้ำ
- อาบน้ำบ่อย ๆ เพื่อให้ผิวของคุณปราศจากเชื้อแบคทีเรีย
- ทำความสะอาดผ้าปูที่นอน เสื้อผ้า ชุดชั้นใน และผ้าเช็ดตัว เป็นประจำ และไม่ควรใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
- ควรไปพบคุณหมอหากมีอาการป่วยหรือมีปัญหาผิวอื่น ๆ ที่อาจก่อให้เกิดแผลบนร่างกาย
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
– โรงพยาบาลบางปะกอก
– web hellokhunmor
– web pobpad
เรียบเรียงข้อมูลโดย: CHULALAKPHARMACY.COM