Finasteride (ฟีนาสเตอไรด์) เป็นยารักษาโรคต่อมลูกหมากโต (Benign Prostatic Hyperplasia: BPH) และอาจช่วยรักษาภาวะผมบาง หัวล้านจากพันธุกรรมหรือฮอร์โมนในผู้ชาย โดยแพทย์อาจใช้เป็นยาเดี่ยวหรือใช้ร่วมกับยาชนิดอื่น ๆ
Finasteride เป็นยาที่เข้าไปยับยั้งการสร้างฮอร์โมน DHT ของเราซึ่งจะช่วยชะลอการร่วงโรยของผมที่เกิดจากกรรมพันธุ์ได้ โดยก่อนจะมีการนำมาใช้อย่างแพร่หลายในแวดวงการปลูกผม ยาตัวนี้ เป็นยารับประทานที่ใช้รักษาปัญหาสุขภาพ 2 อย่างหลักๆ คือ
- ภาวะต่อมลูกหมากโต (Benign Prostatic Hyperplasia: BPH)
- ผมร่วงจากพันธุกรรม (Androgenetic Alopecia) ในเพศชาย
ในกรณีของต่อมลูกหมากโต : DHT เป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นการเจริญเติบโตของต่อมลูกหมาก การยับยั้ง DHT จึงช่วยลดขนาดของต่อมลูกหมากและบรรเทาอาการต่างๆ เช่น ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะบ่อย
ในกรณีของผมร่วง: DHT เป็นฮอร์โมนที่ทำให้รากผมฝ่อตัวลง Finasteride จึงช่วยลดระดับ DHT บนหนังศีรษะ ชะลอการหลุดร่วงของเส้นผม และอาจช่วยให้ผมขึ้นใหม่ได้ในบางราย

ปริมาณการใช้ยา Finasteride
ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา โดยทั่วไป การใช้ยา Finasteride แบบเดี่ยวหรือใช้ร่วมกับยาอื่น เช่น ดอกซาโซซิน (Doxazosin) เพื่อรักษาโรคต่อมลูกหมากโตในผู้ใหญ่ แพทย์อาจเริ่มรับประทานยาในปริมาณ 5 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง ติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือน
สำหรับการรักษาผมบางและหัวล้านในผู้ชาย แพทย์อาจให้เริ่มรับประทานยาในปริมาณ 1 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง ติดต่อกันอย่างน้อย 3 เดือน ผู้ป่วยควรใช้ยาอย่างต่อเนื่อง เพื่อคงประสิทธิภาพในการรักษา
การใช้ยา Finasteride
- ผู้ป่วยควรใช้ยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ห้ามใช้ยานี้ในปริมาณมากกว่า น้อยกว่า หรือติดต่อกันน้อยกว่าที่แพทย์แนะนำ หากมีข้อสงสัยใด ๆ หรือรู้สึกว่าอาการไม่ดีขึ้นหลังใช้ยาควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
- ผู้ป่วยสามารถรับประทานยา Finasteride พร้อมอาหารหรือไม่พร้อมก็ได้ แต่ควรรับประทานในเวลาเดียวกันของทุกวัน โดยมากจะต้องใช้ยาต่อเนื่องราว 6–12 เดือน เพื่อเห็นประสิทธิภาพในการรักษาสูงสุด หากผู้ป่วยลืมใช้ยา ควรใช้ยาทันทีที่นึกขึ้นได้ ห้ามเพิ่มปริมาณยาเป็นสองเท่า
- ในกรณีที่ผู้ป่วยหยุดใช้ยาด้วยตัวเอง ควรแจ้งให้แพทย์ เนื่องจากอาจส่งผลให้ค่าการตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็งในต่อมลูกหมากเปลี่ยนแปลงไป สำหรับผู้ป่วยที่รับประทานยาเกินปริมาณที่กำหนดอาจหมดสติหรือมีปัญหาในการหายใจ ควรไปพบแพทย์หรือนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยด่วน
ข้อควรระวังในการใช้ยา Finasteride
- แจ้งให้แพทย์ทราบหากมีประวัติแพ้ยาหรือส่วนประกอบของยา Finasteride รวมถึงยาชนิดอื่น ๆ
- ผู้ป่วยที่มีประวัติทางสุขภาพควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนการใช้ยา เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก การติดเชื้อโรค ปัญหาเกี่ยวกับการปัสสาวะ โรคตับ หรือมีค่าการทำงานของตับผิดปกติ
- ยานี้ใช้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น ห้ามใช้ยานี้ในสตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตร รวมถึงไม่ควรใช้ยาในเด็กและผู้หญิง ยกเว้นได้รับคำแนะนำจากแพทย์
- สตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตรไม่ควรสัมผัสยา Finasteride ที่แตก หัก หรือถูกบด เนื่องจากตัวยาสามารถซึมผ่านผิวหนังได้ และอาจส่งผลให้อวัยวะเพศของทารกเพศชายในครรภ์เกิดความผิดปกติ หากสัมผัสตัวยาโดยไม่ได้ตั้งใจ ควรรีบล้างผิวหนังบริเวณดังกล่าวด้วยน้ำและสบู่ทันที
- ยา Finasteride อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากชนิดรุนแรงหรือมะเร็งเต้านมในผู้ชาย ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ถึงประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการใช้ยา
- ผู้ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดหรือทำทันตกรรมใด ๆ ขณะใช้ยานี้ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนเสมอ
- แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยเข้ารับการตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็งในต่อมลูกหมาก (Prostate Specific Antigen: PSA) ขณะใช้ยานี้เป็นระยะ
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ ยา หรือสมุนไพรบางชนิดที่ส่งผลกระทบต่อตับในระหว่างใช้ยานี้
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Finasteride
การใช้ยาฟีนาสเตอไรด์อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น มีความต้องการทางเพศลดลง มีปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศ การสำเร็จความใคร่ หรือการหลั่งน้ำอสุจิ หรือปวดลูกอัณฑะ โดยผลข้างเคียงทางเพศอาจคงอยู่แม้หยุดใช้ยาแล้ว แต่มักหายดีภายใน 1 เดือน หากผู้ป่วยมีความกังวล ผลข้างเคียงจากยาไม่หายไปหรือทวีความรุนแรง ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม
ทั้งนี้ ผู้ป่วยควรหยุดใช้ยาแล้วไปพบแพทย์โดยเร็ว หากพบผลข้างเคียงหรือสัญญาณอาการที่รุนแรง ดังนี้
มีสัญญาณของอาการแพ้ยา เช่น ลมพิษ มีปัญหาในการหายใจ อาการบวมบริเวณใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น และลำคอ แต่มักพบได้น้อยมาก
- มีสัญญาณของมะเร็งเต้านมในผู้ชาย เช่น มีก้อนที่หน้าอก มีของเหลวไหลออกจากหัวนม หรือเต้านมมีลักษณะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
- น้ำอสุจิปนเลือด
- มีภาวะซึมเศร้า
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
– web pobpad
– web theskinclinic-hair
เรียบเรียงข้อมูลโดย: CHULALAKPHARMACY.COM