โรคไขมันในเลือดสูง (Hyperlipidemia) หรือบางครั้งเรียกว่า ไขมันเกินในเลือด เป็นภาวะที่มีระดับไขมันในเลือดสูงผิดปกติ โดยเฉพาะไขมันชนิดไม่ดี เช่น LDL (Low-Density Lipoprotein) และ ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides) ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น หัวใจขาดเลือด เส้นเลือดในสมองตีบ และหลอดเลือดแดงแข็ง
สถิติการเกิดโรคที่เกี่ยวข้อง
- จากรายงานของ องค์การอนามัยโลก (WHO) ปี 2023
โรคหัวใจและหลอดเลือดคร่าชีวิตผู้คนกว่า 17.9 ล้านคนต่อปี และ “ไขมันในเลือดสูง” เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญอันดับต้นๆ
- ในประเทศไทย (กรมควบคุมโรค, 2565)
พบว่าคนไทยมากกว่า 1 ใน 3 มีระดับไขมันในเลือดสูงโดยไม่รู้ตัว
แล้วต้องมีค่าไขมันในเลือดสูงระดับไหน ถึงเรียกว่าไขมันในเลือดสู มาดูกันเลย!!!
ค่ามาตรฐานไขมันในเลือด (ตามเกณฑ์ทั่วไป)
รายการตรวจ | ค่าปกติ (mg/dL) | หมายเหตุ |
Total Cholesterol (TC) | < 200 | ถ้าเกิน 240 ถือว่าเสี่ยงสูง |
LDL (ไขมันไม่ดี) | < 100 | ถ้า > 160 ถือว่าเสี่ยงมาก |
HDL (ไขมันดี) | > 40 (ชาย), > 50 (หญิง) | ยิ่งสูงยิ่งดี |
Triglycerides | < 150 | ถ้า > 200 เสี่ยงสูง |

สาเหตุของโรคไขมันในเลือดสูง
สาเหตุของโรคไขมันในเลือดสูง (Hyperlipidemia) โดยปกติแล้วสาเหตุของโรคจะมีอยู่ 2 ปัจจัยได้แก่
1. ปัจจัยที่สามารถควบคุมได้ (พฤติกรรม/ไลฟ์สไตล์)
1.1 รับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง
o เช่น ของทอด อาหารจานด่วน เนื้อสัตว์ติดมัน หนังสัตว์
o รวมถึงไขมันทรานส์จากเบเกอรี่ ขนมอบ มาการีน
1.2 รับประทานน้ำตาลและแป้งขัดขาวมากเกินไป ร่างกายเปลี่ยนน้ำตาลส่วนเกินเป็นไขมันสะสม
1.3 ขาดการออกกำลังกาย ทำให้ระดับไขมันดี (HDL) ลดลง และไขมันไม่ดี (LDL, Triglycerides) เพิ่มขึ้น
1.4 น้ำหนักเกิน / โรคอ้วน โดยเฉพาะ “อ้วนลงพุง” ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเผาผลาญไขมันผิดปกติ
1.5 สูบบุหรี่ / ดื่มแอลกอฮอล์ ทำลายหลอดเลือดและเพิ่มระดับไขมันไม่ดีในเลือด
2. ปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้
2.1พันธุกรรม (กรรมพันธุ์)
o บางคนมีภาวะ “Familial Hypercholesterolemia” ซึ่งเป็นความผิดปกติที่ทำให้ร่างกายมีไขมันสูงตั้งแต่กำเนิด
2.2อายุที่เพิ่มขึ้น
o เมื่ออายุมากขึ้น ระบบการเผาผลาญและควบคุมไขมันในร่างกายจะลดประสิทธิภาพลง
2.3โรคประจำตัวบางชนิด
o เช่น เบาหวานชนิดที่ 2
o ไทรอยด์ต่ำ (Hypothyroidism)
o โรคไตเรื้อรัง
o โรคตับ
2.4 ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด
o เช่น ยาคุมกำเนิด, สเตียรอยด์, ยากลุ่ม Beta-blockers
ไขมันในเลือดสูงเกิดได้จากทั้ง การใช้ชีวิตประจำวัน และ ภาวะทางร่างกายบางประการ การป้องกันโรคนี้จึงควรเริ่มที่การดูแลตนเอง เช่น การเลือกอาหาร การออกกำลังกาย และตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในคนที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้
อาการของโรคไขมันในเส้นเลือดสูง
อาการของโรคไขมันในเส้นเลือดสูง (Hyperlipidemia) ส่วนใหญ่จะ ไม่แสดงอาการในระยะเริ่มต้น จึงได้รับสมญาว่าเป็น “ภัยเงียบ” เพราะผู้ป่วยมักไม่รู้ตัวจนกว่าจะเกิดโรคแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น โรคหัวใจ หรือเส้นเลือดในสมองตีบ
อาการที่อาจพบได้ (โดยทางอ้อม)
1. อาการจากการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจ
· เจ็บแน่นหน้าอก โดยเฉพาะเวลาทำกิจกรรม
· หายใจเหนื่อยง่าย
· ใจสั่น อ่อนเพลีย
2. อาการจากหลอดเลือดสมองตีบหรือตัน (Stroke)
· ชาครึ่งซีก
· พูดไม่ชัด
· มองเห็นภาพซ้อน
· เดินเซ หรือหมดสติ
3. อาการที่เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดที่แขน-ขา
- ปวดขาเวลาเดิน (โดยเฉพาะน่อง)
- ขาเย็นหรือซีดผิดปกติ
- แผลหายช้าในบริเวณขา

การตรวจวินิจฉัยโรคไขมันในเส้นเลือดสูง (Hyperlipidemia
โดยเน้นทั้งการตรวจทางห้องปฏิบัติการและแนวทางทั่วไปที่แพทย์ใช้
1. การตรวจระดับไขมันในเลือด (Lipid Profile)
การตรวจ Lipid Profile เป็นวิธีง่ายและแม่นยำในการประเมินความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด ควรตรวจเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงหรือประวัติครอบครัว เพราะการรู้ตัวเร็วจะช่วยป้องกันโรคแทรกซ้อนที่ร้ายแรงในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้ป่วยควรงดอาหารอย่างน้อย 8–12 ชั่วโมง ก่อนตรวจเพื่อให้ผลแม่นยำ และควรตรวจเลือดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุเกิน 35 ปี หรือมีปัจจัยเสี่ยง
แนวทางการรักษาและป้องกันโรคไขมันในเส้นเลือดสูง
1. การปรับพฤติกรรม (Lifestyle Modification)
เป็นวิธีหลักที่สำคัญที่สุดและควรเริ่มก่อนการใช้ยา
1.1 ปรับอาหารการกิน
– ลดอาหารที่มี ไขมันอิ่มตัว เช่น เนื้อสัตว์ติดมัน ของทอด นมข้นหวาน
– หลีกเลี่ยง ไขมันทรานส์ จากมาการีน เบเกอรี่ ขนมอบ
– เพิ่มผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี (เช่น ข้าวกล้อง)
– กินปลาทะเลที่มีโอเมก้า 3 เช่น แซลมอน ทูน่า
– เลือกใช้น้ำมันพืชที่ดี เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว
1.2 ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
– อย่างน้อย 30 นาที/วัน อย่างน้อย 5 วัน/สัปดาห์ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน เต้นแอโรบิก
1.3 ควบคุมน้ำหนัก ลดน้ำหนักหากมีภาวะ อ้วนหรืออ้วนลงพุง การลดน้ำหนักเพียง 5–10% ของน้ำหนักตัวสามารถช่วยลดไขมันในเลือดได้ชัดเจน
1.4 งดสูบบุหรี่และจำกัดแอลกอฮอล์ บุหรี่ทำให้ HDL (ไขมันดี) ลดลง แอลกอฮอล์เพิ่มไตรกลีเซอไรด์ในเลือด
2. การใช้ยา (Pharmacologic Treatment)
ใช้เมื่อการปรับพฤติกรรมยังไม่เพียงพอ หรือมีความเสี่ยงสูง
กลุ่มยา | ตัวอย่าง | กลไก |
Statins | Atorvastatin, Simvastatin | ลด LDL (ไขมันไม่ดี) และลดความเสี่ยงโรคหัวใจ |
Fibrates | Fenofibrate, Gemfibrozil | ลดไตรกลีเซอไรด์ เพิ่ม HDL |
Ezetimibe | Ezetimibe | ลดการดูดซึมคอเลสเตอรอลจากอาหาร |
Niacin (วิตามินบี 3) | Niacin | ลด LDL และไตรกลีเซอไรด์ เพิ่ม HDL |
PCSK9 Inhibitors (ยาใหม่) | Evolocumab | ยาฉีดสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงหรือไขมันสูงระดับรุนแรง |
หมายเหตุ: การใช้ยาทุกชนิดต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
3. การติดตามและประเมินผล
- ตรวจเลือดวัดระดับไขมันซ้ำทุก 3–6 เดือน หลังเริ่มรักษา
- ติดตามสุขภาพโดยรวม เช่น น้ำหนัก ความดัน เบาหวาน
- ปรับยาและพฤติกรรมตามความเหมาะสมเป็นระยะ
การป้องกันและรักษาโรคไขมันในเส้นเลือดสูงควรเริ่มต้นที่ การปรับพฤติกรรม เพราะสามารถควบคุมได้ด้วยตนเอง และลดความเสี่ยงโรคร้ายแรงในระยะยาว หากจำเป็นต้องใช้ยา ควรทำร่วมกับการดูแลสุขภาพโดยรวม และตรวจติดตามเป็นประจำ
ผลกระทบของไขมันในเลือดสูงต่อร่างกาย
ไขมันในเลือดสูงเท่ากับภัยเงียบ ที่ค่อย ๆ ทำลายหลอดเลือดและระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ไขมันส่วนเกิน โดยเฉพาะ LDL (ไขมันไม่ดี) และ Triglycerides จะสะสมตามผนังหลอดเลือด จนเกิดภาวะ หลอดเลือดแข็งตัวและตีบแคบ ซึ่งนำไปสู่โรคร้ายแรงต่าง ๆ ดังนี้:
1. โรคหัวใจขาดเลือด (Coronary Artery Disease)
- เกิดจากหลอดเลือดหัวใจตีบหรืออุดตัน
- อาจทำให้เจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก
- ในบางกรณีอาจเกิด กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (Heart Attack)
2. โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
- ไขมันสะสมทำให้หลอดเลือดสมองตีบ/แตก
- ส่งผลให้เกิดอาการอัมพฤกษ์ อัมพาต พูดไม่ชัด ความจำเสื่อม หรือหมดสติ
3. โรคหลอดเลือดส่วนปลาย (Peripheral Arterial Disease – PAD)
- เกิดจากไขมันอุดตันหลอดเลือดที่ขา
- อาการ: ปวดขาเวลาเดิน ขาชา ขาเย็น หรือแผลหายช้า
- อาจถึงขั้นต้องตัดขาหากเลือดไปเลี้ยงไม่พอ
4. ภาวะแทรกซ้อนทางตา
- โดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวานร่วมด้วย
- ส่งผลต่อ จอประสาทตา ทำให้สายตามัวหรือเสี่ยงตาบอด
5. สมองเสื่อมก่อนวัย
- การไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงสมองลดลงจากหลอดเลือดตีบ
- มีผลต่อการเรียนรู้ ความจำ และการตัดสินใจ
6. เสี่ยงภาวะตับและตับอ่อนผิดปกติ
- ไขมันพอกตับ (Fatty Liver) จากไขมันในเลือดสูง
- เสี่ยง ตับอักเสบเรื้อรัง หรือ ภาวะตับแข็ง
- ไตรกลีเซอไรด์สูงมาก อาจทำให้ ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน (Pancreatitis)
ไขมันในเลือดสูงแม้ไม่แสดงอาการชัดเจน แต่สามารถ ทำลายหลอดเลือดและอวัยวะสำคัญแบบค่อยเป็นค่อยไป จนเกิดโรคร้ายแรงตามมาการตรวจสุขภาพประจำปี การควบคุมอาหาร และการดูแลสุขภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็น ก่อนสายเกินไป
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
– American Heart Association. “Cholesterol.” heart.org
– World Health Organization (WHO). “Cardiovascular diseases (CVDs).” who.int
– กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. “รายงานภาวะสุขภาพคนไทย.”
– สมาคมโรคหัวใจแห่งประเทศไทย. แนวทางเวชปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วยไขมันในเลือดผิดปกติ
เรียบเรียงข้อมูลโดย: CHULALAKPHARMACY.COM